ภาพ: สุดเขต จิ้วพานิช
บรรณาธิการแฟชั่น: POP KAMPOL
เครื่องแต่งกาย: Ermenegildo Zegna Couture
3 วัน 2 คืนดูเหมือนเป็นเวลาอันน้อยนิดสำหรับการเยือนมิลานครั้งแรกในชีวิต แต่สำหรับ แบมแบม – กันต์พิมุกต์ ภูวกุล และ มาร์ค ต้วน (Mark Tuan) สองสมาชิกวง GOT7 บอยแบนด์สุดฮอตจากเกาหลีภายใต้สังกัด JYP Entertainment น่าจะเป็นการใช้เวลาในมิลานได้คุ้มค่าที่สุด
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากไปเยือนแฟล็กชิปสโตร์ Ermenegildo Zegna ในมิลานเพื่อเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าที่จะสวมใส่สำหรับคืนนั้น แบมแบมและมาร์คพร้อมทีมงานจาก JYP และ GQ Thailand ก็มุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟกลาง ( Milano Centrale ) ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ก่อสร้างและตกแต่งในแบบอาร์ตเดคโค เพื่อนั่งฟรอนต์โรว์ชมแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่น Fall/Winter ของ Ermenegildo Zegna Couture ซึ่งทั้งสองบอกว่า “ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขาที่ได้นั่งชมแฟชั่นโชว์ระดับโลก ” งานนี้แบมแบมและมาร์คยังได้กระทบไหล่เซเลบริตี้ระดับโลก ทั้งนางแบบดัง วินนี ฮาร์โลว์ ( Winnie Harlow ) หรือดาราฮอลลีวูด แดเนียล บรูห์ล ( Daniel Brühl ) อีกทั้งยังได้พูดคุยกับดีไซเนอร์อย่าง อเลสซานโดร ซาร์โตริ ( Alessandro Sartori ) ที่สร้างสรรค์เสื้อผ้าให้กับพวกเขา หลังจากโชว์และอาหารค่ำจบลงในคืนนั้น จากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันบวกกับความอ่อนล้าจากอาการเจ็ตแล็ก ทว่าพลังของแบมแบมและมาร์คกลับไม่หมดลงง่ายๆ ก่อนเดินทางกลับโรงแรม พวกเขาก็ตัดสินใจออกมาพบปะแฟนๆ หลากหลายเชื้อชาติที่มาเฝ้ารออยู่ด้านนอก ถึงแม้ตารางกิจกรรมที่จัดไว้แต่แรกจะไม่มีระบุว่า พวกเขาต้องเดินทักทาย ถ่ายภาพเซลฟี่ และแจกลายเซ็น นั่นแสดงให้เห็นถึงความรักและความจริงใจที่พวกเขามีให้กับแฟนๆ โดยเฉพาะเหล่าแฟนๆ ชาวอิตาเลียนที่เดินทางมาให้กำลังใจกันอย่างหนาแน่น นั่นเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า GOT7 ไม่ได้โด่งดังแค่ในเกาหลี หากแต่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
GQ: การเป็นศิลปินเกาหลี ดูเหมือนว่าต้องมีการแข่งขันสูงมาก แบมแบมคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
B: ผมว่าการแข่งขันมันก็คือการแข่งขันครับ แต่จริงๆ แล้วถ้าเรามัวแต่ไปแข่งกับคนอื่น ผมว่ามันไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะการที่เราจะพัฒนาตัวเองให้ทันคนอื่น หรือว่าให้นำหน้าคนอื่น มันขึ้นอยู่กับการแข่งขันกับตัวเองมากกว่า เพราะแต่ละคนก็มีลิมิตของตัวเอง ถ้าเกิดเราทำลายกำแพงลิมิตของเราไปทีละขั้นทีละขั้น สักวันหนึ่งเราก็จะอ้าว… มาถึงจุดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีที่แล้วเราเพิ่งได้แค่นี้เอง แต่ปีนี้ความสามารถเราเพิ่มขึ้น เรามาถึงจุดนี้ได้แล้ว ผมว่ามันสำคัญกับการที่เราเอาชนะจุดนี้มากกว่า
GQ: แล้วคุณล่ะมาร์ค คุณคิดว่ายังไง
M: ผมคิดว่า GOT7 มีสมาชิกที่พูดกันได้หลายภาษา ซึ่งนั่นทำให้เราสามารถสื่อสารกับแฟนคลับได้ ไม่ว่าเราจะไปไทย จีน หรืออเมริกา เราก็สื่อสารกับพวกเขาได้หมด ทำให้แฟนๆ เข้าใจความรู้สึกของพวกเรา นั่นทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราโดดเด่นกว่าวงอื่นๆ
GQ: แล้วที่แฟนคลับส่วนใหญ่ชอบบอกว่าคุณสองคนดูสนิทกัน ดูเป็นธรรมชาติมากๆ เวลาอยู่ด้วยกัน อะไรเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงคุณทั้งสองเข้าด้วยกัน
B: พี่ตอบก่อนเลย เพราะผมยังไม่รู้ ( หัวเราะ )
M: ผมว่าน่าจะเป็นเพราะผมกับแบมแบมอยู่ด้วยกันมานานที่สุด ผมรู้จักแบมแบมตั้งแต่เข้ามาในค่าย JYP แล้ว ตอนนั้นพวกเราทั้งคู่จะมาถึงบริษัทก่อนใครเสมอ เพราะเราสองคนไม่ได้ไปโรงเรียน โดยส่วนใหญ่แล้วพอเราตื่นก็มักจะไปบริษัทตอน 10 โมง ซึ่งช่วงเช้าก็จะมีแค่เราสองคนเท่านั้น เด็กคนอื่นๆ จะมาซ้อมกันประมาณบ่ายโมงบ่ายสอง
B: ใช่ๆ ประมาณนั้น
M: นั่นแหละ เราสองคนก็เลยได้อยู่ด้วยกันตลอด เราคุยกันเยอะมาก มันเหมือนอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเป็นธรรมชาติมากๆ เวลาอยู่กับเขา
B: เราอยู่ด้วยกันมาเกือบ 9 ปีแล้วนะ
M: ใช่ เวลาที่เรามีปัญหากัน เราก็จะพูดคุยกับตรงๆ เหมือนพี่น้องกัน
GQ: ข้อดีที่สุดในตัวแบมแบมคืออะไรครับมาร์ค
B: เอาแล้วไง
M: เอาแล้ว ผมคิดว่า… เขาบ้าครับ ( หัวเราะ ) คือผมเป็นคนเงียบๆ เป็นคนที่ชอบอยู่กับตัวเอง แต่แบมแบมไม่ใช่เลยครับ มันกลายเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามที่มีแรงดึงดูดกันและกัน ถึงจะแตกต่างกันมากแต่เราก็เข้ากันได้ดี
GQ: แล้วแบมแบมล่ะคิดว่ายังไง
B: เอ่อ จริงๆ คำตอบก็เหมือนกันครับ คือเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ผมตัวเล็กกว่าพี่มาร์คอะครับ จนตอนนี้ผมสูงกว่าแล้ว เหมือนเราผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเยอะ พอมาถึงตอนนี้มันก็ไม่ต้องอะไรมาก ไม่ต้องมาอธิบายให้เขาฟังว่าผมชอบอย่างงั้นอย่างงี้นะพี่มาร์ค ตอนนี้มันรู้กันแล้ว เพราะเราใช้เวลาร่วมกันมานานมาก เลยรู้สึกดีทั้งสองคน เวลาอยู่ด้วยกันมันเลยดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาที่ผมอยู่กับคนอื่นด้วยหรือเปล่า อีกอย่างเรามีรสนิยมหลายๆ อย่างคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เราจะชอบกินที่รสจัดหน่อย แล้วก็เป็นคนที่ชอบอะไรที่ผจญภัยหน่อย อะไรที่มันท้าทายแบบดิ่งพสุธา ( Skydiving ) หรือนั่งรถไฟเหาะอะไรอย่างเนี้ยครับ คือความชอบก็จะคล้ายๆ กัน เพลงที่ฟังก็คล้ายกัน กินอะไรก็คล้ายกัน เวลาอยู่ด้วยกันมันเลยไม่เกร็ง แบบเป็นธรรมชาติมากกว่า
GQ: แล้วเอาจริงๆ แบมแบมชอบอะไรในตัวมาร์ค
B: จริงๆ นิสัยของพี่มาร์คก็คล้ายๆ กับผมนะครับ เป็นคนชิลๆ ไม่ได้อะไรมาก แต่จุดต่างก็คืออย่างที่พี่มาร์คบอก ว่าเขาเป็นคนเงียบมากกว่าผมนิดหนึ่ง แล้วก็เป็นคนที่ปิดๆ หน่อย แต่ผมจะเป็นคนเปิดพอสมควร สิ่งที่ชอบก็น่าจะเป็นรสนิยมที่คล้ายๆ กันนี่แหละ แล้วเขาจะคอยเทกแคร์เราอยู่ข้างหลัง คือเขาไม่ใช่คนที่จะมาเทกแคร์ต่อหน้า แต่เหมือนกับคอยอยู่ข้างหลังเราอะไรประมาณนี้ เหมือนเป็นแบ็กอัป
GQ: มีคนพูดเสมอว่า ความมีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน มันทำให้เราต้องพยายามไม่ทำตัวเสียหาย แบมแบมรู้สึกว่ากดดันตัวเองบ้างไหม
B: เอาจริงๆ มันก็มีบ้างนะครับ ความกดดันในตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เริ่มฟรีขึ้นแล้ว ผมว่าหลายๆ คนคือเริ่มรู้แล้วว่าผมเป็นคนยังไง มันมีหลายอย่างนะครับที่ไม่ใช่สิ่งไม่ดีและไม่ผิดกฎหมายด้วย แต่เพราะว่าเราเป็นคนทำ มันเลยทำให้สิ่งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องผิด ก็อาจทำให้ดูผิดได้ เพราะเราเป็นคนสาธารณะ อย่างการสังสรรค์กับเพื่อนก็อาจจะมีดื่มแอลกอฮอล์บ้าง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดเลย เพราะอายุเราถึงแล้วและก็ดื่มในสถานที่ที่สมควร ในเวลาที่สมควร แต่นั่นแหละ บางทีมันอาจจะดูไม่ดีในมุมมองของคนทั่วไป ซึ่งแรกๆ ผมก็เหมือนจะพยายามปกปิดมาตลอด แต่พออายุมากขึ้น ก็เริ่มเปิดให้เห็นด้านนี้ของผมบ้าง ให้คนเริ่มเข้าใจบ้าง บางทีก็ต้องเปิดเผยด้านที่ผมอยากให้คนอื่นได้เห็นบ้าง เพราะผมจะเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ได้ ผมก็ต้องเป็นตัวของตัวเองบ้างครับ
GQ: แล้วมาร์คล่ะครับ รู้สึกกดดันกับความดังไหม
M: มันก็จริงนะครับที่พอคุณดังแล้วคุณจะต้องระมัดระวังอะไรๆ มากขึ้น เพราะมีสายตามากมายที่จับจ้องคุณอยู่ แล้วยิ่งคุณเหมือนไอดอลของเด็กวัยรุ่นด้วย ดังนั้น ผมรู้สึกว่าต้องระมัดระวัง แม้บางครั้งจะเป็นแค่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่คนก็มองว่ามันใหญ่มากกว่าความเป็นจริง แต่ผมก็รู้สึกว่าความผิดพลาดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกคลั่งไคล้ไปกับมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ตาม คือถึงตอนนี้เราจะโด่งดัง แต่ผมก็รู้สึกว่าเราควรระมัดระวังในสิ่งที่ทำ รวมถึงการแสดงภาพลักษณ์ของเราออกไป
GQ: มาร์คคุณเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
M: ผมรู้สึกว่าผมยังเรียนรู้อยู่เสมอนะ เพราะถึงผมจะอายุมากขึ้น แต่ผมก็ยังอายุน้อยอยู่ พวกเราเดบิวต์ตอนผมอายุยี่ …. ยี่สิบ ยี่สิบเอ็ด ปี 2014 ใช่ๆ อายุยี่สิบเอ็ด
B: โห
M: ไม่สิ ตอนผมอายุยี่สิบ มันก็ผ่านมาแค่สี่ปี ผมไม่รู้นะ แต่รู้สึกว่างานที่เราทำมันแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นทำ อย่างเช่นการถ่ายทำวิดีโอหรืออะไรทำนองนั้น ตอนนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำมากๆ กับการอยู่บนเวทีแล้วก็แสดง
GQ: คุณเคยเหนื่อยกับมันบ้างไหม
M: ก็มีบ้างนะ
GQ: แล้วคุณบอกกับตัวเองว่าอะไร คุณจัดการกับมันยังไงให้รู้สึกมีพลังอยู่
M: ทุกคนก็ต้องมีเหนื่อยบ้างแหละ ต้องมีเครียดบ้างอยู่แล้วกับทุกๆ เรื่อง สำหรับตัวผมเวลาเหนื่อยหรือเครียดผมก็จะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ผมชอบทำอะไรที่ผ่อนคลาย อาจจะเล่นวิดีโอเกมหรือไม่ก็นอน
B: ใช่ การนอนเป็นวิธีที่ดีที่สุด
M: เวลาผมเล่นเกม ผมจะรู้สึกจดจ่ออยู่กับเกมมากๆ จนทำให้ผมลืมสิ่งอื่นๆ ไปเลย ผมก็เลยไม่ต้องไปคิดถึงมัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงชอบเล่นเกมมากๆ
GQ: แล้วคุณล่ะแบมแบม คุณเริ่มทำงานตอนเด็กยิ่งกว่ามาร์คอีก ทุกวันนี้คุณคิดว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง
B: ผมทำงานตั้งแต่อายุ 17 นะครับ ตอนนี้ก็ 22 แล้ว จริงๆ คือได้เรียนรู้หลายอย่าง เหมือนผมรู้ว่าโลกที่แท้จริงมันเป็นยังไง ซึ่งอาจจะเร็วเกินกว่าอายุของผมด้วยซ้ำ ชีวิตวัยเด็กของผมมันหายไปนิดหนึ่งด้วย แต่นั่นก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะพอผมได้เรียนรู้ว่าชีวิตจริงเราควรทำตัวยังไง ชีวิตจริงเป็นยังไง มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ผมเคยคิดมาตลอด เลยทำให้ผมตั้งตัวได้เร็วขึ้นกว่าตอนที่ผมยังเด็กๆ อยู่ มันเลยทำให้ผมมีเวลาเหลือพอที่จะทำอะไรอย่างอื่น โดยเฉพาะอาชีพที่ผมทำมันทำให้เราได้รู้ว่าชีวิตจริงเป็นยังไง ไอ้โลกจริงๆ มันเป็นยังไง ไอ้เกมที่เราเล่นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่เกมง่ายๆ มันเป็นเกมที่ยากอยู่ ผมว่าตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกตำรา ผมอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียนก็จริง แต่ผมว่าการเรียนนอกตำราแบบนี้มันก็ส่งผลดีต่อชีวิตเหมือนกัน
GQ: แล้วระหว่างทำงาน ถ้าเหนื่อยหรือท้อใจ เราจะทำยังไงเพื่อให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ
B: เอาจริงๆ เดี๋ยวนี้เริ่มไม่ค่อยท้อ เมื่อก่อนอาจจะมีบ้าง คือเวลาเหนื่อยนี่อาจเป็นเพราะนอนน้อยหรืออะไร ไม่ได้เหนื่อยเพราะเครียดอะไรมาก นอนน้อยก็หาเวลานอน มันหาเวลานอนได้ ไม่เป็นไร เมื่อก่อนเคยท้อ บางทีมันก็รู้สึกท้อเฉยๆ นะครับ ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ผมดาวน์มากขนาดนั้น แค่แบบเราทำไป 200 ทำไมได้กลับมาแค่ 50 เองอะไรอย่างนี้ หรือแบบว่าเราขยันมากเลยนะ แต่เหมือนไม่มีคนรับรู้เลยอะไรประมาณนี้ แต่ไม่รู้ด้วยนิสัยผมด้วยหรือเปล่า เวลาผมรู้สึกท้อว่าเหมือนคนไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่ผมทำเนี่ย ผมก็จะทำให้มากขึ้นไปอีก ตอนนี้ผมทำไป 10 แล้วคนไม่รับรู้ ผมก็ทำขึ้นไปให้ถึง 20 ถ้าเขายังไม่รับรู้อีกก็ทำมันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าเขาจะรู้ ผมว่าไอ้ความท้อเนี่ยบางทีมันก็เป็นพลังที่ทำให้ผมยิ่งฮึดขึ้นกว่าเดิม
GQ: ทุกครั้งที่แบมแบมกลับมาทำงานที่ประเทศไทย รู้สึกยังไง เพราะเหมือนได้กลับบ้าน
B: ก็รู้สึกดีนะครับ ปกติผมจะอยู่เกาหลี ผลงานทุกอย่างที่ออกมาจะเป็นของเกาหลีหมด เกาหลีกับไทยเราเนี่ยอยู่ห่างกันพอสมควร แต่เวลากลับมาไทย แฟนคลับกลับรับรู้ทุกอย่างที่ผมทำที่เกาหลี และต้อนรับอย่างอบอุ่นทุกครั้ง ซึ่งผมก็รู้สึกดีมาตลอด แบบว่าคนไทยเราไม่ทิ้งกัน แล้วตอนนี้เหมือนหลายๆ คนในประเทศไทยยอมรับผมมากขึ้น แรกๆ ที่ผมเดบิวต์ออกมารู้สึกว่าคนไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไหร่ แต่ตอนนั้นยังเด็กอยู่ เต้นก็เหมือนจะไม่ได้ดีขนาดนั้น แร็ปก็แร็ปไม่น่าจะดีขนาดนั้นอีก คือตอนนั้นทุกคนก็ยังไม่รู้ว่าผมมีความสามารถอะไรบ้าง แต่พอวันเวลาผ่านไป ผมก็โชว์ให้หลายคนได้เห็น อย่างคนที่เมื่อก่อนไม่ชอบผม ก็เหมือนเขาจะเริ่มกลับมามองผมอีกครั้งในแง่ดี คือช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมว่ามันเป็นการพัฒนาตัวเอง อยากให้หลายคนได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในตัวผม ซึ่งมันก็ได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ผมว่ายังมีอีกหลายด้านที่ผมยังไม่ได้โชว์ให้คนไทยได้เห็น เพราะฉะนั้นเวลากลับมาทำงานที่ไทย ผมว่ามันมีความสุข เหมือนผมได้กลับบ้านมาทำงาน แล้วก็มีความท้าทายอีกด้านหนึ่งซึ่งแตกต่างจากการทำงานที่เกาหลี คนละสไตล์กัน
GQ: มาร์คล่ะ ผมรู้ว่าคุณทำงานหลายที่ในโลก แต่ตอนที่คุณได้มาทำงานในประเทศไทย คุณชอบอะไรมากที่สุด
M: ว้าว ผมรู้สึกว่าเวลาได้มาเมืองไทย มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับตอนไปที่อื่น ถึงแม้ว่าเราจะมีแฟนคลับอยู่ทุกที่ แต่ผมก็รู้สึกว่าแฟนคลับชาวไทยมีความหลงใหลมาก แบบ… ตัวเลขยอดวิวในยูทูบจะสูงมาก
B: เหมือนถ้าเราเพิ่งปล่อยวิดีโออะไรออกมา เราจะเห็นเลยว่าเปอร์เซ็นต์ผู้ชมชาวไทยจะมากที่สุด
M: ใช่ อะไรประมาณนั้น แล้วมันทำให้ผมรู้สึกดีเวลาที่ได้ไปเมืองไทย เวลาที่ผมได้แสดงให้เห็นว่าผมก็แคร์พวกเขา และรู้สึกขอบคุณที่มีพวกเขาอยู่ข้างๆ แบมแบมก็มาจากประเทศไทย แล้วผมก็ชอบกลับไปที่จีน เพราะแจ็คสันอยู่ที่นั่น ส่วนผมมาจากลอสแอนเจลิส ดังนั้นมันรู้สึกดีเสมอที่ได้กลับไปยังบ้านเกิดของสมาชิกในวง และได้พบเจอแฟนคลับ
GQ: ผมรู้มาว่าแบมแบมสอนภาษาไทยให้มาร์คด้วย ลองพูดให้ฟังหน่อยครับ
M: “ อะไรนะ ”
B: อะไรนะ
GQ: มีประโยคอื่นอีกไหม
M: “ ปากเหม็น ”
B: ผมไม่รู้ว่าพี่เขาไปเอาคำนี้มาจากไหน พี่เขารู้คำนี้มาตั้งแต่อายุ 20 แต่นั่นแหละ มีอะไรอีก
M: เอ่อ ( คิด )
B: สีที่คุณชอบล่ะ
M: “ สีแดง ”
B: ใช่ๆ มีอะไรอีก
M: อะไรอีกนะ
B: I love you…
M: ! % @ # $ % $ _+^ & ( พูดภาษาเกาหลีใส่ ) เฉาก๊วย
GQ: คุณชอบกินเฉาก๊วยเหรอ
M: ใช่ ผมชอบ
B: ผมก็ชอบมากเหมือนกัน
M: “ ลอง ลอง ” ใช่ไหม ที่หมายถึง Hot น่ะ
B: “ ร้อน ” นี่รู้เยอะเหมือนกันนะ
GQ: คุยเรื่องสไตล์กันบ้างดีกว่า เสื้อผ้าสไตล์ไหนที่คุณไม่สามารถขาดมันได้เลย
M: ที่ขาดไม่ได้เลยเหรอ คำถามนี้ยากจัง ผมว่าเสื้อผ้าแบบ Overfit ( เสื้อผ้าที่ใส่แบบหลวมๆ ) ผมชอบมาก มันใส่แล้วสบายมาก แต่เพราะผมเป็นคนค่อนข้างผอม เวลาใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ แล้วมันไม่ได้โชว์หุ่นสักเท่าไหร่
B: ของผมมีอยู่หลายอย่างครับ ที่แน่ๆ เลยคือรองเท้าบู๊ตกับเครื่องประดับ อย่างรองเท้าบู๊ตคือใส่แล้วดูขายาวดี ผมก็เลยชอบ มันช่วยให้ดูสูงกว่าความสูงจริงของผม ส่วนเครื่องประดับนี่ผมชอบอะไรที่ Blink Blink อยู่แล้ว
GQ: เวลาพวกคุณได้ยินคำว่า Street Style มันหมายถึงอะไร
B: สตรีตเหรอครับ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่สบายๆ ไม่มีขอบเขต อาจจะเป็นสีสันหรือไม่มีสีก็ได้ แล้วสตรีตมันก็มีหลายอย่าง มีสตรีตแบบที่เป็นสตรีตเลย หรือว่าไฮสตรีตก็มี
M: คำว่า สตรีตสไตล์ เวลาพูดถึงคำนี้จะเป็นอะไรที่สบายขึ้น ไม่เป็นทางการ คือใส่เสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอกได้เลย
B: ในชีวิตประจำวันใช่ไหม
M: อืม แบบชีวิตประจำวัน จะหยิบอะไรขึ้นมาใส่ๆ แล้วก็ออกไปข้างนอกเลย มันเหมาะกับการใช้ชีวิตในทุกวัน อย่างถ้าผมจะออกไปข้างนอกก็จะใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืด เป็นอะไรที่แคชวลมากๆ
GQ: พวกคุณมี Street Style Icon ที่ชื่นชอบไหม
B: ก็มีบ้างนะครับ ผมชอบแซว์ ลี ( Swae Lee ) เขาเป็นสตรีตสไตล์ไอคอนหรือเปล่า ก็เป็นนะ หรือไม่ก็จัสติน บีเบอร์ ( Justin Bieber ) คุณรู้ไหมว่าจัสตินเนี่ย เป็นคนที่ทำให้ผมกลับมาชอบรองเท้าผ้าใบอีกครั้ง หลังจากผมเคยคลั่งรองเท้าบู๊ตมากๆ
M: ถ้าเป็นสตรีตสไตล์ผมคงยกให้คานเย เวสต์ ( Kanye West ) แบรนด์ที่เขาใส่มันมักจะเป็นสตรีต
GQ: มีเทรนด์แฟชั่นไหนที่คุณอยากให้มันกลับมาอินอีกครั้งไหม
B: อืม ไม่รู้สิ ผมชอบแฟชั่นในทุกวันนี้นะ แต่ผมว่าวงจรแฟชั่นมันก็กลับไปกลับมาเสมอแหละ
M: ผมรู้สึกว่าตอนนี้สไตล์ย้อนยุคมันกำลังกลับมา
GQ: ตอนที่พวกคุณเป็นเด็ก สไตล์แฟชั่นของคุณเป็นยังไง
M: ตอนเด็กหรอครับ
B: กางเกงหลวมโคร่ง ( Baggy Pants ) กับเสื้อยืดตัวหลวมๆ
M: ผมจำได้แค่กางเกงยีนส์แบบสกินนี่ ( Skinny Jeans ) คือทุกคนจะสงสัยว่าคุณใส่กางเกงผู้หญิงทำไม
B: แต่รู้อะไรไหม ทุกวันนี้โลกแฟชั่นมันกว้างมาก ทุกคนใส่อะไรที่อยากใส่ ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าแบรนด์อะไรดัง อะไรที่ควรใส่ อะไรไม่ควรใส่ มันไม่มีอะไรแบบนั้นแล้ว มันอิสระมากตอนนี้
M: ผมอยากให้เสื้อผ้าที่มีสีสันฉูดฉาดกลับมาอีก
GQ: พวกเสื้อผ้าที่มีสีโดดเด่นออกมา
M: ใช่ พวกสเว็ตเตอร์สูทผ้านิต คือผมเห็นอยู่บ้าง มันสวยมาก แต่คนไม่ค่อยใส่กันแล้ว
GQ: พวกคุณมีเสื้อผ้าในตู้เยอะไหม
B: เยอะครับ
M: ผมว่าผมมีเยอะนะ
GQ: แล้วคุณมีวิธีการจัดตู้เสื้อผ้ายังไง
M: ผมมีห้องหนึ่งไว้สำหรับพวกเสื้อคลุมตัวนอก เช่น พวกเสื้อหนัง เสื้อเดนิม แล้วก็พวกแจ๊กเก็ตกันหนาว เพราะที่เกาหลีอากาศหนาวมาก ห้องๆ นั้นจะเก็บเสื้อพวกนี้ไว้ทั้งหมด ส่วนในห้องนอนก็จะมีเสื้อยืดอยู่มุมหนึ่ง แล้วก็กางเกงที่ใช้สำหรับฝึกซ้อม อีกมุมหนึ่งก็จะมีเสื้อฮู้ดกับเสื้อกันหนาว แล้วก็มีพวกเสื้อผ้าที่ผมใส่นอน หรือใส่ออกไปข้างนอกแยกไว้ต่างหาก
GQ: ฟังดูคุณเป็นคนเจ้าระเบียบเหมือนกันนะ
M: ใช่ครับ
GQ: คุณแยกทุกอย่างไว้เป็นสัดส่วนเหมือนแผนกเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าเลยหรือ
M: ถูกต้องครับ
GQ: แล้วคุณล่ะแบมแบม
B: ผมก็เหมือนกันครับ ผมจะปิดทุกอย่างไว้ คือผมจะมีม่านสำหรับปิดเสื้อผ้าของผม แล้วผมก็จะแยกเสื้อผ้าไว้ตามฤดูกาล เริ่มจากฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ร่วง เพราะฉะนั้นเวลาคุณเดินเข้าไปในห้องผม คุณจะเจอกางเกงยีนส์สกินนี่สีดำ 5 ตัวเหมือนกันหมด แล้วก็ไล่ไปสีขาว เทา แล้วก็มีพวกชุดฝึกซ้อมประมาณนี้ ผมก็จะมีมุมคล้ายมาร์คสำหรับเสื้อหนัง แล้วก็จะมีแยกตามแบรนด์ ตามประเภทต่างๆ นั่นแหละครับ ง่ายมาก
GQ: ถ้าแบมแบมต้องจินตนาการว่าตัวเองเป็นสนีกเกอร์คู่หนึ่ง สนีกเกอร์คู่นั้นจะมีหน้าตาแบบไหน
B: ถ้าเป็นสนีกเกอร์ที่ผมอยากดีไซน์ ผมว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่ต้องมีทรงสลิม เข้ารูปมากๆ แล้วก็ต้องไม่มีดีเทลอะไรเยอะแยะ ดูเรียบๆ อาจจะสูงหน่อยถึงข้อเท้าอะไรแบบนี้ เป็นสีแบบเรียบๆ แต่จะมีลูกเล่นตรงที่อีกด้านหนึ่งมีอะไรไม่รู้ปักเต็มไปหมด มันสื่อถึงบุคลิกผมที่เหมือนด้านหนึ่งดูเรียบๆ แต่อีกด้านหนึ่งก็จะบ้าๆ มีทุกอย่าง
M: ผมควรเป็นยังไงดี ( หยุดคิด ) ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแรกคือรูปทรง ผมไม่ชอบอะไรที่มันใหญ่เกินไป ผมชอบที่มันสลิมๆ ส่วนวัสดุผมชอบหนังกลับ หรืออะไรที่ใส่แล้วสบาย จริงๆ อาจจะแค่แคนวาสสีขาว เพราะตอนนี้ผมชอบรองเท้าสีขาวมาก
GQ: ฝากอะไรถึงแฟนๆ GOT7 ชาวไทยหน่อยครับ กับการมาขึ้นปกนิตยสาร GQ Thailand
B: นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมขึ้นปก GQ Thailand แต่รอบนี้ผมชวนพี่มาร์คมาด้วย แล้วรอบนี้ก็มาไกลถึงมิลานเลยครับ ปกอาจจะมีหลายเวอร์ชั่นอยู่ ฝากให้ทุกคนคอยติดตามด้วยครับ
M: พวกเราอยากจะขอบคุณ GQ Thailand ที่พาผมและแบมแบมมาถึงมิลาน แล้วก็พาพวกเราไปชมแฟชั่นโชว์ของเซนญ่า มันเป็นโอกาสที่พิเศษมากครับ และหวังว่าจะได้กลับไปเจออากาเซชาวไทยเร็วๆ นี้
Read more: โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์(Borussia Dortmund)