สิ่งมีชีวิตเอเลียน เช่น แบคทีเรีย ได้รับการตั้งสมมติฐานขึ้นมาว่าจะมีอยู่ในระบบสุริยะและตลอดทั่วไปทั้งเอกภพ สมมติฐานนี้ขึ้นอยู่กับ ขนาดที่กว้างใหญ่ ( huge size ) และกฎทางกายภาพที่สอดคล้องกันของ เอกภพที่สังเกตได้ จากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานในเรื่องนี้ทำโดยนักวิทยาศาสตร์เช่น คาร์ล เซแกน และ สตีเฟน ฮอว์คิง, ก็ได้มีความเห็นพ้องกันว่าไม่น่าที่จะเป็นไปได้สำหรับการที่จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่อื่นนอกเหนือจากโลก [ 10 ] [ 11 ] ข้อโต้แย้งนี้ได้ถูกรวบรวมอยู่ใน หลักการพื้นฐานโคเปอร์นิคัส ( Copernican rationale ), ที่ระบุว่าโลกไม่ได้ครอบครองตำแหน่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาล, และ หลักความธรรมดาสามัญ ( averageness rationale ) ซึ่งถือว่าไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับชีวิตบนโลก [ 12 ] คุณสมบัติทางเคมีของชีวิตอาจจะเพิ่งเริ่มเมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่เกิดบิ๊กแบงเมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีที่ผ่านมา, ในช่วงยุคที่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เมื่อจักรวาลมีอายุได้เพียง 10 ถึง 17 ล้านปี ชีวิตอาจจะปรากฏเกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นอิสระในสถานที่หลายแห่งทั่วทั้งจักรวาล หรือมิฉะนั้นชีวิตอาจก่อตัวขึ้นได้อย่างไม่บ่อยครั้งนักแล้วจึงได้แพร่กระจายออกไปในระหว่างดาวเคราะห์ที่มี ความสามารถอยู่อาศัยได้ของดาวเคราะห์ คือ สภาพที่เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ผ่านวิธีการแบบแพนสเปอร์เมีย ( panspermia ) หรือ เอ็กโซแจเนซิส ( Exogenesis ) ซึ่งมีวิธีการที่มาจากสมมติฐานที่คล้าย ๆ กัน คือ เป็นสมมติฐานที่ว่าชีวิตที่มีอยู่ทั่วทั้งจักรวาลนั้นได้ถูกแพร่กระจัดกระจายไปสู่ห้วงอวกาศและดาวเคราะห์ต่าง ๆ โดย อุกกาบาต, ดาวเคราะห์น้อย, ดาวหาง, และ วัตถุทางดาราศาสตร์ขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ ( planetoids ) [ 13 ] ในกรณีใด ๆ โมเลกุลของ สารประกอบอินทรีย์ ที่ซับซ้อนที่จำเป็นสำหรับชีวิตอาจจะเกิดขึ้นใน จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ของเม็ด ฝุ่นคอสมิค ที่ล้อมรอบ ดวงอาทิตย์ ก่อนที่จะมีการก่อตัวขึ้นของโลกโดยที่ได้มี การศึกษาโดยแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ [ 14 ] ตามที่ได้อ้างอิงจากการศึกษาถึงสิ่งเหล่านี้, กระบวนการเดียวกันนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้กับ ดาวฤกษ์ ดวงอื่น ๆ ที่มี ดาวเคราะห์ อยู่ในบริเวณโดยรอบ [ 14 ] ( โปรดดูเพิ่มเติมที่ โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์ต่างดาว ( Extraterrestrial organic molecules ) ) สถานที่แนะนำที่ชีวิตอาจจะได้มีการพัฒนาขึ้น ได้แก่ ดาวเคราะห์เช่น ดาวศุกร์, [ 15 ] ดาวอังคาร, ดวงจันทร์ ยูโรปา ของ ดาวพฤหัสบดี, [ 16 ] ดวงจันทร์ ไททัน และ เอนเซลาดัส ของ ดาวเสาร์ [ 17 ] ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011, นักวิทยาศาสตร์นาซ่ารายงานว่าดวงจันทร์เอนเซลาดัส “ เป็นดาวเคราะห์น้องใหม่ที่มีแนวโน้มที่น่าสนใจที่มีสภาพที่เหมาะสมต่อการเป็นแหล่งที่เอื้ออิงอาศัยอยู่ได้สำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดนอกเหนือจากโลกของเราในระบบสุริยะเท่าที่เรารู้จักกันดีที่สุดในตอนนี้ ” [ 18 ] นับตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ได้มุ่งเสนอแนะส่งเสริมต่อแนวความคิดที่ว่า “ เขตอาศัยได้ “ ( habitable zone ) เป็นอาณาบริเวณที่ที่มีแนวโน้มมากที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตที่อาจจะสามารถพบเจอได้ การค้นพบมากมายในโซนเขตอาณาบริเวณเหล่านี้มีมาตั้งแต่ปี 2007 มีการสร้างการประมาณการของความถี่ของจำนวนของดาวเคราะห์ที่มีสภาพคล้ายโลก -ในแง่ของส่วนประกอบสภาพแวดล้อมของดาว -ที่มีการนับเป็นจำนวนไว้ได้เป็นจำนวนหลายพันล้านดวง แต่นี่เป็นข้อมูลในปี 2013, มีเพียงจำนวนเล็กน้อยของดาวเคราะห์ที่ได้รับการค้นพบในโซนเหล่านี้ [ 19 ] อย่างไรก็ตาม, ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2013 นักดาราศาสตร์ได้มีรายงาน, บนพื้นฐานของข้อมูลภารกิจของ ยานอวกาศเคปเลอร์, ว่าอาจจะมี ดาวเคราะห์คล้ายโลก ( Earth-sized satellite ) เป็นจำนวนมากถึง 40 พันล้านดวง โคจรอยู่โดยรอบใน เขตอาศัยได้ ของ ดาวคล้ายดวงอาทิตย์ ( Sun-like ace ) และ ดาวแคระแดง ( red dwarf ) ใน ทางช้างเผือก, [ 20 ] [ 21 ] ที่มีจำนวนถึง 11 พันล้านดวงซึ่งอาจจะโคจรอยู่รอบดาวที่คล้ายดวงอาทิตย์ [ 22 ] ดาวเคราะห์ดังกล่าวที่อยู่ใกล้โลกที่สุดอาจจะอยู่ห่างเป็นระยะทาง 12 ปีแสงห่างออกไปตามการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ [ 20 ] [ 21 ] นักชีววิทยาดาราศาสตร์ยังได้มีการพิจารณาการ “ ติดตามพลังงาน ” ( follow the department of energy ) ในมุมมองของการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีศักยภาพอีกด้วย [ 23 ] [ 24 ]
สมมติฐานหลายข้อได้รับการเสนอเกี่ยวกับพื้นฐานที่เป็นไปได้ของชีวิตต่างดาวจากมุมมองทาง ชีวเคมี, วิวัฒนาการ หรือลักษณะทาง สัณฐานวิทยา
Reading: สิ่งมีชีวิตนอกโลก – วิกิพีเดีย
ทุกชีวิตบนโลกนั้นมีพื้นฐานอยู่บนองค์ประกอบทางเคมี 26 ชนิด อย่างไรก็ดี, ประมาณ 95 % ของชีวิตนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเพียงหกอย่างเหล่านี้ คือ : คาร์บอน, ไฮโดรเจน, ไนโตรเจน, ออกซิเจน, ฟอสฟอรัส, และ กำมะถัน อักษรย่อคือ CHNOPS ทั้งหกองค์ประกอบเหล่านี้เป็นรูปแบบของการสร้างบล็อกขั้นพื้นฐานของแทบทุกชีวิตบนโลกในขณะที่ส่วนใหญ่ขององค์ประกอบที่เหลือจะพบในปริมาณเพียงเล็กน้อย [ 25 ] ชีวิตบนโลกต้องใช้ น้ำ เป็น ตัวทำละลาย ในการที่ปฏิกิริยาชีวเคมีจะเกิดขึ้นได้ ปริมาณที่เพียงพอของคาร์บอนและองค์ประกอบอื่นๆพร้อมกับน้ำอาจช่วยให้มีการก่อกำเนิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่มีสารเคมีเป็นต้นกำเนิดพื้นฐาน ( constitution ) และมีช่วงของอุณหภูมิในย่านที่คล้ายกันกับโลก [ 26 ] ดาวเคราะห์หิน เช่น โลกเกิดขึ้นได้จากกระบวนการที่ช่วยให้สำหรับความเป็นไปได้ของการมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับโลก การรวมกันของคาร์บอน, ไฮโดรเจน และออกซิเจน ในรูปแบบทางเคมีของ คาร์โบไฮเดรต ( เช่น น้ำตาล ) สามารถเป็นแหล่งของพลังงานเคมีที่ชีวิตจะต้องพึ่งพาอาศัย และสามารถเอื้ออำนวยให้เกิดเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างสำหรับชีวิต ( เช่น น้ำตาล ไรโบส ( ribose ) ในโมเลกุล ดีเอ็นเอ ( DNA ) และ อาร์เอ็นเอ ( RNA ) และ เซลลูโลส ( cellulose ) ในพืช ) พืชได้รับพลังงานโดยการแปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมีโดยผ่านทาง การสังเคราะห์ด้วยแสง สิ่งมีชีวิตตามที่เป็นที่รับรู้กันในตอนนี้นั้นต้องการคาร์บอนในรูปแบบของ ปฏิกิริยารีดอกซ์ ของทั้งสองแบบ [ 27 ] ( คือ จำพวกก๊าซมีเธน ) และที่อยู่ในสภาพผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชันเป็นบางส่วน ( คาร์บอนออกไซด์ ) ไนโตรเจนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการลดลงของอนุพันธ์ แอมโมเนีย ใน โปรตีน ทั้งหมด กำมะถัน เป็นอนุพันธ์ของ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ในโปรตีนที่จำเป็นบางส่วนและ ฟอสฟอรัส จะถูกออกซิไดซ์ไปเป็น ฟอสเฟต ในสารพันธุกรรมและในการถ่ายโอนพลังงาน น้ำบริสุทธิ์นั้นมีประโยชน์เพราะมันมีค่า พีเอช ที่เป็นกลางเนื่องจากการแยกตัวออกจากกันอย่างต่อเนื่องระหว่าง ไฮดรอกไซด์ และ ไฮโดรเนียม ไอออน ( hydronium ions ) เป็นผลทำให้มันสามารถละลายทั้งไอออนบวกของโลหะและไอออนลบของสารที่ไม่ใช่โลหะด้วยความสามารถที่เท่าเทียมกันได้ นอกจากนี้ความจริงที่ว่าโมเลกุลสารอินทรีย์ที่สามารถเป็นได้ทั้งแบบ ไฮโดรโฟบิก ที่ไม่ชอบน้ำ ( ขับไล่น้ำ ) หรือแบบไฮโดรฟิลิค ( hydrophilic ) ( ละลายในน้ำ ) จะช่วยสร้างความสามารถของสารประกอบอินทรีย์ในการที่จะปรับทิศทางของตัวมันเองให้อยู่ในรูปแบบของ เยื่อ [ 28 ] ทางชีวภาพที่สามารถห่อหุ้มน้ำไว้ได้ ( water-enclosing membranes ) นอกจากนี้ พันธะไฮโดรเจน ระหว่างโมเลกุลของน้ำทำให้มันมีความสามารถในการจัดเก็บ พลังงาน ที่มี การระเหย ซึ่งเมื่อเกิด การควบแน่น เข้าก็จะถูกปลดปล่อยออกมาได้นี้จะช่วยให้สภาพภูมิอากาศมีอุณหภูมิอยู่ในระดับปานกลาง บริเวณเขตร้อนของโลกก็จะเย็นสบายและบริเวณขั้วโลกก็จะอบอุ่นขึ้น ทำให้ช่วยรักษาเสถียรภาพทาง อุณหพลศาสตร์ ที่จำเป็นสำหรับชีวิตไว้ได้ คาร์บอนเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตบนพื้นดินที่มีความยืดหยุ่นอยู่มากในการสร้าง เคมีพันธะโคเวเลนต์ ( covalent chemical bonds ) ที่มีความหลากหลายของธาตุที่ไม่ใช่โลหะ, อันได้แก่ ไนโตรเจน, ออกซิเจน และ ไฮโดรเจน เป็นหลัก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ น้ำ เป็นตัวช่วยร่วมกันในการทำให้การจัดเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ให้อยู่ในรูปของ น้ำตาล และ แป้ง เช่น กลูโคส ดาวเคราะห์หิน หรือที่เรียกว่า ดาวเคราะห์คล้ายโลก อย่างเช่น โลกของเรา จะก่อตัวขึ้นด้วยกระบวนการที่ช่วยให้ความเป็นไปได้ของการมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับที่โลกของเรามีได้ [ 29 ] การผสมผสานกันระหว่าง คาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ในรูปแบบทางเคมีของ คาร์โบไฮเดรต ( carbohydrate ) ( ตัวอย่างเช่น น้ำตาล ) จะสามารถเป็นแหล่งของ พลังงาน ทางเคมีที่ชีวิตจะสามารถพึ่งพาได้และสามารถเอื้ออำนวยก่อให้เกิดองค์ประกอบโครงสร้างทางชีวเคมีที่จำเป็นสำหรับการก่อกำเนิดชีวิตได้ พืชได้รับพลังงานผ่านการแปลงพลังงานแสงให้เป็นพลังงานทางเคมีผ่านทาง การสังเคราะห์ด้วยแสง อย่างไรก็ตาม คาร์ล เซแกน ได้ชี้ว่าลักษณะที่ปรากฏในสิ่งชีวิตทั้งหมดบนโลกนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นลักษณะที่มีอยู่ในสิ่งชีวิตทั้งหมดในจักรวาล [ 30 ] ซึ่งคาร์ลได้เรียกการอนุมานดังกล่าวว่า “ การยึดอคติคาร์บอน ” ( carbon chauvinism ) [ 31 ] โดยคาร์ลเห็นว่า ซิลิคอน และ เจอร์เมเนียม นั้นอาจเป็นสิ่งที่อาจแทนที่คาร์บอนได้ [ 31 ] แต่ขณะเดียวกันก็ชี้ว่าคาร์บอนนั้นดูเหมือนจะมีความหลากหลายทางเคมีมากกว่าและมีปริมาณในจักรวาลมากกว่าด้วย [ 32 ]
นอกจากนี้ยังมีพื้นฐานทางชีวเคมีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกจำนวนมากที่ได้มีการพิจารณาทางการ วิวัฒนาการ ( evolution ) และ สัณฐานวิทยา ( morphology ) ใน นิยายวิทยาศาสตร์ มักจะปรากฏมีภาพของสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีรูปแบบ คล้ายมนุษย์ ( android ) หรือ สัตว์เลื้อยคลาน ( reptilian ) อยู่เสมอ ๆ เอเลียนตามภาพปรากฏที่เราคุ้นตากันนั้นมักจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่มีผิวกายสีเขียวหรือสีเทาอ่อน, มีศีรษะขนาดใหญ่เช่นเดียวกับที่มีสี่แขนขา-เหมือนกับ ลักษณะของมนุษย์โดยพื้นฐานทั่วไป ในรูปแบบอื่น ๆ ก็มีเช่น เหมือนสัตว์ในตระกูลแมว, แมลง, หยดสี ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในการเป็นตัวแทนสมมติของมนุษย์ต่างดาว การจัดแยกแบ่งจำแนกตามการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกตามหลักการของวิวัฒนาการและสัณฐานวิทยานี้ ได้รับการเสนอแนะให้อยู่ระหว่างคุณลักษณะของความเป็นสากลทั่วไปและการถูกจำกัดวงแคบ ( ถูกจำกัดวงให้แคบเข้า ) ความเป็นสากล เป็นคุณสมบัติที่คิดว่าน่าจะมีการวิวัฒนาการอย่างมีความเป็นอิสระมากกว่าหนึ่งครั้งเมื่อคิดเปรียบเทียบกับที่จะเกิดบนดาวเคราะห์เช่น โลก ของเรา ( และน่าจะไม่ยากเกินไปที่จะพัฒนา ) และจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งที่ สายพันธุ์ หรือ สปีชีส์ ( species ) นั้นจะมีแนวโน้มในการวิวัฒนาการมุ่งไปทางสิ่งมีชีวิตรูปแบบเหล่านั้น ความเป็นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจจะเป็นความ สมมาตรแบบครึ่งซีก ( bilateral symmetry ) [ 33 ] [ 34 ] แต่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ( แต่ก็ยังคงเป็นพื้นฐาน ) นั้นรวมไปถึงลักษณะ การบิน การมองเห็น ( sight ) การสังเคราะห์แสง และ รยางค์ ( แขนขา ) ( limbs ) ซึ่งทั้งหมดนี้มีแนวคิดกันว่าน่าจะมีการพัฒนาการเกิดขึ้นหลายครั้งบนโลกใบนี้
มีเทหะวัตถุบางแห่งในระบบสุริยะที่ได้รับการแนะนำว่ามีศักยภาพสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีความเหมาะสมสามารถจะเป็นโฮสต์หรือเจ้าบ้านให้แก่ชีวิตนอกโลกได้, โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งก็คือ บริเวณ ใต้พื้นผิวมหาสมุทร ( subsurface ocean ) [ 35 ] แม้ว่าจะเกิดจากความขาดแคลนแร้นแค้นของสภาพแวดล้อมในการที่จะเป็นสถานที่สำหรับการเอื้ออาศัยอยู่ได้ของสิ่งมีชีวิตมากเกินไปกว่าโลกของเรา, ที่ควรจะค้นพบชีวิตอยู่ในที่อื่น ๆ ในระบบสุริยะ, นักชีวดาราศาสตร์ก็ได้ชี้ให้เห็นว่ามันอาจจะมีแนวโน้มที่ชีวิตนั้นจะสามารถดำรงอยู่ได้ในรูปแบบของ จุลินทรีย์ ประเภท “ เอกซ์ตรีมเมเฟียล “ ( extremophile microorganisms ) คือ จุลินทรีย์ ที่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่หฤโหดสุดขั้ว เช่น บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง, มีความเป็นกรดสูง ดาวอังคารอาจมีสภาพแวดล้อมที่มีช่องซอกโพรงใต้ผิวดินที่จุลินทรีย์ที่มีชีวิตอาจจะมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ [ 36 ] [ 37 ] [ 38 ] สภาพแวดล้อมใต้ผิวมหาสมุทรบนดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดีอาจจะเหมาะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยมากที่สุดในระบบสุริยะ, นอกโลกสำหรับ จุลินทรีย์ เอกซ์ตรีมเมเฟียล [ 39 ] [ 40 ] [ 41 ] สมมุติฐาน แพนสเปอร์เมีย ( panspermia hypothesis ) เสนอว่าชีวิตในที่อื่น ๆ ในระบบสุริยะอาจมีต้นกำเนิดร่วมกัน หากชีวิตนอกโลกถูกพบในเทหวัตถุอื่น ๆ ในระบบสุริยะก็อาจมีต้นตอมาจากโลกเช่นเดียวกับชีวิตบนโลกที่อาจได้รับเมล็ดพันธ์ชีวิตจากที่อื่น ๆ ( เอ็กโซแจเนซิส ( exogenesis ) ) การกล่าวถึงคำว่า ‘แพนสเปอร์เมีย ‘ เป็นที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกในงานเขียนของนักปรัชญาชาว กรีก ที่ชื่อ แอแนกแซเกอเริส ( Anaxagoras ) ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 [ 42 ] ในศตวรรษที่ 19 มันได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัยโดยนักวิทยาศาสตร์หลายคน, รวมทั้ง เยินส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส ( พ.ศ. 2377 ), [ 43 ] เคลวิน ( พ.ศ. 2414 ), [ 44 ] แฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ ( พ.ศ. 2422 ) [ 45 ] และหลังจากนั้นต่อมาโดย สวานเต อาร์เรเนียส ( พ.ศ. 2446 ) [ 46 ] เซอร์ เฟรด ฮอยล์ ( Sir Fred Hoyle ) ( พ.ศ. 2458-2544 ) และ จันทรา วิกครามาซิง ( Chandra Wickramasinghe ) ( เกิด พ.ศ. 2482 ) สองนักวิทยาศาสตร์ผู้นำเสนอข้อสันนิษฐานสำคัญซึ่งสนับสนุนยืนยันว่ารูปแบบของชีวิตสามารถดำเนินการสีบต่อเนื่องเข้ามาสู่ใน บรรยากาศของโลก ได้และอาจจะเป็นตัวการของการแพร่ระบาดของโรคระบาด, โรคภัยไข้เจ็บใหม่ ๆ และความแปลกใหม่ทางพันธุกรรมที่จำเป็นสำหรับ วิวัฒนาการระดับมหภาค ( Macroevolution ) [ 47 ] [ 48 ] ( วิวัฒนาการระดับมหภาค เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในกลุ่มสิ่งมีชีวิตระดับสปีชีส์ ขึ้นไป โดยการเปลี่ยนแปลงนำไปสู่สิ่งมีชีวิตหลากหลายในปัจจุบัน เช่น กิ้งก่า ไก่ ต่างมีวิวัฒนาการแตกแขนงมาจากนกโบราณ ( เทอราโนดอน ) ที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว ) สมมติฐานแพนสเปอร์เมียได้ชี้นำเกี่ยวกับการส่งผ่านจุลชีพในอวกาศ, โดยเจตนาส่งตรงมายังโลกเพื่อเริ่มต้นชีวิตขึ้นที่นี่, หรือส่งมาจากโลกเพื่อสร้างระบบดาวฤกษ์ขึ้นใหม่ด้วยชีวิต สองนักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ฟรานซิส คริก ( Francis Crick ) พร้อมกับ เลสลี่ ออร์เกล ( Leslie Orgel ) เสนอว่าเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตอาจได้รับการแพร่กระจายอย่างจงใจโดยอารยธรรมชั้นสูงนอกโลก, [ 49 ] แต่เมื่อพิจารณา “ สมมติฐานโลกของ RNA “ ( RNA world ) ตั้งแต่แรก คริก ตั้งข้อสังเกตในภายหลังว่าชีวิตอาจก่อกำเนิดเกิดขึ้นบนโลกของเรานี่เอง [ 50 ]
ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ, ดาวศุกร์มักจะคิดกันว่าคล้ายคลึงกับโลกในแง่ของความเป็นแหล่งเอื้ออาศัยอยู่ได้ของชีวิต, แต่จากการสังเกตการณ์ที่เริ่มมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของยุคอวกาศได้เผยให้เห็นว่าพื้นผิวของดาวศุกร์เป็นสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยในการดำรงชีวิตเหมือนดังเช่นโลก โดยพบว่าอุณหภูมิพื้นผิวดาวศุกร์อยู่ที่ประมาณ 467 °C ( 873 °F ) [ 51 ], อย่างไรก็ตาม, บรรยากาศของดาวศุกร์เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบทั้งหมดซึ่งอาจเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับโลก ที่ระดับความสูงระหว่าง 50 และ 65 กิโลเมตร, ความดันและอุณหภูมิจะมีความคล้ายคลึงกับโลก, และได้รับการสมมุติฐานว่าน่าจะมีจุลินทรีย์ที่ดำรงชีพอยู่ได้ในอากาศและอาจเอื้อต่อการมีชีวิตอยู่ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ได้ในสภาพที่มีความร้อนสูงในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ที่เป็นกรด [ 52 ] [ 53 ] [ 54 ] [ 55 ] นอกจากนี้, ดาวศุกร์น่าจะมีน้ำในสถานะของเหลวบนพื้นผิวเป็นเวลาอย่างน้อยไม่กี่ล้านปีหลังจากการก่อตัวของมัน [ 56 ] [ 57 ] [ 58 ] ในเดือนกันยายนปี 2020 มีการตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการตรวจพบก๊าซ ฟอสฟีน ( phosphine ) ในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ในระดับความเข้มข้นที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกระบวนการทางอชีวนะ ( abiotic ซึ่งไม่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตหรือไม่ได้เกิดมาจากสิ่งมีชีวิต แต่เกิดมาจากกลไกทางกายภาพและไม่ได้เป็นกลไกทางชีวภาพที่รู้จักกันในสภาพแวดล้อมของดาวศุกร์ เช่น การเกิดฟ้าผ่าหรือการระเบิดของภูเขาไฟ ) [ 59 ] [ 60 ]
ชีวิตบนดาวอังคารได้รับการสันนิษฐานกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว น้ำที่อยู่ในสถานะของเหลวนั้น เป็นแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในการมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารในอดีตกาลที่ผ่านมา, และในขณะนี้บางครั้งบางคราวก็อาจจะพบเจอ น้ำเกลือเข้มข้น ( brine ) ในสภาพของเหลวในปริมาณต่ำบนพื้นดินตื้น ๆ บนดาวอังคาร [ 61 ] ต้นกำเนิดของสัญญาณชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ของก๊าซมีเทนถูกสังเกตได้ในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารยังไม่ได้รับการอธิบาย, แม้ว่าสมมติฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ( abiotic hypotheses ) ยังคงได้รับการเสนออยู่ [ 62 ] โดยในเดือนกรกฎาคม ปี 2008 ในห้องปฏิบัติการทดสอบบนยานอวกาศของนาซา ชื่อ ฟีนิกซ์ มาร์ส แลนด์เดอร์ ( Phoenix Mars lander ) ระบุว่าพบน้ำในตัวอย่างผิวหน้าดิน ภาพถ่ายจากยาน มาร์ส โกลโบล เซอร์เวเยอร์ ( Mars Global Surveyor ) เมื่อปี 2006 แสดงให้เห็นหลักฐานเมื่อไม่นานมานี้ ( นั่นคือภายใน 10 ปี ) ของการไหลของของเหลวบนพื้นผิวดาวอังคารที่หนาวเย็น [ 63 ] มีหลักฐานว่าในอดีตดาวอังคารเคยมีอากาศที่อบอุ่นและชุ่มชื้น : ก้นแม่น้ำที่แห้งขอด, ขั้วน้ำแข็ง, ภูเขาไฟ, และแร่ธาตุที่ก่อตัวขึ้นในการแสดงถึงการมีอยู่ของน้ำที่ทั้งหมดได้รับการค้นพบ แต่อย่างไรก็ตาม, สภาพปัจจุบันบนดาวอังคารนั้น ชั้นใต้ผิวดินอาจจะสนับสนุนการดำรงชีวิต [ 64 ] [ 65 ] หลักฐานที่ได้จากยาน คิวริออซิตี โรเวอร์ที่กำลังศึกษาบริเวณ Aeolis Palus, ในปี 2013 หลุมอุกกาบาตเกล ( Gale Crater ) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเคยมีทะเลสาบน้ำจืดโบราณที่น่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อชีวิตจุลินทรีย์ ( microbial life ) [ 66 ] [ 67 ]
ดาวเคราะห์แคระ ซีรีส ( Ceres ), เป็น ดาวเคราะห์แคระ ( dwarf planet ) ที่อยู่เฉพาะใน แถบดาวเคราะห์น้อย ( asteroid belt ) ได้รับการยืนยันจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชลแล้วว่ามีบรรยากาศที่มีชั้นไอน้ำอยู่เบาบาง [ 68 ] [ 69 ] น้ำค้างแข็ง ( Frost ) ที่มีอยู่บนพื้นผิวของดาวนั้นนอกจากนี้ก็ยังอาจได้รับการตรวจพบได้ในรูปแบบของ จุดสว่าง ( bright spots ) [ 70 ] [ 71 ] [ 72 ]
ในปี ค.ศ. 1960 และ ค.ศ. 1970 คาร์ล เซแกน และคนอื่น ๆ ได้คิดคำนวณเงื่อนไขสำหรับการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์หรือจุลชีพที่สามารถดำรงชีวิตอาศัยอยู่ได้ในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี
ดวงจันทร์ไททันและดวงจันทร์เอนเซลาดัสซึ่งเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ได้รับการคาดการณ์ในอันที่จะเป็นโฮสหรือเจ้าบ้านที่อยู่อาศัยที่เป็นไปได้สำหรับการดำรงอยู่ของชีวิต
ดวงจันทร์ เอนเซลาดัส ( Enceladus ) ของดาวเสาร์มีบางส่วนของเงื่อนไขสำหรับการดำรงชีวิตอยู่รวมทั้งกิจกรรมของพลังงานความร้อนและไอน้ำใต้ภิภพ, ตลอดจนความเป็นไปได้ของการได้รับพลังงานความร้อนมาจากภายใต้มหาสมุทรน้ำแข็งจากผลกระทบของน้ำขึ้นน้ำลง
ไททัน เป็น ดาวบริวารของดาวเสาร์ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นดวงเดียวที่รู้จักกันในระบบสุริยะว่ามีชั้นบรรยากาศที่มีความพิเศษอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากภารกิจของยาน แคสซีนี–ไฮเกนส์ ( Cassini-Huygens ) ได้หักล้างสมมติฐานของมหาสมุทรไฮโดรคาร์บอนทั้งหมด, แต่ต่อมาได้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของทะเลสาบไฮโดรคาร์บอนเหลวในบริเวณขั้วของดาวซึ่งเป็นวัตถุที่มีความเสถียรอย่างแรกที่พื้นผิวของของเหลวที่ค้นพบนอกโลก [ 73 ] [ 74 ] [ 75 ] การวิเคราะห์ข้อมูลจากภารกิจได้เปิดเผยแง่มุมของคุณสมบัติทางเคมีของชั้นบรรยากาศใกล้พื้นผิวที่สอดคล้องกัน – แต่ไม่ได้พิสูจน์ – สมมติฐานที่ว่า สิ่งมีชีวิตมีอยู่ ( organisms there ) ถ้ามันมีอยู่จริง, พวกมันอาจบริโภคก๊าซไฮโดรเจน, อะเซทิลีน และ อีเทน เป็นอาหารและผลิตก๊าซมีเทนออกมาเป็นผลพลอยได้
เทห์วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ ( Small Solar System bodies ) [แก้ ]
เทห์วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ ( Small Solar System bodies ) ก็ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเจ้าบ้านประเภท เอกซ์ตรีมเมเฟียล ( extremophile )
มนุษย์ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อพิสูจน์เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังมีจินตนาการภาพลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่ได้ในสื่อต่างๆ ทั้ง ภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูน และ วิดีโอเกม
ได้มีการแบ่งประเภทตามลักษณะของผู้ที่อ้างว่าได้พบเจอมนุษย์ต่างดาวไว้ ดังนี้
การค้นหาทางวิทยาศาสตร์สำหรับชีวิตต่างดาวจะถูกดำเนินการทั้งทางตรงและทางอ้อม
Read more: Ex on the Beach (British series 6)
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นหาโดยตรงสำหรับ สัญญาณของชีวิต ( biosignatures ) ภายใน ระบบสุริยะ มีการดำเนินการศึกษาบนพื้นผิวของดาวอังคารและตรวจสอบ อุกกาบาต ( meteorites ) ซึ่งได้ตกลงสู่พื้นผิวโลก [ 78 ] [ 79 ] [ 80 ] มีการกล่าวอ้างบางอย่างถึงการที่มีพยานหลักฐานระบุว่ามีสิ่งมีชีวิตในระดับ “ จุลชีพ ” ( microbial liveliness ) สามารถดำรงชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคารได้ [ 81 ] [ 82 ] [ 83 ] [ 84 ] [ 85 ] [ 86 ] จากการทดลองบนยานทั้งสองครั้งของ ยานไวกิ้ง ที่ได้ทำการร่อนลงจอดบนพื้นผิวของดาวอังคารได้รายงานถึงการปล่อยก๊าซจากตัวอย่างดินบนดาวอังคารที่ถูกทำให้อุ่นที่นักวิทยาศาสตร์บางคนได้ยืนยันว่ามีความสอดคล้องกับการมีอยู่ของจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ [ 87 ] การขาดหลักฐานยืนยันจากการทดลองอื่นๆในกลุ่มตัวอย่างเดียวกันแสดงให้เห็นว่าปฏิกิริยาที่ไม่ใช่ทางชีวภาพ ( non-biological chemical reaction ) ดูจะมีแนวโน้มที่เป็นสมมุติฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่า [ 87 ] [ 88 ] [ 89 ] [ 90 ] ในปี 1996, มีรายงานโต้แย้งระบุว่า มีโครงสร้างที่มีลักษณะคล้าย นาโนแบคทีเรีย ( nanobacteria ) ถูกค้นพบในอุกกาบาต, ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า เอแอลเอช 84001 ( ALH84001 ), อยู่ในรูปแบบของ ก้อนหินที่พุ่งกระเด็นออกมาจากดาวอังคาร ( rock ejected from Mars ) [ 81 ] [ 82 ] ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2005 นักวิทยาศาสตร์ของนาซารายงานว่าพวกเขาอาจได้พบหลักฐานบางอย่างของชีวิตบนดาวอังคาร [ 91 ] สองนักวิทยาศาสตร์ ได้แก่, แครอล สโตกเกอร์ ( Carol Stoker ) และ ลาร์รี่ เลมกี แห่ง ศูนย์วิจัยเอมส์ ( Ames Research Center ) ของนาซ่า ตามข้ออ้างของพวกเขาที่ได้พบก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวอังคารคล้ายกับการผลิตก๊าซมีเทนบางรูปแบบของชีวิตดึกดำบรรพ์ดั้งเดิมบนโลก, เช่นเดียวกับการศึกษาของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตดึกดำบรรพ์ที่อยู่ใกล้ แม่น้ำริโอทินโต ( Rio Tinto river ) ใน สเปน
การค้นหาของนักดาราศาสตร์สำหรับดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะได้จำกัดเป้าหมายของการค้นหาให้แคบลงโดยมุ่งไปที่การค้นหา ดาวเคราะห์คล้ายโลก หรือบางครั้งก็เรียกว่า ดาวเคราะหิน ( tellurian planet ) ที่อยู่ภายใน เขตอาศัยได้ ( habitable zone ) สำหรับชีวิต [ 92 ] [ 93 ] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา, มีดาวเคราะห์ที่อยู่นอกระบบกว่า 2000 ดวงที่ได้มีการค้นพบแล้ว ( 2052 ดวงอยู่ในระบบดาวเคราะห์ ( planetal system ) 1300 ระบบ รวมทั้งสิ้น 507 ระบบ ที่อยู่ภายในมหาระบบดาวเคราะห์ ( multiple planetary system ) ณ วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2016 )
ในปี 1961, มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียซานตาครูซ, นักดาราศาสตร์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ดร.แฟรงก์ เดรก ( Dr. Frank Drake ) ได้คิดค้น สมการของเดรก ขึ้น สมการที่มีความขัดแย้งกันนี้เป็นผลการคูณแบบประมาณการเข้าด้วยกันของเทอมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- N = R ∗ ⋅ f p ⋅ normality einsteinium ⋅ f ℓ ⋅ f one ⋅ farad coulomb ⋅ L { \displaystyle N=R_ { \ast } \cdot f_ { phosphorus } \cdot n_ { e } \cdot f_ { \ell } \cdot f_ { one } \cdot f_ { c } \cdot L }
เมื่อ :
- N = จำนวนของอารยธรรมที่มีอยู่ในกาแลคซีทางช้างเผือกที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารข้ามอวกาศระหว่างดาวนพเคราะห์ได้
และ
- R* = อัตราเฉลี่ยของการก่อตัวของดาวฤกษ์ในกาแล็กซีของเรา
- fp = สัดส่วนของดาวฤกษ์เหล่านั้นที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
- ne = ค่าเฉลี่ยของจำนวนดาวเคราะห์ที่อาจจะสนับสนุนการมีอยู่ของชีวิต
- fl = สัดส่วนของดาวเคราะห์ตามความเป็นจริงที่สนับสนุนการมีอยู่ของชีวิต
- fi = สัดส่วนของดาวเคราะห์ที่มีชีวิตที่สามารถพัฒนากลายมาป็นสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดทรงภูมิปัญญา (มีอารยธรรม)
- fc = สัดส่วนของอารยธรรมที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีในการถ่ายทอดสัญญาณที่ตรวจพบของการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขาส่งขึ้นไปสู่ยังห้วงอวกาศได้
- L = ความยาวนานของระยะเวลาที่นานพอที่อารยธรรมดังกล่าวจะสามารถถ่ายทอดสัญญาณที่ตรวจพบได้เข้ามาในอวกาศ
เดรกได้นำเสนอการประมาณการดังต่อไปนี้, แต่ตัวเลขทางด้านขวาของสมการคือการยอมรับกันว่าเป็นการคาดเดาและเปิดกว้างให้มีการเปลี่ยนแปลงค่าตัวเลขกันได้ : 10, 000 = 5 ⋅ 0.5 ⋅ 2 ⋅ 1 ⋅ 0.2 ⋅ 1 ⋅ 10, 000 { \displaystyle 10,000=5\cdot 0.5\cdot 2\cdot 1\cdot 0.2\cdot 1\cdot 10,000 } [ 94 ] สมการเดรกได้รับการพิสูจน์ความขัดแย้งเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัยยังมีความไม่แน่นอนและขึ้นอยู่กับการคาดเดา, จึงยังไม่อนุญาตให้มีข้อสรุป
ในสมัยยุคโบราณ, เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเชื่อกันว่าจักรวาลนั้นประกอบด้วย “ หลายโลก ” ที่เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด ไม่ใช่รูปแบบของสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ “ โลก ” ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเรื่องซึ่ง เกี่ยวกับตำนาน ( fabulous ) ที่เล่าขานสืบต่อกันมาและยังไม่เป็นที่กระจ่างแจ้งต่อความเข้าใจของมนุษย์เราในยุคสมัยนั้น ที่ว่า จะมี ระบบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ของ ระบบสุริยะ หรือว่า ดวงอาทิตย์ จะเป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในท่ามกลางหมู่ ดาวฤกษ์ จำนวนนับไม่ถ้วนกันแน่ [ 95 ] ตัวอย่างได้แก่ ตำนานเรื่อง สิบสี่ โลกา ( fourteen Loka ) ในวิชา จักรวาลวิทยา ในศาสนาฮินดูหรือ เก้าโลก ของเทพนิยายนอร์ซอันเก่าแก่ ( Nine Worlds of Old Norse ) ฯลฯ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นมักจะปรากฏว่าเป็นโลกที่อาศัยอยู่ของสิ่งมีชีวิตในบริบทดังกล่าวหรือเป็นดังยานพาหนะ ( รถม้าศึก ( chariot ) หรือเรือ ฯลฯ ) ที่เทพเจ้า ( god ) ขับเคลื่อน นิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นเรื่องของ ตำนานคนตัดไผ่ ( The Tale of the Bamboo Cutter ) ( ศตวรรษที่ 10 ) เป็นตัวอย่างของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ที่ได้มาเยี่ยมชมโลก มีความเชื่อของ ศาสนาพุทธ และ ฮินดู เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำรอบแล้วซ้ำรอบเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของชีวิตที่เรียกว่า สังสารวัฏ ได้นำไปสู่รายละเอียดของการมีอยู่ของโลกที่มีอยู่หลายโลก และการติดต่อสื่อสัมพันธ์กันระหว่างโลกที่มีอยู่ทั้งหลายเหล่านั้น ( คำ สันสกฤต สฺมปรก อ่านว่า “ สัม-ปา-ระ-กะ ” ( sampark ) ( सम्पर्क ) หมายถึง “ การติดต่อ ” ( คำแปลในความหมายคำภาษาอังกฤษ คือ contact [ 96 ] [ 97 ] ) ใน มหาสฺมปรก อ่านว่า “ มะ-หา-สัม-ปา-ระ-กา ” ( Mahasamparka ) ( महासम्पर्क ) = “ การติดต่อที่ยิ่งใหญ่ ” ) ตามที่พระคัมภีร์พุทธและฮินดูได้จารึกไว้ว่า มีจักรวาลที่มีอยู่มากมายหลายจักรวาลเป็นจำนวนมาก ในคัมภีร์ทัลมุด ( Talmud states ) ของชาวยิวซึ่งได้กล่าวไว้ถึงการที่มีโลกอื่นเป็นจำนวนอย่างน้อย 18,000 โลก ปรากฏอยู่, แต่ก็มีรายละเอียดเพิ่มเติมเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ กับธรรมชาติของโลกเหล่านั้น, ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายภาพหรือทางจิตวิญญาณ จากหลักฐานนี้, อย่างไรก็ตาม, ในงานแสดงนิทรรศการในศตวรรษที่ 18 ที่มีชื่อว่า “ Sefer HaB’rit ” = “ ซีเฟอร์ แฮบเบอะเรต ” ได้แสดงท่าทีให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกนั้นมีอยู่จริง ๆ, และซึ่งในบรรดามนุษย์ต่างดาวทั้งหมดนั้นบางส่วนบางจำพวกก็อาจจะมีความสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก มันจึงเป็นการช่วยเพิ่มเติมแนวความคิดที่ว่า มนุษย์ไม่ควรที่จะคาดหวังถึงสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นที่จะมีลักษณะคล้ายกับชีวิตบนโลกมากเกินไปกว่าสัตว์ทะเลที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์บก [ 98 ] [ 99 ] สอดคล้องกับที่กลุ่มมุสลิม Ahmadiyya ได้กล่าวอ้างอิงโดยตรงจาก คัมภีร์อัลกุรอาน ที่ถูกนำเสนอโดย มีร์ซา ทาฮีร์ อาหมัด ( Mirza Tahir Ahmad ) เป็นข้อพิสูจน์ว่าชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นอาจมีอยู่ตาม คัมภีร์อัลกุรอาน ด้วย การปฏิวัติของโคเปอร์นิคัส และ การปฏิวัติวิทยาศาสตร์, และต่อมา, ในช่วงระหว่าง ยุคเรืองปัญญา, แนวคิดพหุนิยมฝ่ายจักรวาลก็ได้กลายมาเป็นแนวความคิดหลัก, ที่ได้รับการสนับสนุนโดยชอบโดย เบอร์นาร์ด เลอ โบเวียร์ เดอ ฟานเทนเนลลี ( Bernard le Bovier de Fontenelle ) ในหนังสือผลงานของเขาที่เขียนขึ้นในปี 1686 ในชื่อเรื่องว่า Entretiens sur la pluralité des mondes [ 100 ]
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในการคิดริเริ่มโดยมีการประดิษฐ์ กล้องโทรทรรศน์ ขึ้นและการกล่าวโจมตีของ โคเปอร์นิคัส ( Copernican ) ต่อเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีที่กล่าวว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล เมื่อมันกลายเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในหมู่วัตถุท้องฟ้าที่มีอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาล ทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตนอกโลกก็เริ่มที่จะกลายเป็นหัวข้อถกเถียงกันใน ชุมชนทางวิทยาศาสตร์ ( scientific community ) [ 101 ] ผู้ที่นำเสนอแนวความคิดดังกล่าวอันเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงยุคสมัยใหม่ตอนต้นเป็นนักปรัชญาชาวอิตาเลียนชื่อ จอร์ดาโน บรูโน ( Giordano Bruno ), ผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ได้โต้แย้งด้วยเหตุผลเอาไว้ในศตวรรษที่ 16 ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า ในจักรวาลหรือเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ดวงดาวทุกดวงในจักรวาลหรือเอกภพจะต้องถูกห้อมล้อมรอบอยู่ด้วย ระบบดาวเคราะห์ ( erratic organization ) ที่มีอยู่โดยตัวของมันเอง บรูโน่ได้เขียนบันทึกพรรณนาเอาไว้ว่า ในโลกอื่น ๆ นั้น “ มีคุณธรรมคุณงามความดีอยู่น้อยมาก หรือ มีลักษณะที่แตกต่างกันกับที่โลกของเรามีอยู่ ” และแตกต่างกับโลกของเราตรงที่โลกของเรานั้น “ มีสัตว์และผู้คนอาศัยอยู่ ” [ 102 ] ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 นักดาราศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเช็กชื่อ แอนตัน มาเรีย เชอร์รัส แห่ง ไรต้า ( Anton Maria Schyrleus of Rheita ) ได้รำพึงว่า “ ถ้าดาวพฤหัสบดี ( … ) มีผู้คนอาศัยอยู่ ( … ) พวกเขาจะต้องมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตและสวยงามมากกว่าคนที่อาศัยอยู่บนโลกของเราในสัดส่วนที่มี [ ลักษณะ ] ของคู่แฝดทรงกลมสองอันติดกัน ” [ 103 ]
ทางน้ำไหลสร้างโดยชาวดาวอังคาร, วาดโดย เปอร์ซิวัล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน จากแนวความคิดของมนุษย์เราเกี่ยวกับชีวิตบนดาวอังคารที่ได้ทวีเพิ่มพูนมากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และจากภาพของคลองส่งน้ำที่อยู่บนดาวอังคารที่ได้จากการสังเกตการณ์ที่ชัดเจนด้วยกล้องโทรทรรศน์เมื่อในเร็ว ๆ นี้, จะอย่างไรก็ตามแต่, มันก็ได้กลับกลายเป็นว่าเป็นเพียงแค่ ภาพลวงตา ( optical delusion ) เราเท่านั้นเอง [ 104 ] อย่างไรก็ตามเรื่องนี้, ในปี 1895 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ ( Percival Lowell ) ได้ตีพิมพ์หนังสือของเขาในชื่อเรื่องว่า ดาวอังคาร (Mars), ตามด้วยเรื่อง ดาวอังคารและคลอง (Mars and its Canals) ในปี 1906 ซึ่งเสนอว่าคลองเป็นผลงานของอารยธรรมที่หายสาบสูญไปนานแล้ว [ 105 ] แนวความคิดเกี่ยวกับชีวิตบนดาวอังคารทำให้นักเขียนชาวอังกฤษที่ชื่อ เอช. จี. เวลส์ ( H. G. Wells ) เขียนนวนิยายเรื่อง เดอะวอร์ออฟเดอะเวิลด์ส ( The War of the Worlds ) ในปีพ. ศ. 2440 ( ค.ศ. 1897 ), ซึ่งบอกถึงการรุกรานของมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคารที่กำลังหนีจากความแห้งแล้งของดาวเคราะห์ที่อาศัยอยู่ การวิเคราะห์ สเปกตรัม ( Spectroscopic ) ของชั้นบรรยากาศดาวอังคารเริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1894, เมื่อนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ วิลเลียม วอลเลซ แคมพ์บอล ( William Wallace Campbell ) แสดงให้เห็นว่าไม่มีน้ำและออกซิเจนอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร
ข้อความอาเรซีโบ จาก หอดูดาวอาเรซีโบ ( Arecibo Observatory ) เป็นข้อความในระบบดิจิตอลที่ถูกส่งไปยัง กระจุกดาวทรงกลมเอ็ม 13 ( ball-shaped headliner cluster M13 ) และเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดีของความพยายามของมนุษย์เพื่อที่จะติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่การติดต่อกับ วัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ ( nameless flying aim ) หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น การพบเห็นยูเอฟโอ ( UFO sightings ) [ 106 ] โดยที่สามารถอธิบายแยกแยะได้โดยง่ายว่าเป็นปรากฏการณ์ของเครื่องบินที่สร้างขึ้นบนโลกตามที่รู้จักกันหรือว่าจะเป็นวัตถุทางดาราศาสตร์หรือเรียกว่า เทห์ฟ้า ( astronomic aim ) หรือเป็นแค่ การหลอกลวง ( fraud ) กันแน่ [ 107 ] กระนั้น, ประชาชนบางส่วนก็เชื่อว่ายูเอฟโอแท้ที่จริงอาจเป็นต้นตอของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว, และโดยแท้จริงแล้ว ก็เป็นแนวความคิดที่ได้มีอิทธิพลต่อ วัฒนธรรมร่วมสมัย ( democratic acculturation ) ความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตนอกโลกบนดวงจันทร์ถูกขัดขวางไม่ยอมรับในทศวรรษที่ 1960, และในช่วงทศวรรษที่ 1970 ก็เป็นที่ชัดเจนว่าส่วนใหญ่ของเทหวัตถุอื่น ๆ ในระบบสุริยะก็ไม่ได้เป็นที่พำนักพักพิงแก่ชีวิตที่ถูกพัฒนาแล้วเป็นอย่างมาก, แม้ว่าคำถามของชีวิตแรกเริ่มบนเทหวัตถุในระบบสุริยะจะยังคงเปิดอยู่ก็ตาม
จากความล้มเหลวจนถึงขณะนี้ของโครงการ เซติ ( SETI ) ในการตรวจจับสัญญาณวิทยุจากสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาจากห้วงอวกาศ สิบปีให้หลังของความพยายามที่มีอย่างน้อยที่สุดด้วยความหวังอันริบหรี่ นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเริ่มมีมุมมองในแง่ดีมากขึ้นจากจุดเริ่มต้นของยุคอวกาศ แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อในมนุษย์ต่างดาวยังคงถูกเล่าขานอยู่ใน วิทยาศาสตร์เทียม ( pseudoscience ), ทฤษฎีสมคบคิด และแพร่หลายอยู่ในนิทานชาวบ้าน ( democratic folklore ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ในบริเวณที่เรียกว่า “ แอเรีย 51 “ ( Area 51 ) และในตำนานกล่าวขานถึงวีรบุรุษ มันได้กลายเป็นวัฒนธรรมสมัยนิยมเชิงอุปมาเปรียบเทียบที่ได้รับการปฏิบัติบำรุงดูแลอย่างจริงจังไม่น้อยหน้าไปกว่ารายการความบันเทิงที่เป็นที่นิยมในหมู่มหาชน ในคำว่า “ เซติ ” ในการให้นิยามคำจำกัดความของแฟรงก์ เดรก ก็คือ “ ทั้งหมดที่เราทราบแน่นอนได้ว่าท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นจะไม่ได้เป็นแค่เพียงถังขยะสำหรับเครื่องส่งสัญญาณไมโครเวฟที่ทรงพลังอย่างแน่นอน ” ( นั่นก็คือ ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ด้วยสัญญาณคลื่นไมโครเวฟที่เราส่งออกไปหรือรับเข้ามาเหมือนกับถังขยะรอรับสิ่งปฏิกูลหรือของที่คนเขาทิ้งแล้วนั้น เราอาจจะได้เจอ “ อะไรที่เจ๋ง ๆ ” ในถังขยะใบเล็ก ๆ นี้อย่างแน่นอน ) [ 108 ] เดรกตั้งข้อสังเกตว่ามันมีความเป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลลัพธ์ทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของมนุษย์โลกเราในความพยายามที่จะติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวนั้นจะต้องได้รับการดำเนินการในบางวิธีที่อยู่ในรูปแบบอื่นๆนอกเหนือไปจากการส่งคลื่นวิทยุออกไปในห้วงอวกาศนอกโลกอย่างที่เคยปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิม ในขณะเดียวกันข้อมูลที่ส่งกลับโดยยานสำรวจอวกาศและความก้าวหน้าครั้งสำคัญในวิธีการตรวจสอบที่ได้รับการยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ที่จะเริ่มต้นการวิเคราะห์เกณฑ์เงื่อนไขที่สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ได้บนโลกอื่นๆและยืนยันว่ามีดาวเคราะห์ดวงอื่นๆเป็นจำนวนไม่น้อยที่มีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ได้อีกมากมาย ถึงแม้ว่าเรื่องของมนุษย์ต่างดาวยังคงเปินปริศนา แต่แล้วเมื่อปี ค.ศ. 1977 สัญญาณว้าว ! ( Wow ! signal ) ได้ถูกตรวจพบโดยบังเอิญโดยโครงการเซติและก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงและคาดเดากันอยู่ถึงที่มาของมันจนถึงบัดนี้
Read more: Clint Barton (Marvel Cinematic Universe)
ในปี ค.ศ. 2000 นักธรณีวิทยาชื่อ ปีเตอร์ วอร์ด ( Peter Ward ) และนักบรรพชีวินวิทยา ( astrobiologist ) ชื่อ โดนัลด์ บรานลี ( Donald Brownlee ) ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า “โลกที่เร้นลับ : ทำไมชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาในจักรวาล” ( Rare Earth: Why Complex Life is Uncommon in the Universe ) [ 109 ] เนื้อหาภายในหนังสือนั้นพวกเขาได้สนทนาพูดคุยถึงสมมติฐานเกี่ยวกับโลกที่ค้นพบได้ยาก หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า โลกที่หายาก ( Rare Earth ) ซึ่งพวกเขาอ้างว่าชีวิตที่ดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมบนดาวเคราะห์ที่คล้ายดาวเคราะห์โลกของเรานั้นเป็นของที่พบเจอได้ยากในจักรวาล ในขณะที่จุลินทรีย์ที่มีชีวิตนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่จะสามารถพบเจอได้ทั่วไป วอร์ดและ บรานลี ได้เปิดใจกว้างให้กับแนวความคิดที่ว่าวิวัฒนาการบนดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่ได้จำเป็นต้องอยู่บนคุณลักษณะพื้นฐานทางกายภาพและชีวภาพที่มีสภาพคล้ายโลกเสมอไป ( เช่น ดีเอ็นเอ และ คาร์บอน ) นักฟิสิกส์ทฤษฎี สตีเฟน ฮอว์คิง ได้เตือนไว้ในปี 2010 ว่ามนุษย์ไม่ควรพยายามที่จะติดต่อกับรูปแบบของชีวิตต่างดาว เขาเตือนว่ามนุษย์ต่างดาวอาจจะมาปล้นสะดมโลกเพื่อช่วงชิงเอาทรัพยากรจากโลกไป “ ถ้ามนุษย์ต่างดาวเดินทางมาเยี่ยมเยียนพวกเราเข้า ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะปรากฏออกมาเหมือนกับที่ครั้งเมื่อโคลัมบัสที่ได้เดินทางมาค้นพบดินแดนใหม่ในทวีปอเมริกาซึ่งไม่ได้เป็นผลลัพธ์ที่ดีสำหรับ ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา เลย ” เขากล่าว [ 110 ] นักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่ง คือ จาเร็ด ไดมอนด์ ก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่คล้าย ๆ กัน [ 111 ] ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2011 ที่ ทำเนียบขาว ได้ออกอาการตอบสนองอย่างเป็นทางการในข้ออุทธรณ์ทั้งสองที่ได้ขอให้ทางรัฐบาลสหรัฐฯได้มีมติที่จะรับทราบอย่างเป็นทางการว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกและการเปิดเผยใด ๆ ที่จะพยายามระงับความมุ่งหมายของทางรัฐบาลกับการมีปฏิสัมพันธ์ของรัฐบาลกับมนุษย์ต่างดาว สอดคล้องกับการตอบสนองของ “ รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีพยานหลักฐานที่แสดงว่า ไม่มีชีวิตใด ๆ อยู่ภายนอกโลกของเรา, หรือว่ามีการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ได้มีการติดต่อสัมพันธ์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์แต่อย่างใดทั้งสิ้น [ 112 ] [ 113 ] นอกจากนี้จากผลสะท้อนจากการตอบสนองที่มีจากประชาชน คือ “ ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถืออันใดเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าหลักฐานใด ๆ จะถูกซ่อนเร้นไปจากสายตาของประชาชนไปได้ ”