หลายๆ คนคงเคยดูสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าของแอฟริกากันมาบ้าง แต่มีใครบ้างที่ฝันจะไปเห็นสัตว์เหล่านี้แบบเป็นๆ ด้วยตาตัวเองเหมือนเราสองคนสักครั้ง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ฝันเหมือนเรา มาตามเราไปดูกันว่าครั้งนี้เราจะล่า BIG 5 ได้ครบหรือไม่… “เคนยา ตามล่าหา BIG 5”
บางคนอาจจะรู้สึกว่าประเทศ เคนยา นี้ไกลตัว เราเลยจะขอให้รายละเอียดคร่าวๆ กันสักเล็กน้อย ประเทศเคนยาตั้งอยู่ในแนวศูนย์สูตรทางฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-5,000 ฟุต มีชายแดนทางทิศเหนือติดกับเอธิโอเปีย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับโซมาเลีย ทิศใต้ติดกับแทนซาเนีย ทิศตะวันตกติดกับยูกันดาและทะเลสาบวิคตอเรีย และทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับซูดาน ประเทศเคนยาเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่ปี 1895 และได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อปี 1963 ผู้คนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่บางส่วนก็ยังมีใช้ภาษา Swahili ในการสื่อสาร
Kenya Airways บินตรงจากไทยไป เคนยา
ครั้งนี้เราบินตรงสู่ เคนยา ด้วยสารการบินประจำชาติอย่าง Kenya Airways ซึ่งเป็นสายการบินในเครือ Sky Team มีไฟล์ทเดินทางทุกวัน ออกจาก กทม เวลา 01:15 น. ใช้เวลาบินถึงกรุงไนโรบี ( Nairobi ) ประเทศเคนยาประมาณ 9 ชั่วโมง เราโดยสารในชั้นธุรกิจ ทำให้สามารถมาพักผ่อนที่ Lounge ของสายการบินได้ก่อนเดินทาง ( ใช้ Lounge เดียวกับ Air France / KLM ) เครื่องที่เรานั่งเป็นเครื่อง BOEING 787-8 ผังที่นั่งชั้นธุรกิจเป็นแบบ 2-2-2 สามารถปรับเอนได้ 180 องศา และยังมี Entertainment บนเครื่องครบเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง
ไฟลท์นี้มีแอร์โฮสเตสคนไทยให้บริการบนเครื่อง จะขออะไรเพิ่มก็สื่อสารกันได้ง่าย แถมบริการประทับใจ อาหารเสิร์ฟ 2 มื้อ มื้อแรกเป็น Late Night Meal มีให้เลือกระหว่างเนื้อและมังสวิรัติ แต่เราเป็นสายไม่ทานเนื้อ เลยเลือกเมนูมังสวิรัติแทน มาพร้อมซุปเห็ด และเค้กชาเขียวและช็อกโกแลต อาหารรสชาติดี กลิ่นไม่ฉุน
ส่วนมื้อเช้าเป็น Omelet ที่เสิร์ฟพร้อมไส้กรอก ผักโขม มันฝรั่ง คอนเฟรก ผลไม้ ชา/กาแฟ และน้ำผลไม้ เครื่องดื่มสามารถขอได้ตลอด ทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ วิสกี้ คอนยัก วอดก้า เบียร์ แชมเปญ และไวน์ สามารถตรวจสอบเที่ยวบินและตารางการบินได้ที่ – > www.kenya-airways.com
วีซ่า เคนยา
เรามาถึงสนามบิน Jomo Kenyatta International Airport เวลาประมาณ 05:45 น. ( เวลาที่ เคนยา ช้ากว่าไทยประมาณ 4 ชั่วโมง ) อากาศดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ( 18 องศาเซลเซียส ) การทำ VISA เพื่อเข้าประเทศเคนยา สามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ สถานทูต ( ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ) ขอทาง Online ผ่านทางเว็บไซต์ – > hypertext transfer protocol : //evisa.go.ke/evisa.html และ Visa On Arrival ราคาคนละ 50 USD สำหรับใบ ตม. มีแจกบนเครื่อง ต้องกรอกให้เรียบร้อยเสียก่อน
สำหรับการติดต่อสื่อสาร เรามาซื้อ Local SIM ที่นี่ ของค่าย Telkom สำหรับแพ็คเกจ Internet 10 GB ราคา 1,000 KSH แต่ทางร้านคิดเราที่ 12 USD ( หรือสามารถเปิด Roaming มาจากไทยก็ได้ ) เมื่อมาถึงเราเรียก Taxi เพื่อไปขึ้น Domestic Flight ที่ Wilson Airport เพื่อเดินทางต่อไปยัง Masai Mara National Reserve ( สนามบิน Mara-Keekorok ) โดยเราเรียก Yellow Taxi ที่ Counter ในสนามบินในราคา 21 USD ( ที่เคนยาใช้เงินสกุล KES โดย 1 USD เท่ากับ 100 KSH/KES โดยประมาณ )
ระยะทางจาก Masai Mara National Reserve ไปยัง Wilson Airport ประมาณ 16.8 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นช่วง Rush Hour รถค่อนข้างติด แต่พนักงานทุกคนบริการเราเป็นอย่างดี รถที่นี่ขับพวงมาลัยขวาเหมือนไทย จะขึ้นรถ ลงรถ ก็แสนสะดวกสบาย
การเดินทางสู่ Masai Mara
การเดินทาง Domestic Flight เราเดินทางด้วยสายการบิน Air Kenya ซึ่งเป็นเครื่องลำเล็ก มีประมาณ 11 ที่นั่ง โดยทางสายการบินไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นเครื่อง อนุญาตให้เฉพาะ Soft Bags เท่านั้น ( อนุโลมให้นำกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กขึ้นได้ ) และได้น้ำหนักไม่เกินคนละ 15 กก. ราคาค่าโดยสารคนละ 3XX USD สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.airkenya.com ( ทั้งนี้สามารถนั่งรถไปได้เช่นกัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง ) ก่อนอื่น เราต้องตรวจสอบก่อนว่าโรงแรมที่เราพักอยู่ใกล้สนามบินปลายทางใด เนื่องจากที่ Masai Mara มีหลายสนามบินมาก ที่สนามบิน Wilson นี้ มีทั้งร้านกาแฟ ให้นั่งจิบกาแฟ ชมเครื่องขึ้น-ลง ร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ซาฟารี และห้องน้ำไว้ให้บริการ โดยเราสามารถจ่ายเป็นเงินสกุล USD ได้เลย
การเดินทางจาก Nairobi ไปยัง Masai Mara ในครั้งนี้ เครื่องจะบินในทิศทวนเข็มนาฬิกา โดยจะจอดทั้งหมด 4 Stops ได้แก่ Kichwa Tembo Airstrip ( KTJ ), Musiara Airstrip ( MOS ), Olkiombo Airstrip ( OLX ) และจุดสุดท้ายที่เป็นปลายทางของเราคือ Keekorok Airstrip ( KEW ) โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 40-45 นาที ทั้งนี้การลงจอดของเครื่องบินจะขึ้นอยู่กับผู้โดยสารไฟล์ทนั้นๆ ว่ามีไปลงที่ใดบ้าง
ยินดีต้อนรับสู่อุทยานแห่งชาติ Masai Mara
อุทยานแห่งชาติหลักๆ ของที่นี่ มี 3 แห่ง ได้แก่ Masai Mara National Reserve, Lake Nakuru National Park และ Amboseli National Park โดยจุดหมายที่เราจะไปก็คือ Masai Mara National Reserve เนื่องจากเป็นอุทยานแห่งชาติที่สมบูรณ์จนติดอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเรามาถึงที่สนามบินปลายทาง Keekorok Airstrip (KEW) ก็เห็นรถจี๊ปของโรงแรม Elewana Sand River Masai Mara มารับ ในทันที พนักงานต้อนรับเราเป็นอย่างดี แถมยังมี Welcome Drinks และ Snack มาตั้งโต๊ะเสิร์ฟให้ข้างรถเลย โดยมีไกด์นำทางอย่าง Anthony ( ขอเรียกว่าเรนเจอร์ )
ระหว่างทางที่ไปโรงแรม เราได้เริ่มต้น Game Drive เบาๆไปก่อน และได้เห็น Antalop ยีราฟ ม้าลาย เป็นน้ำจิ้ม ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาถึงที่พักประมาณ 45 นาที ( จริงแล้วระยะทางไม่ไกล แต่เรนเจอร์จะขับรถให้ชมวิวเพลินๆเพื่อให้คุ้นชินกับธรรมชาติก่อน )
ที่พัก Elewana Sand River Masai Mara
เป็นที่พัก 5 ดาว ในเครือ Minor Group ซึ่งมีทำเลเยี่ยมเพราะอยู่ติดกับ Sand River ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างประเทศ เคนยา และประเทศแทนซาเนีย นับได้ว่ามาพักที่นี่ได้เห็นครบทั้ง 2 ประเทศเลย สำหรับแพ็คเกจที่เราเลือกมาเป็นแบบ Game Drive Package เพื่อจะได้ตามหา BIG 5 กันแบบเต็มอิ่ม ( ผู้ที่จะพักที่นี่ต้องเข้าพักอย่างน้อย 2 คืน )
เรามาถึงโรงแรมเวลา 13:30 น. ซึ่งเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ก่อนจะเริ่มมื้ออาหารเจ้าหน้าที่ได้มาอธิบายถึง Facilities ต่างๆ ทั้ง Lobby ซึ่งเป็นแบบเปิดโล่งที่อยู่ด้านหน้า สระว่ายน้ำ Bar ห้องอาหารซึ่งเป็นแบบ Outdoor ( มีแบบ Indoor ไว้รองรับในกรณีที่ฝนตก )
อาหารของที่นี่บอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะอร่อยทุกจาน ถูกปากคนไทยแน่นอน ใครที่กลัวว่ามาเที่ยวแอฟริกาแล้วจะทานอาหารยาก ขอให้มาลองที่นี่แล้วจะรู้ว่าเด็ดขนาดไหน มาลองดูอาหารกลางวันของเรากัน เริ่มจาก Starter อย่าง Coriander Samosa ที่ไม่มีกลิ่นกวนใจ รสชาติกลมกล่อม อร่อยถูกปาก ส่วน Main Course มื้อนี้เป็น Kashmiri Lamb Curry พร้อมเครื่องเคียงนานาชนิด รวมทั้งข้าว เรียกว่าอิ่มจบครบในเซ็ตเดียว ส่วนของหวานเป็น Cinnamon Sugar & Coconut & Lime Custard ที่อร่อยไม่แพ้ของคาว จนทำให้แอบสงสัยไม่ได้ว่าเชฟแอบไปเรียนทำอาหารที่เมืองไทยมารึป่าว ทำไมทำออกมาได้รสชาติที่ถูกปากแบบนี้
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ได้เวลาไปเช็คอินที่ห้องพักกัน ที่นี่เค้าเน้นเรื่องการลดใช้พลาสติก จึงมีการแจกกระบอกน้ำให้แขกที่เข้าพักทุกท่าน ซึ่งสามารถนำมาเติมน้ำที่ Lobby ได้ ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 16 ห้อง แบ่งเป็น 2 โซน โดยแยกห้องอาหารกัน ทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป ทำเลที่ตั้งของโรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำ Sand ซึ่งจะไหลไปรวมกับแม่น้ำ Masai อีกที ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัว สงบ อาจจะมีก็เพียงสัตว์ต่างๆ ที่มาเดินเล่นให้เราได้ยลโฉมกันในบางเวลา
ห้องพักแต่ละหลังแยกกันอย่างชัดเจน ห้องที่เราพักเป็นห้องหมายเลข 3 เดินมาจาก Lobby ไม่ไกลนัก ( โซนที่เราพักมีห้องหมายเลข 1-8 ) ที่นี่ไม่ต้องใช้กุญแจล็อค แค่เปิดรูดซิปปิดเต็นท์ให้สนิท แล้วใช้ขอเกี่ยวไว้เท่านั้น เมื่อเข้ามาในห้องจะเป็นห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่พร้อมโต๊ะที่พร้อมไปด้วย Welcome Drinks และน้ำดื่ม ภายในห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ถัดเข้ามาเป็นห้องนอน เตียงนอนนุ่มขนาดใหญ่หันหน้าสู่แม่น้ำ พร้อมด้วยมุ้งที่พนักงานจะมาเอาลงให้ตอน Turn Down ในห้องนอนมีตู้เสื้อผ้า ตู้เซฟ กระจกแต่งตัวบานใหญ่ ที่ด้านหน้ามีระเบียงพร้อมเก้าอี้ และ Day Bed ให้นอนเล่นพักผ่อน
ถัดเข้าไปด้านในสุดเป็นห้องน้ำและห้องสุขา ในห้องน้ำมีอ่างแช่ตัวขนาดใหญ่ อ่างล้างหน้า 2 อ่าง สามารถใช้งานพร้อมกันได้ ส่วนห้องอาบน้ำเป็นแบบ Open Air อยู่ด้านนอก ติดกับแม่น้ำ Sand รับรองได้เรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะไม่มีผู้คนเดินผ่านแน่นอน แต่เมื่อใช้งานเสร็จแล้วต้องล็อคประตูให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้ลิงบาบูนแอบเข้ามาในห้องของเรา ในห้องไม่มีแอร์ มีเพียงพัดลม แต่ไม่ต้องห่วง เพราะตอนกลางคืนหนาวจนทางโรงแรมต้องมีกระเป๋าน้ำร้อนซุกไว้ใต้ผ้าห่มให้เลยทีเดียว สำหรับหน้าร้อนก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศไม่ร้อน ( อุณหภูมิสูงสุดไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส ) นอนด้วยแอร์ธรรมชาตินี่แหละ สบายสุด
เจ้าหน้าที่บอกว่าหากเราจะออกจากห้องพักก่อนเวลา 7 โมงเช้าหรือหลัง 6 โมงเย็น ให้ใช้วิทยุสื่อสารในห้องเรียกให้พนักงานมารับที่ห้อง เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างมืด อาจเจอสัตว์ที่เป็นอันตรายได้ หากใครได้มาพัก คงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นโรงแรม 5 ดาว เพราะพนักงานทุกคนบริการดีมากๆ ดูแล ใส่ใจตลอดทุกขั้นตอน
มื้อเย็นทางโรงแรมจัดให้เรานั่งผิงไฟเก๋ๆ พร้อมเสิร์ฟน้ำผลไม้ พิซซ่าไซส์มินิ และไก่บาร์บีคิว เป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเบาๆ
หลังนั่งผิงไฟอยู่สักพัก เราก็ย้ายไปรับประทานกันต่อในเต๊นท์ที่เตรียมไว้เป็นห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีตะเกียงจุดไว้ ช่างสุดแสนโรแมนติก Starter ของเรามื้อนี้คือ Caprese Salad ส่วน Main Course คือ เสต๊กปลาพร้อมด้วยมันฝรั่งและผักราดด้วยซอสน้ำมันหอย เชฟก็แสนน่ารัก ออกมาทักทายเราตลอด จนเราแอบถามไม่ได้ว่าไปเรียนทำอาหารที่เมืองไทยมาหรือเปล่า รสชาติถึงได้ถูกปากเช่นนี้ หากคิดว่าเราอวยเกิน ขอให้ลองมาแล้วคุณจะรู้ว่าที่เราบอกนั้นจริงหรือไม่ ตบท้ายมื้อเย็นเบาๆ ด้วยของหวานอย่าง Dark Chocolate Fondant ราดซอส Mixed Berry พร้อมด้วยไอศกรีม Espresso
เริ่ม !!! Game Drive ตามหา BIG 5
หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย จนถึงเวลา 16:00 น. ก็ถึงเวลาเริ่ม Game Drive ในช่วงเย็นกัน คราวนี้ Anthony ไม่ได้มาคนเดียว เพราะพา Nicholas มาเป็นเพื่อนด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันสอดส่ายหาสัตว์ต่างๆ ให้เราได้เห็นมากที่สุด สัตว์ที่นี่ทั้งสิงโต เสือดาว และสัตว์นักล่าต่างๆ มักจะออกหากินกันเวลาเย็นหรือเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดิน ระหว่างทางสิ่งที่เราเจอเยอะที่สุดเห็นจะเป็น “ม้าลาย” ที่บางตัวจะมีสีน้ำตาลเนื่องจากยังโตไม่เต็มวัย ส่วนตัวที่โตเต็มวัยแล้วจะมีสีดำ และ “Antelope” สายพันธุ์ต่างๆ Hartbeest Reedbuck Waterbuck Impala และตัวที่มีชื่อแสนเก๋อย่าง “Blue Jeans Yellow Socks” ลองมองไปที่ขาของมันแล้วจะเห็นว่าเหมือนมันกำลังใส่กางเกงยีนส์กับถุงเท้าสีเหลืองจริงๆ
นอกจากนี้เรายังได้เห็น บูมบ้า เรนเจอร์เล่าให้ฟังว่า “ บูมบ้า” เป็นสัตว์ที่ความจำสั้นมาก แค่เพียง 2 วินาทีมันก็ลืมแล้วว่ากำลังมองอะไรอยู่ แล้วอย่างนี้มันจะจำเพื่อนๆ ของมันได้มั้ยน้ออออ ? “ยีราฟ” ที่นี่ก็มีให้เห็นมากมาย ส่วนจะดูว่าตัวผู้หรือตัวเมียให้ดูที่คอและเขาบนหัว “Masai Ostrich” ก็เป็นอีกตัวที่สวยงามไม่แพ้กัน เดินย่างแต่ละก้าวราวกับนางแบบที่เดินอยู่บน Catwalk ตัวผู้จะมีขนสีดำและสวยกว่าตัวเมีย หากอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ลำคอของมันจะเป็นสีชมพู
อีกตัวที่เราเจอและต้องชะงักนั่นก็คือ “ไฮยีน่า” ที่กำลังคาบขาของสัตว์ชนิดหนึ่งเดินอยู่ มันคาบอาหารไปกินในน้ำเพื่อไม่ให้สัตว์อื่นหรือไฮยีน่าตัวอื่นได้กลิ่นเหยื่ออันโอชะนี้ เรนเจอร์บอกว่าฟันของไฮยีน่าแหลมคมมาก สามารถกัดกินกระดูกของสัตว์ต่างๆ ได้จนหมด ไฮยีน่าจะไม่ล่าสัตว์เองเพราะวิ่งไม่เร็วและมีกำลังไม่มากพอ มันจะขอดมกลิ่นเพื่อหาเหยื่อที่ถูกสิงโตหรือสัตว์ฆ่าแล้ว แล้วจึงค่อยไปกินซากต่อ จมูกของไฮยีน่าสามารถดมกลิ่นได้ไกลหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว ตอนเด็กตัวเป็นสีดำ แล้วเริ่มมีลายเมื่อโตขึ้น ไฮยีน่าเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างโลภ มันจะกินจนเหยื่อหมด ไม่เหมือนกับสัตว์อื่นที่จะกินจนตัวเองอิ่ม ทำให้บางครั้งเราเห็นไฮยีน่าอิ่มจนท้องห้อยเกือบถึงพื้นก็มี
และแล้วพอตะวันลับขอบฟ้า เราก็ได้เจอกับ BIG 5 ชนิดแรกอย่างใกล้ชิด นั่นคือ “สิงโต” ที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองตัวเป็นตัวผู้ โดยดูจากแผงคอ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เรนเจอร์บอกว่าตัวที่มีรอยบนใบหน้าเป็นตัวที่แก่กว่า และผ่านการต่อสู้มาอย่างมากมาย สิงโตตัวผู้จะต่อสู้เพื่อปกป้องอาณานิคม ส่วนตัวเมียจะทำหน้าที่เป็นผู้ล่าเหยื่อแล้วนำมาให้ตัวผู้กินก่อน เช่นเดียวกับคน ที่ผู้หญิงมักจะเป็นฝ่ายทำอาหารให้ฝ่ายชาย
ระหว่างทางที่เราเดินทางกลับที่พัก ( เวลาประมาณ 18:30 น. ) ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้น เพราะจู่ๆ ได้มีสิงโตตัวเมียมาเดินอยู่ที่หน้ารถของเรา และเดินไปทางที่พักของเราด้วย ราวกับว่ากำลังนำทางเรากลับบ้านยังไงยังงั้น เรนเจอร์รีบวอแจ้ง Security ของทางโรงแรม เพื่อให้มาตรวจดูความเรียบร้อย เพราะเค้าบอกว่าเมื่อสิงโตตัวเมียมา 1 ตัว มันจะคำรามเรียกตัวอื่นๆ ที่เหลือมาอีก ยิ่งพอมาถึงด้านหน้าโรงแรม เราก็ได้เจอกับสิงโตตัวเมียอีกตัวยืนรอรับเราอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของ Lobby เลย แต่พอส่องไฟรถไป มันก็หนีเข้าพุ่มไม้ไปแล้ว คืนนี้เจ้าหน้าที่ของโรงแรมจึงต้องทำงานหนักคอยเดินดูความเรียบร้อยบริเวณโรงแรมตลอดทั้งคืน แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะโรงแรมกั้นรั้วไว้เป็นอย่างดี รับรองว่านอนสบาย ปลอดภัย
หลับลึกกันมาทั้งคืน ก็ถึงเวลาออกตามหา BIG 5 กันต่อ เรานัดกับเรนเจอร์คนขับไว้ตอน 06:30 น. เนื่องจากท้องฟ้ายังมืดอยู่ เราจึงต้องวิทยุเรียกเจ้าหน้าที่พาเราไปที่ Lobby ทันทีที่รอหมุน สายตาทุกคู่ เริ่มหันซ้ายหันขวา ต่างคนต่างหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาเพื่อดูว่ามีสัตว์ตัวใดบ้าง วันนี้สัตว์ชนิดแรกที่ออกมาให้เราเห็นนั่นก็คือ ม้าลาย Antelope บูมบ้า และ Impala มองดูแล้วช่างเหมือนเป็นโต๊ะอาหารบุฟเฟ่ต์ที่รอคอยสิงโตที่กำลังหิวโหยให้มาเสียเหลือเกิน ถัดมาเราได้เจอกับ BIG 5 ชนิดที่ 2 “ช้างแอฟริกา” ที่ใบหูจะใหญ่กว่าช้างไทย และชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม บางโขลงที่เราเจอมีมากถึง 20 ตัว เจ้าหน้าที่เล่าว่าช้างนั้นระบบการย่อยอาหารไม่ค่อยดี บางทีจะเห็นมูลช้างมีหญ้าเป็นต้นๆ อยู่เพราะลำไส้ของมันย่อยอาหารได้ไม่ทั้งหมด ทำให้ต้องกินอาหารตลอดเวลา เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที
BIG 5 ชนิดที่ 3 “ควายป่า” เขาของมันมีลักษณะที่แปลก คือเป็นแผ่นกว้างดูขรุขระ กลางหัวของมันพร้อมเขาที่โค้งย้วยลงมาแล้วปลายเขากลับชี้ขึ้นไป คล้ายผมทรงแสกกลาง ควายป่านี้ไม่ได้น่ารักนะ เพราะเจ้านี่โหดร้ายไม่น้อย
ตะลุยซาฟารีจนถึงเวลา 08:30 น. เราก็จอดพักกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยเรนเจอร์ได้ตรวจสอบให้มั่นใจแล้วว่าจะไม่มีสัตว์ชนิดใดมาทำอันตรายเราได้ อาหารเช้าที่เตรียมมามีให้เลือกทานเพียบ ทั้งคอนเฟลก นม น้ำผลไม้ มัฟฟิน ครัวซองด์ แซนด์วิช ผลไม้ และชา กาแฟ ทานอาหารเช้าท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมพูดคุยกันอย่างถูกคอ และได้รูปสวยๆในซาฟารีกลับไปอีกเพียบ
เมื่ออิ่มท้องก็เริ่ม Game Drive กันต่อ บนรถมีบริการน้ำอัดลม โซดา และเบียร์เย็นๆ ไว้ในกระติกน้ำแข็งให้ด้วย วันนี้เราเจอสัตว์หลากหลายทั้งลิงบาบูน “พังพอน” ที่เห็นเวลายืนแล้วเหมือนในหนัง Lion King เลย นกต่างๆ ก็มีให้เห็นตลอด บางตัวเสียงหวานจับใจ จนอยากพกกลับบ้านด้วยเสียเหลือเกิน ช่างภาพของเรากดชัตเตอร์มือเป็นระวิง ใครที่ชอบถ่ายภาพ มาที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง โดยเราแนะนำว่าต้องพกเลนส์ Tele Zoom ระยะ 200 millimeter ขึ้นไป มาด้วย Game Drive จนถึงเวลา 13:30 น. เรนเจอร์ก็พาเรากลับมาที่โรงแรมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และพักผ่อนเล็กน้อย เพราะช่วงกลางวันที่นี่แดดแรง แถมสัตว์ต่างๆ ก็พากันหลบแดด ไม่ค่อยออกมาให้เห็นง่ายๆ
Game Drive ช่วงเย็น ก่อนออกจากที่พัก ฟ้ามืดครึ้ม ลมแรง เหมือนฝนจะตก ทำให้ Game Drive รอบนี้เจอสัตว์ค่อนข้างน้อย จนเราเกือบจะถอดใจ แต่เหมือนฟ้าจะเป็นใจ เพราะระหว่างทางกลับที่พัก สายตาทั้งคู่หันไปตะลึงกับสัตว์ชนิดหนึ่งที่ยืนขวางทางอยู่ หลังจากตั้งสติกันอยู่สักพัก ทุกคนก็ตะโกนด้วยความดีใจพร้อมกันว่า “RHINO!!!” BIG 5 ชนิดที่ 4 เรนเจอร์หันมามองเราด้วยตาเป็นประกาย เพราะรู้ว่าเป็นสัตว์ที่เราเฝ้ารอมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ตื้นตัน พูดไม่ออก มือสั่นไม่รู้ว่าจะหยิบกล้องส่องทางไกลมาดูให้เห็นใกล้ๆ หรือจะหยิบกล้องถ่ายรูปก่อนดี เพราะเจ้าแรดเป็นสัตว์ที่เราอยากเจอมากที่สุด
แรดที่นี่ค่อนข้างน้อย ในพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร จะมีแค่ 2 ตัวเท่านั้น แรดที่เราเห็นเป็นแรดขาว ที่หายากมาก เพราะเหลือน้อย นอของมันจะยาวกว่าแรดทั่วไป เรานั่งดูมันเดินผ่านหน้ารถ และเดินช้าๆ อุ้ยอ้ายๆ ไปทางฝูงม้าลาย จนตะวันลับขอบฟ้า แน่นอนว่าคืนนี้เราได้หลับฝันดีเพราะ Mission Completed แล้ว
เช้าวันสุดท้ายของเราที่ Masai Mara เราออกตามหา “Leopard” BIG 5 ชนิดสุดท้ายกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะ Leopard มักจะซ่อนตัว และขี้อายไม่ค่อยออกมาให้คนเห็น เช้านี้มีหมอกปกคลุมค่อนข้างหนา การหาสัตว์ต่างๆจึงทำได้ยาก แต่เราก็ได้พบกับโขลงช้างขนาดใหญ่ ที่เดินผ่านหน้ารถ จนเรนเจอร์ของเราต้องดับเครื่องและให้เรางดใช้เสียงชั่วคราว จังหวะนั้นเงียบมาก และเสียวมากเช่นกัน
ขับต่อมาก็ได้เจอกับฝูงไฮยีน่าที่นับไปนับมามีถึง 11 ตัว ภาพที่เคยเห็นในสารคดีของมันกำลังเข้าแย่งเหยื่อช่างดูดุร้าย ต่างกับที่เราเห็นตรงหน้าตอนที่มันกำลังนอนเล่นอยู่กับลูกน้อยเสียเหลือเกิน ขาหน้าของไฮยีน่าจะยาวกว่าขาหลัง ทำให้เวลาเดินมันจะเดินแปลก แต่เวลาวิ่งจะดูปราดเปรียว กลิ่นตัวของมันก็ไม่พิสมัยเท่าที่ควร
ระหว่างทางเราผ่านแม่น้ำ Mara ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ที่บรรดาเหล่า “Wildebeest” ไว้ใช้ข้ามแดนในช่วง Immigration ( ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. เหล่า Wildebeest จะอพยพจากประเทศแทนซาเนียมายัง เคนยา ผ่านทางแม่น้ำ Mara นี้ เป็นจำนวนกว่า 1.5 ล้านตัว แต่จะเหลือรอดเพียง 3 ใน 4 เท่านั้น เนื่องจากระหว่างที่อพยพจะมีพวกจระเข้มาดักรออาหารอันโอชะเหล่านี้ด้วยใจจดจ่อ อีกทั้ง Wildebeest บางตัวก็ตกเหวตายก็มี หรือบางตัวก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลก็มี
เราได้เจอกับฝูง “ฮิปโปโปเตมัส” และ “จระเข้” จำนวนมาก แต่การจะเดินเรียบแม่น้ำแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เราจึงต้องให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแล ซึ่งมีปืนพกไว้ข้างกาย เป็นผู้นำทาง เจ้าหน้าที่เล่าให้เราฟังว่าบางครั้งจระเข้ก็จะมากินลูกฮิปโปเหมือนกัน ทำให้บรรดาเหล่าฮิปโปเกิดใหม่มักจะอยู่กับแม่ของมันเพื่อความปลอดภัย เพราะจระเข้จะไม่กล้ากับฮิปโปตัวใหญ่ เนื่องจากฮิปโปมีปากที่ใหญ่และฟันที่แข็งแรงมาก สามารถกัดจระเข้หรือคนให้ขาดเป็น 2 ท่อนได้ > <
หลังจบ Game Drive ในช่วงเช้า เรนเจอร์ได้พาเรากลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม และเตรียมเก็บของ เช็คเอ้าท์ เพื่อ Game Drive ครั้งสุดท้ายระหว่างทางไปสนามบิน
จนมาถึงสนามบิน เราก็ยังไม่ได้พบ Leopard ตามที่ตั้งใจ จนได้เวลาโบกมือลา Anthony และ Nicholas เรนเจอร์ผู้นำทางของเราแล้ว 3 วันในซาฟารีนี้ทำให้เราเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประเทศ เคนยา ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องของผู้คน ที่เป็นมิตร สุภาพ ชอบช่วยเหลือ และเต็มใจให้บริการ เรื่องของ Game Drive ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด ทางโรงแรมมีรถจี๊ปพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราพร้อม ให้ผู้ชำนาญเป็นผู้แนะนำ เรื่องของที่พัก แม้จะอยู่ในอุทยานก็ไม่ได้ลำบาก
Nairobi เที่ยวแบบ Half Day Tour
เรานั่งเครื่องมาประมาณ 45 นาที ก็มาถึง Wilson Airport ที่ Nairobi รอบนี้เครื่องใหญ่กว่าขามา เป็นเครื่องบินใบพัดแบบ 18 ที่นั่ง ทำให้ไม่โคลงเคลงมากนัก เรามีเวลาอยู่ที่ Nairobi ครึ่งวัน จึงตัดสินใจใช้บริการ Half Day Tour ของ Cheli & Peacock ในราคา 330 USD สำหรับ 2 คน รวมค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่มารอรับเราทันทีที่เครื่องลง
เริ่มจากไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Makutnao Grill ซึ่งเป็นร้านในสวน อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวกันที่ Giraffe Centre ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ที่นี่เค้ามียีราฟให้เราดูมากมาย สามารถให้อาหารได้อย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่จะบอกเราว่าตัวไหนที่เป็นมิตรและตัวไหนที่ค่อนข้างจะ Aggressive ที่ด้านในมีห้องนิทรรศการให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับยีราฟเพิ่มเติมด้วย จากที่ได้เห็นกระดูกของยีราฟ ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมยีราฟถึงสามารถเตะสิงโตจนตายได้ เพราะกระดูกของมันช่างใหญ่และแข็งแรงจริงๆ
จากนั้นไปต่อกันที่ Karen Bixsen Musuem เรื่องราวของเธอโด่งดังในรูปแบบของหนังชื่อ Out of Africa นางสิงห์แห่ง เคนยา ผู้นี้เป็นชาวเดนมาร์กซึ่งเกิดในตระกูลผู้ดีเก่า เธอแต่งงานและมาทำไร่กาแฟที่ประเทศเคนยา หลังจากที่แยกทางกับสามี เธอได้พบรักใหม่ เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ต้องคุมคนงานนับร้อย อีกทั้งยังต้องออกไปล่าสัตว์ต่างๆ ทั้งกวาง และม้าลายเพื่อมาเลี้ยงคนงาน อีกทั้งยังต้องออกไปยิงสิงโตที่คอยมาทำร้ายชาวบ้าน ผู้คนเลยตั้งชื่อให้เธอว่า Lioness Blixen หลังจากที่สามีเสียชีวิตจากเครื่องบินตก เธอกับลูกได้ย้ายกลับไปที่เดนมาร์ก ทุกวันเธอจะนั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับแอฟริกา ทั้ง Seven Gothic Tales และ My Africa ซึ่งกลายมาเป็นหนังเรื่อง Out of Africa ที่โด่งดัง ใครที่สนใจเรื่องราวของเธอคนนี้ไม่ควรพลาดกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ก่อนเข้าที่พัก เรามาจัดบุฟเฟ่ต์สารพัดเนื้อกันที่ร้าน Carnivore ที่นี่เค้าจะเสิร์ฟเนื้อต่างๆ ทั้งเนื้อวัว แกะ ไก่ ไก่งวง หมู นกกระจอกเทศ และเนื้อจระเข้ แบบไม่อั้น เนื้อจระเข้ที่เห็นเป็นเนื้อส่วนหาง รสชาติแหมือนเนื้อไก่แต่จะมีความกรุบกว่า ซอสที่ให้มามีทั้งหมด 6 ชนิด พนักงานจะคอยแนะนำให้เราทราบว่าซอสแต่ละชนิดทานกับเนื้อสัตว์ใด มาถึง เคนยา ทั้งทีอย่าลืมลองทานน้ำสับปะรด เพราะสับปะรดที่นี่เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อ ถึงขั้นส่งออกไปยังประเทศฝั่งตะวันตกด้วย
ใครที่อยากตะลุยซาฟารี เราขอแนะนำ Masai Mara ไว้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทาง ที่คุณจะต้องตกหลุมรักอย่างเรา ใครที่ยังกลัวการเดินทางไปประเทศที่ไม่คุ้นเคย ลองเปิดใจแล้วคุณจะพบประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าโลกของเรากว้างใหญ่แค่ไหน อย่าให้คำว่ายังไม่พร้อมปิดโอกาสการเดินทางของคุณ อย่าให้สิ่งที่อยากเจออยู่แต่เพียงในหนังสือหรือในสารคดี ลองออกมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเราถึงหลงรักการเดินทาง การท่องแอฟริกาของเรายังไม่จบแค่นี้ เราจะไปต่อกันที่แซมเบียกับน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าลืมติดตามเราสองคนกันต่อว่าจะเจออะไรบ้าง
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ hypertext transfer protocol : //www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^
บางคนอาจจะรู้สึกว่าประเทศ เคนยา นี้ไกลตัว เราเลยจะขอให้รายละเอียดคร่าวๆ กันสักเล็กน้อย ประเทศเคนยาตั้งอยู่ในแนวศูนย์สูตรทางฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000-5,000 ฟุต มีชายแดนทางทิศเหนือติดกับเอธิโอเปีย ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับโซมาเลีย ทิศใต้ติดกับแทนซาเนีย ทิศตะวันตกติดกับยูกันดาและทะเลสาบวิคตอเรีย และทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับซูดาน ประเทศเคนยาเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่ปี 1895 และได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อปี 1963 ผู้คนที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ แต่บางส่วนก็ยังมีใช้ภาษา Swahili ในการสื่อสาร
Kenya Airways บินตรงจากไทยไป เคนยา
ครั้งนี้เราบินตรงสู่ เคนยา ด้วยสารการบินประจำชาติอย่าง Kenya Airways ซึ่งเป็นสายการบินในเครือ Sky Team มีไฟล์ทเดินทางทุกวัน ออกจาก กทม เวลา 01:15 น. ใช้เวลาบินถึงกรุงไนโรบี ( Nairobi ) ประเทศเคนยาประมาณ 9 ชั่วโมง เราโดยสารในชั้นธุรกิจ ทำให้สามารถมาพักผ่อนที่ Lounge ของสายการบินได้ก่อนเดินทาง ( ใช้ Lounge เดียวกับ Air France / KLM ) เครื่องที่เรานั่งเป็นเครื่อง BOEING 787-8 ผังที่นั่งชั้นธุรกิจเป็นแบบ 2-2-2 สามารถปรับเอนได้ 180 องศา และยังมี Entertainment บนเครื่องครบเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง
ไฟลท์นี้มีแอร์โฮสเตสคนไทยให้บริการบนเครื่อง จะขออะไรเพิ่มก็สื่อสารกันได้ง่าย แถมบริการประทับใจ อาหารเสิร์ฟ 2 มื้อ มื้อแรกเป็น Late Night Meal มีให้เลือกระหว่างเนื้อและมังสวิรัติ แต่เราเป็นสายไม่ทานเนื้อ เลยเลือกเมนูมังสวิรัติแทน มาพร้อมซุปเห็ด และเค้กชาเขียวและช็อกโกแลต อาหารรสชาติดี กลิ่นไม่ฉุน
ส่วนมื้อเช้าเป็น Omelet ที่เสิร์ฟพร้อมไส้กรอก ผักโขม มันฝรั่ง คอนเฟรก ผลไม้ ชา/กาแฟ และน้ำผลไม้ เครื่องดื่มสามารถขอได้ตลอด ทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชา กาแฟ วิสกี้ คอนยัก วอดก้า เบียร์ แชมเปญ และไวน์ สามารถตรวจสอบเที่ยวบินและตารางการบินได้ที่ – > www.kenya-airways.com
วีซ่า เคนยา
เรามาถึงสนามบิน Jomo Kenyatta International Airport เวลาประมาณ 05:45 น. ( เวลาที่ เคนยา ช้ากว่าไทยประมาณ 4 ชั่วโมง ) อากาศดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ( 18 องศาเซลเซียส ) การทำ VISA เพื่อเข้าประเทศเคนยา สามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ สถานทูต ( ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ) ขอทาง Online ผ่านทางเว็บไซต์ – > hypertext transfer protocol : //evisa.go.ke/evisa.html และ Visa On Arrival ราคาคนละ 50 USD สำหรับใบ ตม. มีแจกบนเครื่อง ต้องกรอกให้เรียบร้อยเสียก่อน
สำหรับการติดต่อสื่อสาร เรามาซื้อ Local SIM ที่นี่ ของค่าย Telkom สำหรับแพ็คเกจ Internet 10 GB ราคา 1,000 KSH แต่ทางร้านคิดเราที่ 12 USD ( หรือสามารถเปิด Roaming มาจากไทยก็ได้ ) เมื่อมาถึงเราเรียก Taxi เพื่อไปขึ้น Domestic Flight ที่ Wilson Airport เพื่อเดินทางต่อไปยัง Masai Mara National Reserve ( สนามบิน Mara-Keekorok ) โดยเราเรียก Yellow Taxi ที่ Counter ในสนามบินในราคา 21 USD ( ที่เคนยาใช้เงินสกุล KES โดย 1 USD เท่ากับ 100 KSH/KES โดยประมาณ )
ระยะทางจาก Masai Mara National Reserve ไปยัง Wilson Airport ประมาณ 16.8 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นช่วง Rush Hour รถค่อนข้างติด แต่พนักงานทุกคนบริการเราเป็นอย่างดี รถที่นี่ขับพวงมาลัยขวาเหมือนไทย จะขึ้นรถ ลงรถ ก็แสนสะดวกสบาย
การเดินทางสู่ Masai Mara
การเดินทาง Domestic Flight เราเดินทางด้วยสายการบิน Air Kenya ซึ่งเป็นเครื่องลำเล็ก มีประมาณ 11 ที่นั่ง โดยทางสายการบินไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นเครื่อง อนุญาตให้เฉพาะ Soft Bags เท่านั้น ( อนุโลมให้นำกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กขึ้นได้ ) และได้น้ำหนักไม่เกินคนละ 15 กก. ราคาค่าโดยสารคนละ 3XX USD สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ www.airkenya.com ( ทั้งนี้สามารถนั่งรถไปได้เช่นกัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง ) ก่อนอื่น เราต้องตรวจสอบก่อนว่าโรงแรมที่เราพักอยู่ใกล้สนามบินปลายทางใด เนื่องจากที่ Masai Mara มีหลายสนามบินมาก ที่สนามบิน Wilson นี้ มีทั้งร้านกาแฟ ให้นั่งจิบกาแฟ ชมเครื่องขึ้น-ลง ร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ซาฟารี และห้องน้ำไว้ให้บริการ โดยเราสามารถจ่ายเป็นเงินสกุล USD ได้เลย
การเดินทางจาก Nairobi ไปยัง Masai Mara ในครั้งนี้ เครื่องจะบินในทิศทวนเข็มนาฬิกา โดยจะจอดทั้งหมด 4 Stops ได้แก่ Kichwa Tembo Airstrip ( KTJ ), Musiara Airstrip ( MOS ), Olkiombo Airstrip ( OLX ) และจุดสุดท้ายที่เป็นปลายทางของเราคือ Keekorok Airstrip ( KEW ) โดยใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 40-45 นาที ทั้งนี้การลงจอดของเครื่องบินจะขึ้นอยู่กับผู้โดยสารไฟล์ทนั้นๆ ว่ามีไปลงที่ใดบ้าง
ยินดีต้อนรับสู่อุทยานแห่งชาติ Masai Mara
อุทยานแห่งชาติหลักๆ ของที่นี่ มี 3 แห่ง ได้แก่ Masai Mara National Reserve, Lake Nakuru National Park และ Amboseli National Park โดยจุดหมายที่เราจะไปก็คือ Masai Mara National Reserve เนื่องจากเป็นอุทยานแห่งชาติที่สมบูรณ์จนติดอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเรามาถึงที่สนามบินปลายทาง Keekorok Airstrip (KEW) ก็เห็นรถจี๊ปของโรงแรม Elewana Sand River Masai Mara มารับ ในทันที พนักงานต้อนรับเราเป็นอย่างดี แถมยังมี Welcome Drinks และ Snack มาตั้งโต๊ะเสิร์ฟให้ข้างรถเลย โดยมีไกด์นำทางอย่าง Anthony ( ขอเรียกว่าเรนเจอร์ )
ระหว่างทางที่ไปโรงแรม เราได้เริ่มต้น Game Drive เบาๆไปก่อน และได้เห็น Antalop ยีราฟ ม้าลาย เป็นน้ำจิ้ม ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาถึงที่พักประมาณ 45 นาที ( จริงแล้วระยะทางไม่ไกล แต่เรนเจอร์จะขับรถให้ชมวิวเพลินๆเพื่อให้คุ้นชินกับธรรมชาติก่อน )
ที่พัก Elewana Sand River Masai Mara
เป็นที่พัก 5 ดาว ในเครือ Minor Group ซึ่งมีทำเลเยี่ยมเพราะอยู่ติดกับ Sand River ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างประเทศ เคนยา และประเทศแทนซาเนีย นับได้ว่ามาพักที่นี่ได้เห็นครบทั้ง 2 ประเทศเลย สำหรับแพ็คเกจที่เราเลือกมาเป็นแบบ Game Drive Package เพื่อจะได้ตามหา BIG 5 กันแบบเต็มอิ่ม ( ผู้ที่จะพักที่นี่ต้องเข้าพักอย่างน้อย 2 คืน )
เรามาถึงโรงแรมเวลา 13:30 น. ซึ่งเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี ก่อนจะเริ่มมื้ออาหารเจ้าหน้าที่ได้มาอธิบายถึง Facilities ต่างๆ ทั้ง Lobby ซึ่งเป็นแบบเปิดโล่งที่อยู่ด้านหน้า สระว่ายน้ำ Bar ห้องอาหารซึ่งเป็นแบบ Outdoor ( มีแบบ Indoor ไว้รองรับในกรณีที่ฝนตก )
อาหารของที่นี่บอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะอร่อยทุกจาน ถูกปากคนไทยแน่นอน ใครที่กลัวว่ามาเที่ยวแอฟริกาแล้วจะทานอาหารยาก ขอให้มาลองที่นี่แล้วจะรู้ว่าเด็ดขนาดไหน มาลองดูอาหารกลางวันของเรากัน เริ่มจาก Starter อย่าง Coriander Samosa ที่ไม่มีกลิ่นกวนใจ รสชาติกลมกล่อม อร่อยถูกปาก ส่วน Main Course มื้อนี้เป็น Kashmiri Lamb Curry พร้อมเครื่องเคียงนานาชนิด รวมทั้งข้าว เรียกว่าอิ่มจบครบในเซ็ตเดียว ส่วนของหวานเป็น Cinnamon Sugar & Coconut & Lime Custard ที่อร่อยไม่แพ้ของคาว จนทำให้แอบสงสัยไม่ได้ว่าเชฟแอบไปเรียนทำอาหารที่เมืองไทยมารึป่าว ทำไมทำออกมาได้รสชาติที่ถูกปากแบบนี้
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ได้เวลาไปเช็คอินที่ห้องพักกัน ที่นี่เค้าเน้นเรื่องการลดใช้พลาสติก จึงมีการแจกกระบอกน้ำให้แขกที่เข้าพักทุกท่าน ซึ่งสามารถนำมาเติมน้ำที่ Lobby ได้ ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 16 ห้อง แบ่งเป็น 2 โซน โดยแยกห้องอาหารกัน ทำให้ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป ทำเลที่ตั้งของโรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำ Sand ซึ่งจะไหลไปรวมกับแม่น้ำ Masai อีกที ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัว สงบ อาจจะมีก็เพียงสัตว์ต่างๆ ที่มาเดินเล่นให้เราได้ยลโฉมกันในบางเวลา
ห้องพักแต่ละหลังแยกกันอย่างชัดเจน ห้องที่เราพักเป็นห้องหมายเลข 3 เดินมาจาก Lobby ไม่ไกลนัก ( โซนที่เราพักมีห้องหมายเลข 1-8 ) ที่นี่ไม่ต้องใช้กุญแจล็อค แค่เปิดรูดซิปปิดเต็นท์ให้สนิท แล้วใช้ขอเกี่ยวไว้เท่านั้น เมื่อเข้ามาในห้องจะเป็นห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่พร้อมโต๊ะที่พร้อมไปด้วย Welcome Drinks และน้ำดื่ม ภายในห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ ถัดเข้ามาเป็นห้องนอน เตียงนอนนุ่มขนาดใหญ่หันหน้าสู่แม่น้ำ พร้อมด้วยมุ้งที่พนักงานจะมาเอาลงให้ตอน Turn Down ในห้องนอนมีตู้เสื้อผ้า ตู้เซฟ กระจกแต่งตัวบานใหญ่ ที่ด้านหน้ามีระเบียงพร้อมเก้าอี้ และ Day Bed ให้นอนเล่นพักผ่อน
ถัดเข้าไปด้านในสุดเป็นห้องน้ำและห้องสุขา ในห้องน้ำมีอ่างแช่ตัวขนาดใหญ่ อ่างล้างหน้า 2 อ่าง สามารถใช้งานพร้อมกันได้ ส่วนห้องอาบน้ำเป็นแบบ Open Air อยู่ด้านนอก ติดกับแม่น้ำ Sand รับรองได้เรื่องความเป็นส่วนตัว เพราะไม่มีผู้คนเดินผ่านแน่นอน แต่เมื่อใช้งานเสร็จแล้วต้องล็อคประตูให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้ลิงบาบูนแอบเข้ามาในห้องของเรา ในห้องไม่มีแอร์ มีเพียงพัดลม แต่ไม่ต้องห่วง เพราะตอนกลางคืนหนาวจนทางโรงแรมต้องมีกระเป๋าน้ำร้อนซุกไว้ใต้ผ้าห่มให้เลยทีเดียว สำหรับหน้าร้อนก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่นี่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้อากาศไม่ร้อน ( อุณหภูมิสูงสุดไม่เกิน 27 องศาเซลเซียส ) นอนด้วยแอร์ธรรมชาตินี่แหละ สบายสุด
เจ้าหน้าที่บอกว่าหากเราจะออกจากห้องพักก่อนเวลา 7 โมงเช้าหรือหลัง 6 โมงเย็น ให้ใช้วิทยุสื่อสารในห้องเรียกให้พนักงานมารับที่ห้อง เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างมืด อาจเจอสัตว์ที่เป็นอันตรายได้ หากใครได้มาพัก คงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเป็นโรงแรม 5 ดาว เพราะพนักงานทุกคนบริการดีมากๆ ดูแล ใส่ใจตลอดทุกขั้นตอน
มื้อเย็นทางโรงแรมจัดให้เรานั่งผิงไฟเก๋ๆ พร้อมเสิร์ฟน้ำผลไม้ พิซซ่าไซส์มินิ และไก่บาร์บีคิว เป็นออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเบาๆ
หลังนั่งผิงไฟอยู่สักพัก เราก็ย้ายไปรับประทานกันต่อในเต๊นท์ที่เตรียมไว้เป็นห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีตะเกียงจุดไว้ ช่างสุดแสนโรแมนติก Starter ของเรามื้อนี้คือ Caprese Salad ส่วน Main Course คือ เสต๊กปลาพร้อมด้วยมันฝรั่งและผักราดด้วยซอสน้ำมันหอย เชฟก็แสนน่ารัก ออกมาทักทายเราตลอด จนเราแอบถามไม่ได้ว่าไปเรียนทำอาหารที่เมืองไทยมาหรือเปล่า รสชาติถึงได้ถูกปากเช่นนี้ หากคิดว่าเราอวยเกิน ขอให้ลองมาแล้วคุณจะรู้ว่าที่เราบอกนั้นจริงหรือไม่ ตบท้ายมื้อเย็นเบาๆ ด้วยของหวานอย่าง Dark Chocolate Fondant ราดซอส Mixed Berry พร้อมด้วยไอศกรีม Espresso
เริ่ม !!! Game Drive ตามหา BIG 5
หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย จนถึงเวลา 16:00 น. ก็ถึงเวลาเริ่ม Game Drive ในช่วงเย็นกัน คราวนี้ Anthony ไม่ได้มาคนเดียว เพราะพา Nicholas มาเป็นเพื่อนด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันสอดส่ายหาสัตว์ต่างๆ ให้เราได้เห็นมากที่สุด สัตว์ที่นี่ทั้งสิงโต เสือดาว และสัตว์นักล่าต่างๆ มักจะออกหากินกันเวลาเย็นหรือเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดิน ระหว่างทางสิ่งที่เราเจอเยอะที่สุดเห็นจะเป็น “ม้าลาย” ที่บางตัวจะมีสีน้ำตาลเนื่องจากยังโตไม่เต็มวัย ส่วนตัวที่โตเต็มวัยแล้วจะมีสีดำ และ “Antelope” สายพันธุ์ต่างๆ Hartbeest Reedbuck Waterbuck Impala และตัวที่มีชื่อแสนเก๋อย่าง “Blue Jeans Yellow Socks” ลองมองไปที่ขาของมันแล้วจะเห็นว่าเหมือนมันกำลังใส่กางเกงยีนส์กับถุงเท้าสีเหลืองจริงๆ
นอกจากนี้เรายังได้เห็น บูมบ้า เรนเจอร์เล่าให้ฟังว่า “ บูมบ้า” เป็นสัตว์ที่ความจำสั้นมาก แค่เพียง 2 วินาทีมันก็ลืมแล้วว่ากำลังมองอะไรอยู่ แล้วอย่างนี้มันจะจำเพื่อนๆ ของมันได้มั้ยน้ออออ ? “ยีราฟ” ที่นี่ก็มีให้เห็นมากมาย ส่วนจะดูว่าตัวผู้หรือตัวเมียให้ดูที่คอและเขาบนหัว “Masai Ostrich” ก็เป็นอีกตัวที่สวยงามไม่แพ้กัน เดินย่างแต่ละก้าวราวกับนางแบบที่เดินอยู่บน Catwalk ตัวผู้จะมีขนสีดำและสวยกว่าตัวเมีย หากอยู่ในช่วงผสมพันธุ์ลำคอของมันจะเป็นสีชมพู
อีกตัวที่เราเจอและต้องชะงักนั่นก็คือ “ไฮยีน่า” ที่กำลังคาบขาของสัตว์ชนิดหนึ่งเดินอยู่ มันคาบอาหารไปกินในน้ำเพื่อไม่ให้สัตว์อื่นหรือไฮยีน่าตัวอื่นได้กลิ่นเหยื่ออันโอชะนี้ เรนเจอร์บอกว่าฟันของไฮยีน่าแหลมคมมาก สามารถกัดกินกระดูกของสัตว์ต่างๆ ได้จนหมด ไฮยีน่าจะไม่ล่าสัตว์เองเพราะวิ่งไม่เร็วและมีกำลังไม่มากพอ มันจะขอดมกลิ่นเพื่อหาเหยื่อที่ถูกสิงโตหรือสัตว์ฆ่าแล้ว แล้วจึงค่อยไปกินซากต่อ จมูกของไฮยีน่าสามารถดมกลิ่นได้ไกลหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว ตอนเด็กตัวเป็นสีดำ แล้วเริ่มมีลายเมื่อโตขึ้น ไฮยีน่าเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างโลภ มันจะกินจนเหยื่อหมด ไม่เหมือนกับสัตว์อื่นที่จะกินจนตัวเองอิ่ม ทำให้บางครั้งเราเห็นไฮยีน่าอิ่มจนท้องห้อยเกือบถึงพื้นก็มี
และแล้วพอตะวันลับขอบฟ้า เราก็ได้เจอกับ BIG 5 ชนิดแรกอย่างใกล้ชิด นั่นคือ “สิงโต” ที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองตัวเป็นตัวผู้ โดยดูจากแผงคอ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เรนเจอร์บอกว่าตัวที่มีรอยบนใบหน้าเป็นตัวที่แก่กว่า และผ่านการต่อสู้มาอย่างมากมาย สิงโตตัวผู้จะต่อสู้เพื่อปกป้องอาณานิคม ส่วนตัวเมียจะทำหน้าที่เป็นผู้ล่าเหยื่อแล้วนำมาให้ตัวผู้กินก่อน เช่นเดียวกับคน ที่ผู้หญิงมักจะเป็นฝ่ายทำอาหารให้ฝ่ายชาย
ระหว่างทางที่เราเดินทางกลับที่พัก ( เวลาประมาณ 18:30 น. ) ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้น เพราะจู่ๆ ได้มีสิงโตตัวเมียมาเดินอยู่ที่หน้ารถของเรา และเดินไปทางที่พักของเราด้วย ราวกับว่ากำลังนำทางเรากลับบ้านยังไงยังงั้น เรนเจอร์รีบวอแจ้ง Security ของทางโรงแรม เพื่อให้มาตรวจดูความเรียบร้อย เพราะเค้าบอกว่าเมื่อสิงโตตัวเมียมา 1 ตัว มันจะคำรามเรียกตัวอื่นๆ ที่เหลือมาอีก ยิ่งพอมาถึงด้านหน้าโรงแรม เราก็ได้เจอกับสิงโตตัวเมียอีกตัวยืนรอรับเราอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของ Lobby เลย แต่พอส่องไฟรถไป มันก็หนีเข้าพุ่มไม้ไปแล้ว คืนนี้เจ้าหน้าที่ของโรงแรมจึงต้องทำงานหนักคอยเดินดูความเรียบร้อยบริเวณโรงแรมตลอดทั้งคืน แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะโรงแรมกั้นรั้วไว้เป็นอย่างดี รับรองว่านอนสบาย ปลอดภัย
หลับลึกกันมาทั้งคืน ก็ถึงเวลาออกตามหา BIG 5 กันต่อ เรานัดกับเรนเจอร์คนขับไว้ตอน 06:30 น. เนื่องจากท้องฟ้ายังมืดอยู่ เราจึงต้องวิทยุเรียกเจ้าหน้าที่พาเราไปที่ Lobby ทันทีที่รอหมุน สายตาทุกคู่ เริ่มหันซ้ายหันขวา ต่างคนต่างหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาเพื่อดูว่ามีสัตว์ตัวใดบ้าง วันนี้สัตว์ชนิดแรกที่ออกมาให้เราเห็นนั่นก็คือ ม้าลาย Antelope บูมบ้า และ Impala มองดูแล้วช่างเหมือนเป็นโต๊ะอาหารบุฟเฟ่ต์ที่รอคอยสิงโตที่กำลังหิวโหยให้มาเสียเหลือเกิน ถัดมาเราได้เจอกับ BIG 5 ชนิดที่ 2 “ช้างแอฟริกา” ที่ใบหูจะใหญ่กว่าช้างไทย และชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม บางโขลงที่เราเจอมีมากถึง 20 ตัว เจ้าหน้าที่เล่าว่าช้างนั้นระบบการย่อยอาหารไม่ค่อยดี บางทีจะเห็นมูลช้างมีหญ้าเป็นต้นๆ อยู่เพราะลำไส้ของมันย่อยอาหารได้ไม่ทั้งหมด ทำให้ต้องกินอาหารตลอดเวลา เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที
BIG 5 ชนิดที่ 3 “ควายป่า” เขาของมันมีลักษณะที่แปลก คือเป็นแผ่นกว้างดูขรุขระ กลางหัวของมันพร้อมเขาที่โค้งย้วยลงมาแล้วปลายเขากลับชี้ขึ้นไป คล้ายผมทรงแสกกลาง ควายป่านี้ไม่ได้น่ารักนะ เพราะเจ้านี่โหดร้ายไม่น้อย
ตะลุยซาฟารีจนถึงเวลา 08:30 น. เราก็จอดพักกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยเรนเจอร์ได้ตรวจสอบให้มั่นใจแล้วว่าจะไม่มีสัตว์ชนิดใดมาทำอันตรายเราได้ อาหารเช้าที่เตรียมมามีให้เลือกทานเพียบ ทั้งคอนเฟลก นม น้ำผลไม้ มัฟฟิน ครัวซองด์ แซนด์วิช ผลไม้ และชา กาแฟ ทานอาหารเช้าท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมพูดคุยกันอย่างถูกคอ และได้รูปสวยๆในซาฟารีกลับไปอีกเพียบ
เมื่ออิ่มท้องก็เริ่ม Game Drive กันต่อ บนรถมีบริการน้ำอัดลม โซดา และเบียร์เย็นๆ ไว้ในกระติกน้ำแข็งให้ด้วย วันนี้เราเจอสัตว์หลากหลายทั้งลิงบาบูน “พังพอน” ที่เห็นเวลายืนแล้วเหมือนในหนัง Lion King เลย นกต่างๆ ก็มีให้เห็นตลอด บางตัวเสียงหวานจับใจ จนอยากพกกลับบ้านด้วยเสียเหลือเกิน ช่างภาพของเรากดชัตเตอร์มือเป็นระวิง ใครที่ชอบถ่ายภาพ มาที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง โดยเราแนะนำว่าต้องพกเลนส์ Tele Zoom ระยะ 200 millimeter ขึ้นไป มาด้วย Game Drive จนถึงเวลา 13:30 น. เรนเจอร์ก็พาเรากลับมาที่โรงแรมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และพักผ่อนเล็กน้อย เพราะช่วงกลางวันที่นี่แดดแรง แถมสัตว์ต่างๆ ก็พากันหลบแดด ไม่ค่อยออกมาให้เห็นง่ายๆ
Game Drive ช่วงเย็น ก่อนออกจากที่พัก ฟ้ามืดครึ้ม ลมแรง เหมือนฝนจะตก ทำให้ Game Drive รอบนี้เจอสัตว์ค่อนข้างน้อย จนเราเกือบจะถอดใจ แต่เหมือนฟ้าจะเป็นใจ เพราะระหว่างทางกลับที่พัก สายตาทั้งคู่หันไปตะลึงกับสัตว์ชนิดหนึ่งที่ยืนขวางทางอยู่ หลังจากตั้งสติกันอยู่สักพัก ทุกคนก็ตะโกนด้วยความดีใจพร้อมกันว่า “RHINO!!!” BIG 5 ชนิดที่ 4 เรนเจอร์หันมามองเราด้วยตาเป็นประกาย เพราะรู้ว่าเป็นสัตว์ที่เราเฝ้ารอมาตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ตื้นตัน พูดไม่ออก มือสั่นไม่รู้ว่าจะหยิบกล้องส่องทางไกลมาดูให้เห็นใกล้ๆ หรือจะหยิบกล้องถ่ายรูปก่อนดี เพราะเจ้าแรดเป็นสัตว์ที่เราอยากเจอมากที่สุด
แรดที่นี่ค่อนข้างน้อย ในพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร จะมีแค่ 2 ตัวเท่านั้น แรดที่เราเห็นเป็นแรดขาว ที่หายากมาก เพราะเหลือน้อย นอของมันจะยาวกว่าแรดทั่วไป เรานั่งดูมันเดินผ่านหน้ารถ และเดินช้าๆ อุ้ยอ้ายๆ ไปทางฝูงม้าลาย จนตะวันลับขอบฟ้า แน่นอนว่าคืนนี้เราได้หลับฝันดีเพราะ Mission Completed แล้ว
เช้าวันสุดท้ายของเราที่ Masai Mara เราออกตามหา “Leopard” BIG 5 ชนิดสุดท้ายกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะ Leopard มักจะซ่อนตัว และขี้อายไม่ค่อยออกมาให้คนเห็น เช้านี้มีหมอกปกคลุมค่อนข้างหนา การหาสัตว์ต่างๆจึงทำได้ยาก แต่เราก็ได้พบกับโขลงช้างขนาดใหญ่ ที่เดินผ่านหน้ารถ จนเรนเจอร์ของเราต้องดับเครื่องและให้เรางดใช้เสียงชั่วคราว จังหวะนั้นเงียบมาก และเสียวมากเช่นกัน
ขับต่อมาก็ได้เจอกับฝูงไฮยีน่าที่นับไปนับมามีถึง 11 ตัว ภาพที่เคยเห็นในสารคดีของมันกำลังเข้าแย่งเหยื่อช่างดูดุร้าย ต่างกับที่เราเห็นตรงหน้าตอนที่มันกำลังนอนเล่นอยู่กับลูกน้อยเสียเหลือเกิน ขาหน้าของไฮยีน่าจะยาวกว่าขาหลัง ทำให้เวลาเดินมันจะเดินแปลก แต่เวลาวิ่งจะดูปราดเปรียว กลิ่นตัวของมันก็ไม่พิสมัยเท่าที่ควร
ระหว่างทางเราผ่านแม่น้ำ Mara ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ที่บรรดาเหล่า “Wildebeest” ไว้ใช้ข้ามแดนในช่วง Immigration ( ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. เหล่า Wildebeest จะอพยพจากประเทศแทนซาเนียมายัง เคนยา ผ่านทางแม่น้ำ Mara นี้ เป็นจำนวนกว่า 1.5 ล้านตัว แต่จะเหลือรอดเพียง 3 ใน 4 เท่านั้น เนื่องจากระหว่างที่อพยพจะมีพวกจระเข้มาดักรออาหารอันโอชะเหล่านี้ด้วยใจจดจ่อ อีกทั้ง Wildebeest บางตัวก็ตกเหวตายก็มี หรือบางตัวก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลก็มี
เราได้เจอกับฝูง “ฮิปโปโปเตมัส” และ “จระเข้” จำนวนมาก แต่การจะเดินเรียบแม่น้ำแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เราจึงต้องให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแล ซึ่งมีปืนพกไว้ข้างกาย เป็นผู้นำทาง เจ้าหน้าที่เล่าให้เราฟังว่าบางครั้งจระเข้ก็จะมากินลูกฮิปโปเหมือนกัน ทำให้บรรดาเหล่าฮิปโปเกิดใหม่มักจะอยู่กับแม่ของมันเพื่อความปลอดภัย เพราะจระเข้จะไม่กล้ากับฮิปโปตัวใหญ่ เนื่องจากฮิปโปมีปากที่ใหญ่และฟันที่แข็งแรงมาก สามารถกัดจระเข้หรือคนให้ขาดเป็น 2 ท่อนได้ > <
หลังจบ Game Drive ในช่วงเช้า เรนเจอร์ได้พาเรากลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม และเตรียมเก็บของ เช็คเอ้าท์ เพื่อ Game Drive ครั้งสุดท้ายระหว่างทางไปสนามบิน
จนมาถึงสนามบิน เราก็ยังไม่ได้พบ Leopard ตามที่ตั้งใจ จนได้เวลาโบกมือลา Anthony และ Nicholas เรนเจอร์ผู้นำทางของเราแล้ว 3 วันในซาฟารีนี้ทำให้เราเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประเทศ เคนยา ไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่องของผู้คน ที่เป็นมิตร สุภาพ ชอบช่วยเหลือ และเต็มใจให้บริการ เรื่องของ Game Drive ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด ทางโรงแรมมีรถจี๊ปพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราพร้อม ให้ผู้ชำนาญเป็นผู้แนะนำ เรื่องของที่พัก แม้จะอยู่ในอุทยานก็ไม่ได้ลำบาก
Nairobi เที่ยวแบบ Half Day Tour
เรานั่งเครื่องมาประมาณ 45 นาที ก็มาถึง Wilson Airport ที่ Nairobi รอบนี้เครื่องใหญ่กว่าขามา เป็นเครื่องบินใบพัดแบบ 18 ที่นั่ง ทำให้ไม่โคลงเคลงมากนัก เรามีเวลาอยู่ที่ Nairobi ครึ่งวัน จึงตัดสินใจใช้บริการ Half Day Tour ของ Cheli & Peacock ในราคา 330 USD สำหรับ 2 คน รวมค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่มารอรับเราทันทีที่เครื่องลง
เริ่มจากไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Makutnao Grill ซึ่งเป็นร้านในสวน อิ่มแล้วก็ไปเที่ยวกันที่ Giraffe Centre ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ที่นี่เค้ามียีราฟให้เราดูมากมาย สามารถให้อาหารได้อย่างใกล้ชิด เจ้าหน้าที่จะบอกเราว่าตัวไหนที่เป็นมิตรและตัวไหนที่ค่อนข้างจะ Aggressive ที่ด้านในมีห้องนิทรรศการให้เราได้ศึกษาเกี่ยวกับยีราฟเพิ่มเติมด้วย จากที่ได้เห็นกระดูกของยีราฟ ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมยีราฟถึงสามารถเตะสิงโตจนตายได้ เพราะกระดูกของมันช่างใหญ่และแข็งแรงจริงๆ
จากนั้นไปต่อกันที่ Karen Bixsen Musuem เรื่องราวของเธอโด่งดังในรูปแบบของหนังชื่อ Out of Africa นางสิงห์แห่ง เคนยา ผู้นี้เป็นชาวเดนมาร์กซึ่งเกิดในตระกูลผู้ดีเก่า เธอแต่งงานและมาทำไร่กาแฟที่ประเทศเคนยา หลังจากที่แยกทางกับสามี เธอได้พบรักใหม่ เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก ต้องคุมคนงานนับร้อย อีกทั้งยังต้องออกไปล่าสัตว์ต่างๆ ทั้งกวาง และม้าลายเพื่อมาเลี้ยงคนงาน อีกทั้งยังต้องออกไปยิงสิงโตที่คอยมาทำร้ายชาวบ้าน ผู้คนเลยตั้งชื่อให้เธอว่า Lioness Blixen หลังจากที่สามีเสียชีวิตจากเครื่องบินตก เธอกับลูกได้ย้ายกลับไปที่เดนมาร์ก ทุกวันเธอจะนั่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับแอฟริกา ทั้ง Seven Gothic Tales และ My Africa ซึ่งกลายมาเป็นหนังเรื่อง Out of Africa ที่โด่งดัง ใครที่สนใจเรื่องราวของเธอคนนี้ไม่ควรพลาดกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ก่อนเข้าที่พัก เรามาจัดบุฟเฟ่ต์สารพัดเนื้อกันที่ร้าน Carnivore ที่นี่เค้าจะเสิร์ฟเนื้อต่างๆ ทั้งเนื้อวัว แกะ ไก่ ไก่งวง หมู นกกระจอกเทศ และเนื้อจระเข้ แบบไม่อั้น เนื้อจระเข้ที่เห็นเป็นเนื้อส่วนหาง รสชาติแหมือนเนื้อไก่แต่จะมีความกรุบกว่า ซอสที่ให้มามีทั้งหมด 6 ชนิด พนักงานจะคอยแนะนำให้เราทราบว่าซอสแต่ละชนิดทานกับเนื้อสัตว์ใด มาถึง เคนยา ทั้งทีอย่าลืมลองทานน้ำสับปะรด เพราะสับปะรดที่นี่เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อ ถึงขั้นส่งออกไปยังประเทศฝั่งตะวันตกด้วย
ใครที่อยากตะลุยซาฟารี เราขอแนะนำ Masai Mara ไว้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทาง ที่คุณจะต้องตกหลุมรักอย่างเรา ใครที่ยังกลัวการเดินทางไปประเทศที่ไม่คุ้นเคย ลองเปิดใจแล้วคุณจะพบประสบการณ์ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าโลกของเรากว้างใหญ่แค่ไหน อย่าให้คำว่ายังไม่พร้อมปิดโอกาสการเดินทางของคุณ อย่าให้สิ่งที่อยากเจออยู่แต่เพียงในหนังสือหรือในสารคดี ลองออกมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเราถึงหลงรักการเดินทาง การท่องแอฟริกาของเรายังไม่จบแค่นี้ เราจะไปต่อกันที่แซมเบียกับน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าลืมติดตามเราสองคนกันต่อว่าจะเจออะไรบ้าง
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ hypertext transfer protocol : //www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^
Comments
comments
Read more: Ex on the Beach (British series 6)