I ’ meter not the only one
TJ
PG-13
Reading: ต้นเจ – SOMETIMES
credit รูป : P_PAT41
**เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติ ที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน หากใครไม่ชอบใจ ผ่านได้เลยครับแต่หากใครรักเชิญทัศนาได้ตามสบาย **
กลางปี 2557 ก่อนแข่งซูซุกิคัพ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์แผดเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องค่อยๆพยายามขยับเปลือกตาของตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ แสงแดดในยามเช้าที่แยงเข้าตา เล่นเอาผมลืมตาได้ไม่เต็มตื่น มืออีกข้างก็พยายามไปคว้าเอาโทรศัพท์มาปิดเสียง เพราะไหนๆก็ได้หยุดยาวๆหลังจากแข่งทั้งที ก็อยากจะขอนอนให้เต็มอิ่มสักหน่อย ทันทีที่กดปิดเสียงปลุกได้ ผมก็กลับมาซุกตัวอยู่กับผ้าห่มอีกครั้ง แต่เมื่อพลิกตัวกลับไปทางด้านซ้าย ก็เล่นเอาผมสะดุ้งขึ้นมาน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างช้า แล้วตั้งใจมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อาจจะเรียกได้ว่าอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ใบหน้าของไอ้หมีแก้มบวมที่หลับสนิท อยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือกั้น ท่าทางจะหลับลึกเพราะขนาดเสียงปลุกดังขนาดนั้นยังไม่คิดจะตื่น ก็แน่ละเมื่อคืนเล่นกวนผมทั้งคืน เดี๋ยวกอด เดี๋ยวหอม เดี๋ยวฟัด อะไรของแมร่งก็ไม่รู้วุ่นวายไปหมด พอเขยิบตัวออกมา ก็งอแงบ่นงึมงำๆ ว่านอนไม่หลับ ขอกอดหน่อย ไม่กอดแล้วนอนไม่หลับ โถ่วว ไอ้หมีเอ้ย แล้วดูสภาพตอนนี้ โคตรจะหมั่นไส้เลยจริงๆ พูดไปผมก็เอานิ้วไปเขี่ยๆจมูกของคนตรงหน้า แล้วยิ่งพอเห็นว่าไม่มีท่าทีสะดุ้งสะเทือนมันยิ่งทำให้ผมนึกสนุกเอานิ้วที่เคยเขี่ยจมูกไปจิ้มที่ตรงหน้าผากพร้อมลากไปลากอยู่ไหนก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหางคิ้ว แล้วค่อยๆไล่มาที่แก้มอวบๆของก่อนที่นอนอยู่ ผมนั่งขำทั้งการกระทำของตัวเองและภาพที่เห็นตรงหน้า แก้มบวมๆของมันเด้งไปมาตามจังหวะที่นิ้วของผมกดลงไป ยิ่งกดก็ยิ่งมัน ว่าแต่ทำไมแมร่งหลับลึกจังว่ะวันนี้ เออช่างมันเหอะ รู้ว่าตอนนี้ผมสนุกก็เป็นพอ ผละจากแก้มทั้งสองข้างของคนที่นอนอยู่ตรงหน้าแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่ริมฝีปากบางๆ ที่ผมกำลังจะเอานิ้วเข้าไปเขี่ยเล่นให้สาแก่ใจ แต่ในจังหวะที่นิ้วของผมกำลังจะเข้าไปใกล้ ปากของไอ้ตัวโตมันก็อ้าขึ้นแล้วงับเอานิ้วผมเข้าไปเต็ม ผมแหกปากร้องลั่นก่อนชักนิ้วออกมาถูกับมืออย่างเร็วๆ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่ฟังแล้วโคตรจะน่าหมั่นไส้ ผมมองหน้ามันอย่างค้อนๆ
“ เป็นหมารึไง กัดมาได้ ” ไม่งับนิ้วกูไปด้วยเลยล่ะ ยัง ยังไม่หยุดหัวเราะอีก เออ หัวเราะไปแล้วกัน ผมบุ้ยหน้าก่อนที่กำลังจะพลิกตัวหันกลับไปอีกฝั่ง แต่ก็ไม่พ้นมือของอีกคนที่คว้าไหล่ของผมไว้แล้วดึงให้เข้ามาให้ใบหน้าของเราทั้งคู่ห่างกันเพียงลมหายใจกั้น
“ อยากลักหลับกูก็ไม่บอก ” ลักหลับหาพระแสงอะไรเล่า แค่จิ้มหน้าเนี่ยนะ แล้วจะดิ้นหนีไปไหนก็ไม่ได้ โอ้ยสภาพอย่างเนี่ยมันเสียเปรียบชะมัด
“ จะบ้าเหรอ แค่จิ้มก็หาว่าลักหลับ ” สุดท้ายพอหมดทางหนีผมก็ได้อยู่นิ่งๆในกอดหลวมๆของอีกฝ่าย ไอ้ครั้นจะเงยหน้าขึ้นไปมองตามันตรงๆก็กลัวจะหัวใจวายตายไปซะก่อน ก็เล่นมองซะยังจะกลืนผมเข้าไปทั้งตัว
“ ไม่จิ้มต่อแล้วเหรอกำลังเพลินเลย ” อ้าวเดี๋ยวอย่างนี้แสดงว่ามึงตื่นตั้งแต่นานแล้วอะดิ
“ นี่มึงตื้นตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย ”
“ ตั้งแต่มึงปิดนาฬิกาปลุกแล้ว ” ไอ้หมีเลว แกล้งกูเนี่ยมีความสุขไหม คือไม่ได้โกรธ แต่มึงเข้าใจไหมว่ากูเขิน แล้วยิ่งผมเขินแมร่งก็เหมือนจะได้ใจ ไม่พอแค่นั้นมันคว้าเอามือผม พร้อมกางนิ้วออกมาเหมือนตอนที่ผมจิ้มมันตอนแรก ก่อนจะเริ่มไล่จิ้มไปตามหน้าของมันอีกครั้ง เริ่มจากหน้าผาก
“ อันนี้ของมึง ” แล้วไล่ลงมาที่คิ้ว
“ นี้ก็ของมึง ” ลงมาที่ตา
“ ของมึง ” ลงที่จมูก
“ ของมึง ” มันเอานิ้วของผมไปแตะเบาที่ริมฝีปาก
“ ของมึง ” ตอนนั้นมันคว้ามืออีกข้างของผม ไปแนบไว้ที่หน้าของมันทั้งสองข้าง พร้อมกับแววตาที่อยากให้มันตั้งใจในสิ่งที่มันกำลังจะพูด แววตาที่ทำให้ผมรู้ว่ามันซื่อสัตย์กับความรู้สึกตอนนี้มากแค่ไหน
“ ทั้งหมดนี้เป็นของมึงนะ ” สัมผัสอบอุ่นจากทั้งมือและสายตาของมันที่มีต่อผม ทำให้ผมเข้าใจว่าคืนวันที่ผ่านมา แม้เราจะอยู่ด้วยกันมานานขนาดไหน แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า คนตรงหน้านี้มีตัวตนอยู่ในชีวิตผมจริงๆ ตัวตนที่ผมสัมผัสได้ในความจริง ไม่ใช่ในความฝัน
“ ต้นเป็นของเจนะ เจรู้ใช่ไหมครับ ” คำพูดของมันเหมือนลมที่ถูกสูบเข้าหัวใจผมอย่างรวดเร็ว มันพองโตซะยิ่งกว่าบอลลูนลูกไหนๆ ความรู้สึกมันเอ่อล้นไปทั้งใจ ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรเพื่อตอบแทนความรู้สึกที่มันมอบให้ในครั้งนี้ นอกจากการขยับตัวเข้าหาคนตรงหน้าให้มากขึ้น ให้จมูกของเราสองคนได้สัมผัสกัน มันดูตกใจนิดหน่อยในการเข้าหาของผม แต่สุดท้ายมันก็ยิ้มรับ แล้วเอาจมูกมันคลอเคลียอยู่กับจมูกผม
“ มีความสุขไหม ” คำถามจากคนที่อยู่ตรงหน้าผมทำเอาผมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“ เรื่อง ? ”
“ ที่เป็นอยู่แบบนี้ มีความสุขไหม ” ผมยิ้ม ยิ้มในคำถาม คำถามที่ผมมีคำตอบอยู่แล้วท้้งใจ
“ มีซิ มีมากด้วย ” หลังคำตอบ ค่าตอนแทนของผมคือการถูกดึงเข้าสู้อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นอีกครั้งผมซบหน้าลงไปบนอกแกร่งของอีกคน เราสองตระกองกอดกันอยู่แบบนั้นจนลืมเวลาพอรู้สึกตัวอีกทีก็ไอ้ตอนที่ไอ้ตัวโตมันเริ่มพูดขึ้นมาอีกรอบ
“ วันนี้อยากทำอะไรครับตัวเล็ก ” โห พูดเลยโคตรไม่ชิน แค่ไอ้คงครับนี้กูก็เหวอแล้ว ยิ่งไอ้คำว่าตัวเล็กนี้ เล่นเอาผมต้องเหลือบตามองมันอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าไปคิดไปขุดหาคำแบบนี้มาจากไหน แต่กลายเป็นว่าพอผมตอบช้า ไอ้ตัวโตมันก็กดริมฝีปากลงกลางหน้าผากผมเน้นๆ และยิ่งผมทำหน้างงๆใส่มัน มันก็ยิ่งกดปากลงมาที่หน้าผากผมซ้ำๆ จนผมต้องพยายามดันหัวมันมอง
“ มึงพอแล้ว หน้ากูช้ำหมดแล้ว ” สิ้นคำพูด มันก็หยุดกระทำชำเรากับร่างกายผม แล้วมองผมด้วยรอยยิ้ม
“ เสือกน่ารักทำไมล่ะ ทำหน้าแบบเมื้อกี้ใครจะไปอดใจไว้ละหึ ไม่ปล้ำก็บุญแล้วนะ ” พอพูดเสร็จมันก็จะโถมหน้าเข้ามาหาผมอีก คราวนี้ผมต้องเบรคมันแบบสุดตัว เพราะขืนไม่พูดอะไรสักอย่างรับรองได้อยู่แบบนี้กันทั้งวันแน่ เอาจริงๆมันก็ดีนะ แต่ให้กูไปทำอย่างอื่นบ้างเถอะ
“ อยากดูหนังอะ ” หวังว่าความต้องการของผมจะหยุดอาการเมากาวของมันนะ เออ เหมือนจะได้ผล ดูมันนิ่งไปนิดๆ
“ แล้วอะไรอีก ” อะไรอีกเหรอ มีอีกเหรอว่ะ เอออ อยากทำอะไรอีกเหรอ ห่านี้อย่าจ้องกูเยอะซิกูเขิน กูคิดไม่ออก
“ กินข้าว ฟังเพลง ดูบอล แค่นี้มั่ง แล้วมึงอยากทำอะไร ” ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองไอ้ตัวโตอีกครั้ง แต่ไม่วายต้องเอามืออีกข้างมาปิดหน้าผากไว้แต่สัญลักษณ์ว่าไม่เอาแล้วนะ หน้าผากกูยุบจนจะถึงกระโหลกอยู่แหละ
“ ทำอะไรก็ได้ มีมึงอยู่ด้วยก็พอ ” จ้าๆ หวานให้พอ ตั้งแต่ตื่นมาจนถึงตอนนี้กูจะละลายเพราะคำพูดมึงไปกี่รอบแล้วเนี่ย หะนฤบดินทร์
“ แต่เอาจริงๆอยู่แบบนี้ทั้งวันก็ดีเหมือนกันนะ ” นั้นไง ถ้าเกิดผมไม่พูดก็ได้อยู่แบบนี้กันทั้งวันแล้วละ ผมแกล้งทำปากขมุบขมิบเหมือนบ่นมันไป และพอมันเห็นแบบนั้นปากผมก็ต้องเป็นเป้าของหมายในการถึงเนื้อถึงตัวผมทัน แต่ผมรู้เหอะ พอมันจะพุ่งหน้าเข้ามา ผมก็รีบลากผ้าห่มพร้อมดีดตัวเองให้มายืนอยู่ปลายในทันที พร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ไอ้หมีหน้าบวมมันก็เด้งตัวเองขึ้นตาม พร้อมมองหน้าผมยิ้มๆก่อนจะทำปากเสียงจุ๊บ อย่างดัง และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว มันก็พุ่งตัวจากเตียงจะมาคว้าตัวผมลงไปนอนกกอีกรอบ แต่ใครจะยอมละครับ กองกลางทีมชาติไทยซะอย่าง จะให้จับตัวได้ง่ายๆเนี่ยเสียเหลี่ยมหมด ก็รีบวิ่งหนีมันไปเข้าห้องน้ำทันที พร้อมลั่นกลอนประตูเสร็จสรรพ เดี๋ยวมันเกิดเปลี่ยวจัดบุกเข้ามาทำมิดีมิร้ายผมถึงในห้องน้ำนี้ยุ่งเลย ไม่มีทางจะหนีแล้วนะแบบไปนั้น
“ มึงงงง ” เสียงที่แสนจะอ้อนวอนดังมากจากอีกด้านของประตู ผมที่ยืนพิงประตูอยู่ได้ฟังแล้วก็อดนึกขำในท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้
“ เจจจจจจ ” นะยังไม่หยุด ไปเก็บที่นอนไปไอ้หมีบวม
“ เร็วๆนะคิดถึงงงงง ” ยิ่งมันพูดก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงไอร้อนแปลกที่กระจายไปทั่วใบหน้าของตัวเอง ยิ่งพอได้เห็นตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ่งอายตัวเองเป็นไหนๆ หน้าเน้อหูเหอที่แดงไปไหนก็ไหนแล้วชนาธิป มึงไหวไหมม ไอ้ต้นนี้ก็เหลือเกิน ได้ข่าวว่าเพิ่งจะห่างจากกันได้ไม่ทันเส้นมาม่าจะนิ่มด้วยซ้ำ ผมหันกลับมามองกระจกตรงหน้าอีกครั้ง แล้วก็ได้ถามตัวเองในใจว่าคนนี้ใช่คนๆเดียวกับเขาคนเดิมรึเปล่า ทำไมคนในกระจกถึงดูมีความสุขได้มากมายขนาดนี้นะ… .
มื้อเช้าของเราสองคนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอาหารง่ายๆที่เหลือจากเมื่อวาน 55 บวกกับการแอบขโมยเอาข้าวกล่องที่สโมสรกลับมากินบ้าง ความจริงไอ้ต้นมันก็เสนออยากจะทำอะไรให้ผมกินแหละ แต่ดูจากสภาพเวลาและสภาพกระเพราะแล้วผมคงไม่สามารถทนหิวอยู่ได้แน่ๆ มีหวังต้องเอารองเท้าในตู้มาย่างกินประทังชีวิตเป็นแน่แท้ เลยเอาของเหลือมาอุ่นกินกันไปก่อน ถึงรสชาติมันจะได้เลิศเลออะไรนัก แต่ทำไมมันรู้อร่อยได้มากกว่าทุกครั้ง เอาจริงๆผมกับไอ้ต้นเนี่ยเป็นคนกินอะไรเร็วนะ แปปเดียวก็เสร็จแหละแต่ไอ้ที่นานเนี่ยก็ไปเพราะแกล้งกันแกล้งกันมา หรือไม่อยู่ดีๆไอ้คุณชายนฤผู้เป็นที่รักของหญิงค่อนประเทศก็เกิดอยากจะเป็นชายน้อย ง่อยกินแขนขึ้นมาซะงั้น ป้อนหน่อยๆ อยู่ได้ ทำยังกับชีวิตไม่ได้เคยกินข้าวเอง พอไม่ยอมป้อน ก็ไม่ยอมกินด้วยนะ อยากให้แม่ยกมันทั้งประเทศได้มานึกภาพตามผม คิดดูว่ามันหน้าเซ็งโลก แล้วเอาคางแนบกับโต๊ะกินข้าว พร้อมเหลือบขึ้นมามองผมแบบอ้อน แต่อ้อนตีนนะพูดเลย แล้วมีเอาจมูกเขี่ยช้อนไปเรื่อยๆอีก โอ้ย ตายๆ อยากจะอัดไว้ให้พี่บ้านมันได้มาเห็นจริงๆ ว่าพฤติกรรมของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเวลาห่างจากอกพ่ออกแม่เนี่ยมันสุดติ่งกระดิ่งแมวขนาดไหน และสุดท้ายก็เป็นผมที่ทนเห็นสภาพไอ้เด็กมีปัญหาเนี่ยไม่ไหว เลยเอาข้าวยัดๆปากมันไปสองสามคำ มันถึงจะยอมเด้งตัวกลับมายิ้มแป้นกินข้าวได้เหมือนกับชาวบ้านเขาสักที หลังจากกินเสร็จเก็บกวาดอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นเวลาที่ผมรอคอย ดูหนังไงครับ ไม่ได้นั่งชิวๆดูแบบนี้มานานมากกก
“ เรื่องนี้ปะ ” ผมหยิบหนังแอคชั่นยิงกันมันส์หยดของผู้กำกับชื่อดังขึ้นมา ถามความคิดเห็นของอีกคน
“ เรื่องนี้ดีกว่า ” ผมเลิกคิ้วทันทีเมื่อเห็นไอ้ตัวโตมันพราวทูพรีเซ็นหนังรักโรแมนติก ตามสไลต์ของนักแสดงหญิงชื่อดัง ที่เรียกได้ว่าดูทีไรก็บานช้ำกันทุกที
“ ปกติไม่ค่อยดูหนังรักไม่ใช่เหรอ ” ผมถามย้อน
“ ก็อันนั้นมันดูกับคนอื่น แต่อยู่กับมึงก็อยากดูหนังรักอ่ะ ” โอ้ยย ไม่น่าถามมันเลย ผมนี้เขินจนแทบจะเอาแผ่นหนังปิดหน้าอยู่แล้ว ไปกินอะไรมาว่ะ ทำไมถึงทำตัวหวานเลี่ยนบาดคอได้ขนาดนี้หะไอ้ต้น ไอ้หมีบวม ไอ้คนบ้า และสุดท้ายก็ต้องเลือกหนังรักบางที่มันต้องการ ไม่งั้นเดี๋ยวมันก็งอแงเมื่อตอนกินข้าว และไม่เข้าใจว่าพอมันงอแงทีไร คนที่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวก็กลายเป็นผมทุกที ระหว่างที่ให้ไอ้คุณชายนฤมันเปิดหนัง ผมเดินไปตู้เย็นกะจะไปหยิบของกินเล่นมาเพิ่มอรรถรส เพราะจำได้ว่ามีขนมถุงๆกับน้ำอัดลมเหลืออยู่ในตู้อีกนิดหน่อย ผมถือมาเต็มก่อนจะกลับมาที่โซฟา ปรากฏไอ้ตัวโตมันนั่งกางแขนกางขาซะไม่มีที่เหลือผมให้ผมได้ทิ้งตัวลงแม้แต่น้อย แต่พอหันไปซบตากะไอ้คนที่นั่งกับเป็นเจ้าของโซฟา มันก็ตบลงที่นั่งอันน้อยนิดระหว่างขาของมัน
“ ไม่เอา ” มันไม่พูดอะไรต่อนอกจากยังคงตบเบาะที่เดิมเน้นๆเสียงดังฟังชัด เพื่อเป็นการยืนยันในความต้องการของตัวเอง ไอ้หมีเลว และพอผมส่ายหัวมันก็ทำหน้าเหมือนกับจะกัดลิ้นตัวเองตายให้ได้
“ นะะะะะ ” มันครางออกมาด้วยเสียงที่สุดจะอ้อน ( ตีน ) แล้วท่าทางหน้าตาเนี่ย ไปหมด เห้อออ วันนี้ผมยอมมันกี่ครั้งกันเนี้ยมันถึงจะพอใจ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะยอมวางของลงบนโต๊ะข้างหน้าแล้วค่อยหย่อนตัวลงที่วางเพียงเล็กน้อยที่อีกคนจัดไว้ให้ แต่จังหวะที่ผมกำลังหย่อนกด ไอ้ต้นแมร่งก็รวบตัวผมเข้ากอดซะเต็มรัก ตัวผมที่ยิ่งเล็กๆ ( พูดเองเจ็บเอง ) ก็เหมือนถูกกลืนหายเข้าไปอยู่อ้อมอกของมันเป็นที่เรียบร้อย ไม่แค่นั้น ไอ้ตัวโตมันเอนหลังไปพิงโซฟาอย่างสบายๆ พร้อมกับผมที่อยู่ในอ้อมกอดและกำลังนั่งพิงอกมันอยู่ในตอนนี้
“ เมื่อยไม่รู้ด้วยนะมึง ” เสียงหัวเราะหึหึ ที่แสนจะน่าหมั่นไส้ พร้อมริมฝีปากที่อ้อมมาชกเอาแก้มของผมไปเต็มๆ
“ ไม่เมื่อยหรอก สบาย ” มันพูดไปยิ้มไปก่อนที่เอื้อมไปกดรีโมทเพื่อเล่นแผ่นหนังที่ใส่เอาไว้ ส่วนผมเองก็หมดปัญญาและหนทางใดๆที่จะดิ้นหนี แต่ถ้าให้พูดตรงๆ อยู่แบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย ไม่ซิมันดีมากๆเลยละ ผมคิดพลางเอาไปเอนซบกับอกอุ่นๆของคนที่อยู่ข้างหลัง ใกล้ๆจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกคน ที่ดูคล้ายว่ากำลังจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของผมเช่นกัน
หนังเล่นไปสักพัก เราต่างก็สนุกสนานกันไปตามเรื่องตามราว แต่มีสิ่งหนึ่งมีผมสังเกตมาตั้งแต่เมื้อเช้า วันนี้ไอ้ต้นมันดูจะไม่สนใจโทรศัพท์เป็นพิเศษ ไม่เห็นหยิบขึ้นเล่น ทั้งๆที่ปกติก็ต้องมีหยิบขึ้นมาดูบ้างเป็นครั้งคราว แต่วันนี้ผมแทบจะไม่เห็น จนกระทั่งตอนที่เรานั่งดูหนังช่วงแรก เหมือนกับมีสายเข้าจากโทรศัพท์ของมัน แต่มันก็ไม่คิดจะรับ หลายต่อหลายครั้งมันเอื้อมมือไปปิดเสียง และหลายต่อหลายครั้งที่ผมเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนหน้าของมันที่อยู่ข้างกาย แม้มันจะกลับมาถูกฉาบด้วยรอยยิ้มสดใสในเวลาสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้น ถึงเราจะอยู่ในช่วงเวลาที่มีความสุขขนาดไหน เสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกผมอยากจะรู้ว่าสิ่งที่คนๆที่ใกล้ผมเพียงลมหายใจ กำลังกังวลอะไรอยู่กันแน่
Read more: France national football team
“ มึง ” มันก้มลงมามองหน้าผมตามเสียงเรียก
“ รับโทรศัพท์ก็ได้นะ ” อย่างที่ผมคาดไว้ พอผมทักเรื่องโทรศัพท์ สีหน้าของคนตรงหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้สุดท้ายมันปั้นหน้ายิ้มใส่แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกดปิดมือถือแล้วโยนทิ้งไปไว้ข้างหลังโซฟาทันที
“ ไม่สำคัญหรอก ตรงนี้สำคัญกว่า ดูหนังดีกว่าเนอะ ” พูดเสร็จมันก็กดจมูกลงที่หน้าผากของผมอีกครั้งก่อนหันไปสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่ข้างหน้าต่อ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามันน้อย ก่อนที่จะกลับไปสนใจหน้าจอตรงหน้าอีกครั้ง แต่ความคิดในหัวก็ยังวนเวียนกับสิ่งที่มันโยนทิ้งไปไม่น้อย เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมควรจะรู้ แต่มันยอมให้ผมได้รับรู้ เรื่องบางเรื่องที่ถูกฉาบเอาไว้ใต้รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของมัน
“ ต้นนน ” มันก้มหน้าลงมาผมช้าๆ
“ ขนมหมดแล้วอ่ะ ” ผมพูดแล้วก็เอาหัวตัวเองไปไถกับหน้าอกมันน้อยๆ
“ อ้อนแบบนี้จะให้ลงไปซื้อให้ล่ะซิ ” หึก็รู้นิหว่า
“ แล้วได้ไหมล่ะ ” มันยิ้มให้ผมน้อยๆ ก่อนที่จรดริมฝีปากลงบนหัวแบนๆของผมอีกครั้ง
“ ทำหน้าแบบนี้ ให้ไปตายยังไปเลย ” เว่อร์ซะไม่มี ใครจะบ้าให้มึงไปตายกันละ พอมันพูดจบ มันก็อุ้มผมวางลงบนโซฟาเหมือนกับเด็กแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อเตรียมตัวจะออกไปซื้อของให้ผม และทันทีที่เสียงประตูปิดลง ผมก็ถอนหายใจออกมาน้อย แล้วได้แต่พูดคำขอโทษอยู่ในใจ สายตาของผมเริ่มคว้านหาสิ่งที่มันโยนทิ้งไว้ แถวๆโซฟา และในที่สุดผมก็เจอ โทรศัพท์มือถือของมันที่นอนแน่นิ่งอยู่ในพื้น ผมหยิบมันขึ้นมาแล้วช่างใจอยู่สักพัก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะตัดสินใจจะนำอะไรสู่เราทั้งสองคน แต่สุดท้ายต่อให้ผมหนียังไง วันหนึ่งความจริงก็ต้องไล่ตามพวกเรามาอยู่ดี ผมกดปุ่มเปิดเครื่อง และใช้เวลาไม่นาน หน้าจอที่เคยมืดสนิทก็กลับมาสว่างอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากที่สุด คือจำนวนสายที่ไม่ได้รับมากกว่า 20 สาย และเมื่อผมกดเข้าดูถึงสายที่ไม่ได้รับ มันเหมือนหัวใจผมกำลังถูกเข็มนับสิบนับร้อยทิ่มอย่างต่อเนื่อง เหมือนมีใครสักคนเอาถังน้ำถังใหญ่มาสาดเข้าที่กลางหัว เพื่อให้ผมได้ตื่นจากความฝัน มามองโลกแห่งความเป็นจริง ชื่อของเธอคนนั้น ปรากฏอยู่ในทุกๆมิสคอลบนมือถือของมัน และยิ่งทำให้ผมนึกย้อนกลับไปคิดได้ว่า ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่เราต่างมองเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของกันและกัน และตั้งแต่วันนั้น ต้นมันไม่ได้พูดถึงเธอคนนั้นอีกเลย ยิ่งไปกว่าผมรู้สึกว่ามันอยู่ติดกับผมตลอด ติดกันจนผมลืมนึกไปเลยว่า มันยังมีใครอีกคนที่ต้องไปดูแล คนที่มาก่อนผม คนที่ควรจะสำคัญมากกว่าผม ทันทีที่ความรู้สึกผิดในใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย โทรศัพท์ที่ผมถือก็สั่นอีกครั้ง และเมื่อผมเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา หัวใจของผมก็สั่นแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับเครื่องที่อยู่ในมือ ใจหนึ่งผมอยากจะทำเหมือนกับเจ้าของเครื่อง คือโยนมันทิ้งกลับไปไว้ข้างหลัง แล้วคิดซะว่าเหตุการณ์นี้มันไม่เคยเกิดขึ้น แต่สำนึกบางอย่างกลับย้ำเตือนให้ผมรู้ว่า ผมเป็นคนเลือกที่จะเปิดมันเอง เลือกที่จะยอมเผชิญหน้ากับความจริง แล้วถ้าคิดจะหนีตอนนี้ ผมคงไม่มีหน้าแม้จะมองตัวเองในกระจกแน่ๆ นิ้วมือที่สั่นเทาของผมเอื้อมกดลงไปที่ปุ่มรับสาย ก่อนจะค่อยๆยกโทรศัพท์มาแนบหูช้าๆ เพื่อพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริงซะที
*
*
*
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงที่หอบหิ้วถุงขนมไว้มากมาย ชนิดที่เรียกว่าเก็บไว้กินได้เป็นอาทิตย์ ทันทีนฤบดินทร์วางของลงกับโต๊ะ สายตาก็เริ่มคว้านคนที่ควรจะนั่งอยู่กับโซฟา นอนเขาเอาขนมถุงโตไปเสิรฟ์ถึงที่ และตอนนั้นคนตัวโตก็เห็นร่างเล็กๆของอีกคนอยู่ที่ริมระเบียง สงสัยคงออกไปสูดอากาศแน่ๆ หรือไม่ก็คงงอนที่ขึ้นมาช้า ก็คนต้องซุปเปอร์ข้างล่างเยอะมากเลยต้องรอคิวนาน แต่สำหรับคนอย่างนฤบดินทร์แล้วมันไม่ใช่ปัญหา งอนแบบนี้เดี๋ยวจับหอมแก้มซ้ายขวาก็หายงอนแล้วชัวร์ ร่างสูงยิ้มร่าก่อนจะเดินออกไปหาคนตัวเล็ก แต่สายตากลับไปสะดุดที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง โทรศัพท์ที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ และที่สำคัญมันควรจะถูกปิดไว้ไม่ใช่เปิดขึ้นมาแบบนี้ เหมือนความร้อนใจถูกสุมไฟเข้าสู่ใจของคนตัวโต ร่างสูงหยิบมือถือของตัวเองมาดู พร้อมกับใบหน้าที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ยิ่งพอเห็นว่าจำนวนมิสคอลทั้งหมดกลายเป็นศูนย์ และสิ่งที่ทำให้คนอย่างนฤบดินทร์แทบจะล้มทั้งยืน คือสายที่รับหนึ่งสาย ซึ่งเขามั่นใจว่าเขาไม่ได้รับ ร่างสูงเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ที่ระเบียงด้วยหัวใจที่สั่นเทา เพราะมีอยู่แค่คนเดียวที่จะทำแบบนี้ และระยะเวลาการโทรที่นานเกือบ 10 นาที ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่า คนที่รับสายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนตัวเล็ก ร่างสูงกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น ก่อนทีจะตัดสินใจโยนมันทิ้งไปที่โซฟา เขาไม่ได้โกรธคนตัวเล็กที่มาเปิดโทรศัพท์ ไม่ได้โกรธที่รับสายคนอีกคน แต่โกรธที่สุดท้ายเขาไม่สามารถป้องตัวหัวใจดวงเล็กๆที่อยู่ตรงหน้า จากโลกแห่งความจริงทีโหดร้ายได้ นฤบดินทร์ตัดสินใจเดินตรงไปที่หน้าระเบียง ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูเลื่อนช้าๆ ภาพที่เขาเห็นคือคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังยืนท้าวคางอยู่ตรงระเบียงคอนโด
“ เจ ” ร่างสูงลองเชิงเรียกคนที่อยู่ตรงหน้า คนตัวเล็กตรงหน้าค่อยๆหันหลังกลับมาช้าๆก่อนจะคลียิ้มบางๆ แต่ในดวงตาที่วูบไหวไม่ได้ฉายแววสดใสเหมือนที่เคยเป็น
“ ไปคุยข้างในเหอะ ” ร่างเล็กพูดช้าๆก็จะเดินผ่านคนตัวโตเข้าไปในห้อง ร่างสูงมองตามคนตัวเล็กด้วยใจที่หวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายนฤบดินทร์ก็ได้ทำได้แค่เดินตามคนตัวเล็กเข้าไปในห้อง และเมื่อทั้งคู่เข้ามาอยู่ในห้อง คนที่เป็นฝ่ายร้อนใจก็เลือกจะทำลายความเงียบด้วยคำถาม
“ มึงคุยกับเขาเหรอ ” คำถามของคนตัวโตนั่นช่างตรงไปตรงมา แต่มันก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะด้านของคนตัวเล็กเองก็ไม่อยากจะอ้อมค้อมเหมือนกัน
“ มึงไม่ได้ไปหาเขามานานแค่ไหนแล้วว่ะ ” เมื่อเจอคำถามตรงๆของคนตัวเล็ก คนอย่างต้นเองก็ไม่กล้าที่จะโกหก
“ ตั้งแต่คืนนั้น ” ใช่คืนนั้น ที่เราทั้งสองคนต่างรู้ชัดในหัวใจของตัวเอง ต่างคนต่างรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่หัวใจต้องการมาตลอด และสำหรับร่างสูงนั้นเป็นเวลาที่เขาเฝ้ารอมาตลอดชีวิต เขารู้สึกมีความมากมายแค่ไหนที่ได้มีคนตัวเล็กอยู่ข้างกาย ยิ่งในวันที่เขารู้ว่าอีกคนก็รักเขามากแค่ไหน เขายิ่งไม่อยากจะให้อีกคนหลุดออกไปไกลจากสายตา มันเป็นช่วงเวลาที่เขาอยากจะกอดเก็บคนตรงหน้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด แต่ก็ไม่คิดว่าเวลาที่เขาเคยต้องการมันจะสั้นเพียงเท่านี้
“ นานมากๆเลยนะ นานจนคนที่เป็นแฟนกันไม่ควรจะทำ ” มันไม่ง่ายที่ชนาธิปจะกลั่นคำพูดแบบนี้ออกมาได้ ภาพลักษณ์ของคนตัวเล็กไม่ใช่คนที่จะนั่งคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องใด แต่กับเรื่องนี้เขาถือว่าเขาผิด เขาผิดที่ทำให้คนที่รักกันอยู่ก่อนต้องมีปัญหา ผิดที่ทำร้ายหัวใจของใครอีกคน ทั้งที่เขาไม่ได้ดีความผิดใดๆ และมันก็สมควรแล้วถ้าเขาจะต้องเจ็บด้วยคำพูดของตัวเองซะบ้าง น้ำเสียงที่สั่นเครือของตัวเล็ก ทำให้หัวใจของร่างสูงนั้นเจ็บจนจุกไปทั้งใจ นฤบดินทร์เดินหน้าเข้ารวบเอาร่างของคนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด หวังให้ความรู้สึกของเขาเยียวยาจิตใจของคนในอ้อมกอด ส่วนคนตัวเล็กเหมือนได้รับสัมผัสของอีกฝ่าย มันเหมือนขีดจำกัดทางความรู้สึกนั้นใกล้จะทุกจุดสูงสุด อ้อมกอดที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต สัมผัสที่เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ แต่ตอนนี้ต่อให้เขาจะต้องการอ้อมกอดนี้มากแค่ไหน เขาก็ไม่อยากเห็นแก่ตัวไปมากกว่านี้ เขาไม่อยากเลวไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“ ไปหาเขาเถอะต้น ” สิ้นเสียงของร่างเล็ก คนตัวโตก็ยิ่งกอดคนที่อยู่ตรงหน้าให้แน่นยิ่งขึ้น
“ ไม่ ” คำปฏิเสธเสียงแข็งของอีกฝ่าย ทำเอาหัวใจของคนที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นเจ็บจนเกินจะทน
“ ไปเถอะต้น อย่าทำแบบนี้เลยนะ ” ถึงจะเจ็บ ถึงจะทรมาน แต่ร่างเล็กก็ยังฝืนพูด พูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับทุกความรู้สึกในใจ
“ ไม่ ” ยิ่งร่างเล็กพูด คนตัวโตยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แน่นเหมือนกับกลัวว่าร่างเล็กตรงหน้าจะหลุดลอยหายไปต่อหน้าต่อตา กลัวว่าจะไม่ได้มีโอกาสสัมผัสร่างกายของอีกคนได้แบบนี้อีก
“ ต้น ที่เราทำมันผิดมึงก็ก็รู้ กูไม่อยากให้เราผิดไปมากกว่านี้ กูไม่อยากทำร้ายใคร ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บเพราะความรักของเรามึงเข้าใจไหม ” เหมือนเรี่ยวแรงในร่างกาย มันหายไปจดหมาย ร่างเล็กทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นทั้งๆที่ยังมีร่างของอีกคนประคองกอดไว้ เสียงร้องไห้ของใครคนหนึ่งเมื่อตอนเย็นยังคงย้ำอยู่ในความคิดของคนตัวเล็ก ยิ่งย้ำให้เขารู้ว่าความทำผิดมากแค่ไหน
“ กูรักมึงนะเจ กูรักมึง กูไม่อยากไปไหนอีกแล้ว กูอยากอยู่กับมึง กูไม่อยากเสียมึงไปเจ ได้ยินไหมว่ากูไม่อยากเสียมึงไป ” ชนาธิปหลับตานิ่ง เพื่อฟังทุกคำที่คนตัวโตพูดอย่างตั้งใจ ก่อนตัดสินใจพูดในสิ่งที่ไม่ต่างอะไรจากการขว้างหัวใจของตัวเอง
“ แต่ถ้ามึงทำแบบนี้มึงไม่เหลือใครเลยนะ ” คำพูดของคนตัวเล็ก ทำเอาหัวใจของนฤบดินทร์ชาวาบไปทั้งใจ
“ มึงหมายความว่าไง ” ร่างสูงถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น
“ ถ้ามึงไม่ไปกูจะเป็นคนไปจากชีวิตมึงเอง ” สีหน้าของคนตัวโตซีดเผือด หัวใจเหมือนกำลังจะถูกกระชากออกจากร่าง
“ เจไม่เอา ไม่พูดแบบนี้ ” ร่างสูงพูดตะกุกตะกัก น้ำเสียงสั่นเครือ
“ กูพูดจริงนะต้น ถ้ามึงยืนยันว่าไม่ไป กูจะเป็นฝ่ายไปเอง ” น้ำเสียงและท่าทีที่จริงจังของคนตัวเล็กไม่ต่างอะไรกับการฆ่านฤบดินทร์ทั้งเป็น และทันทีที่ร่างเล็กพยายามจะลุกเพื่อหนีจากอ้อมกอดของอีกคน คนตัวโตรีบโถมเข้ากอดคนตรงหน้าไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“ ยอมแล้ว ต้นยอมแล้ว ยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง ไม่ไปนะ ขอร้อง ให้ต้นทำอะไรก็ได้ ต้นจะทำทุกอย่างแต่ขออย่างเดียว ” น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกจากตาของคนตัวโต เขายอมแล้ว ยอมทุกอย่าง เพียงแค่ขออย่างเดียวอย่าให้เขาต้องสูญเสียคนตรงหน้าไป อย่างเดียวเท่านัน
“ อย่าพูดว่าจะไปนะเจ อย่าพูดแบบนี้ อย่าฆ่ากันด้วยวิธีแบบนี้ ” น้ำเสียงและสายตาที่เว้าวอน น้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย ซึ่งนฤบดินทร์จะรู้ไหมว่าภาพตรงหน้ามันไม่ต่างอะไรกับการที่ใครสักคนเอามีดเล่มโตมาปักลงกลางหัวใจของคนตัวเล็ก ยิ่งรู้ว่าเป็นเพราะเขาที่ต้องทำให้คนที่รักมาอยู่ในสภาพแบบนี้ มันยิ่งเจ็บปวดจนไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น คนตัวโตค่อยๆปล่อยร่างในอ้อมกอดออกช้าๆ แม้จะฝืนใจมากแค่ไหน แต่ยังดีกว่าให้คนตรงหน้าเดินจากเขาไป นฤบดินทร์ค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ แต่สายตาก็ไม่ได้วางไปจากร่างเล็กที่อยู่ข้างหน้า พลางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ประตู แต่ก็ยังไม่วายหันมามองร่างเล็กที่ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม จังหวะสุดท้ายร่างสูงตัดสินใจเดินเข้าไปยอมสัมผัสอันอ่อนหวานลงบนหัวของร่างเล็ก เหมือนเป็นการตีตราประทับเอาไว้ ว่าต่อให้อะไรจะเกิด เขาก็จะรักคนนี้เสมอไป สิ้นเสียงปิดประตู รอบข้างของชนาธิปเต็มไปด้วยความว่างเปล่า บรรยากาศแห่งความสุขที่เคยเกิดขึ้นเหมือนถูกพัดหายไปเพียงเสี้ยวกระพริบตา ไม่มีแล้วความอบอุ่นที่เคยรู้สึก ตอนนี้มีเพียงความหนาวเหน็บที่เกิดจากใจและลามออกมาสู่ร่างกาย จนคนตัวเล็กต้องกอดตัวเองไว้หลวม พลางหันกลับไปมองที่ประตูห้อง ประตูที่ใครอีกคนเพิ่งเดินจากไป เสี้ยวหนึ่งของความคิด ร่างเล็กได้แต่หวังให้ประตูบานนั้นเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับคนที่เพิ่งจากไปจะเดินกลับมาเข้ามา กลับมาเติมเต็มทุกความรู้สึกในหัวใจของเขาอีกครั้ง แต่ใจก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่าสุดท้ายประตูจะถูกปิดตาย ไม่มีอะไร หรือแม้ใครจะหวนกลับมาอีกครั้ง ร่างเล็กปล่อยให้ตัวเองทิ้งตัวไปกับพื้นห้องที่เย็นเฉียบ ปล่อยให้น้ำตาที่เคยกลั่นไว้ได้ระบายออกมา พลางกอดตัวเองเอาไว้ เพียงเพื่อหวังว่าเขาจะสามารถผ่านคืนที่แสนโหดร้ายคืนนี้ไปได้ก็เพียงพอ….
*
*
*
ผมค่อยเปิดประตูคอนโดช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปพบกับภาพที่ทำเอาหัวใจของผมร้าวจนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างเล็กๆที่นอนขดอยู่กับพื้นและตัวสั่นด้วยความเหงา ทำเอาผมต้องพุ่งตัวเข้าไปประครองคนตรงหน้าเอาไว้หลวมๆ ดวงตาที่ช้ำด้วยรอยน้ำตายิ่งย้ำให้เห็นว่าคนตัวเล็กๆคนนี้ฝืนใจตัวเองมากมายแค่ไหนที่จะพูดแบบนั้นออกไป ผมใช้เวลาไม่นานในการเคลียกับ “ อีกคนของผม ” ให้รู้เรื่องถึงภาระจำเป็นหลายๆอย่างที่ทำให้เราต้องห่างกัน ถึงเธออาจจะไม่เข้าใจแต่ก็ยอมรับ ผมถือว่าเป็นข้อตกลงที่จะทำให้เราคบกันได้ต่อไป เหมือนทุกอย่างเรียบร้อยผมก็รีบกลับมาที่คอนโดทันที และพอมาเป็นสภาพของไอ้ตัวเล็กแล้ว โคตรจะโกรธตัวเองเลยให้ตายเถอะ ผมค่อยๆอุ้มไอ้ตัวเล็กเข้าไปในห้องนอน ผมวางมันลงที่เตียงอย่างช้าๆ และในตอนนี้ผมกำลังห่มผ้าห่มให้คนที่กำลังนอนอยู่นั้น
“ ต้น ต้นกลับมานะ ไม่ไปนะ ต้นกลับมาอยู่กับเจนะ ต้น ” เสียงละเมอของคนที่กำลังนอนหลับทำเอาหัวใจของผมกระตุก ผมเดินมานั่งอยู่ข้างๆร่างที่กำลังหลับช้าๆ ก่อนจะค่อยเอานิ้วไปเกลี่ยที่ดวงตาช้ำๆตรงหน้าอย่างอ่อนโยน หวังเพียงให้ความรู้สึกของผมบรรเทาความเจ็บปวดของคนตรงหน้าลงได้บ้าง
“ ต้นอยู่นี้แล้วครับ ต้นไม่ไปไหนหรอก หัวใจของต้นอยู่นี้ ความรักของต้นก็อยู่ตรงนี้ ต่อให้ตัวต้นต้องไปอยู่ตรงไหน ไกลแสนไกลแค่ไหน สุดท้ายมันต้องกลับมาหาหัวใจของมันให้ได้รู้ไหมครับ คนดีของต้น ” สิ้นคำพูดผมประทับจูบลงที่หน้าผากของคนตรงหน้าช้าๆ อย่างน้อยแม้จะเป็นในความฝันผมก็อยากให้มันรู้ว่าจะมีผมคนนี้อยู่ข้างๆไม่จากไปไหน และพรุ่งนี้เช้ามันก็ตื่นมาเจอกับผมในโลกแห่งความจริงเหมือนกัน เพราะไม่ว่าในโลกไหนๆ ผมก็จะอยู่ข้างๆคนตัวเล็กคนนี้ จะอยู่ข้างหัวใจดวงนี้เสมอไป…
จบ…
*
Read more: Lille OSC
*
*
writer spill the beans : ผมยังชอบประโยคที่มีคนเคยบอกว่า “ ไม่มีใครอยากเป็นตัวร้ายในเรื่องของความรัก ” เพราะในโลกแห่งความรักมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ บวกกับอารมณ์ของเพลง I ’ meter not the only one ด้วย มันก็ยิ่งชัดเจน พล็อคตอนนี้คิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้เขียนฟิคแรกๆแล้วครับ ถ้าใครจำได้จะมีเกริ่นถึงตอนนี้ใน Ours World ด้วย แต่ด้วยสถานการณ์รึอะไรหลายๆอย่างทำให้ตอนนี้ถูกเลื่อนมาจนถึงตอนนี้ แต่ผมก็ยังชอบตอนนี้อยู่ดี 55 มีครบเลยนะ ทั้งฟินทั้งดราม่า ใส่อารมณ์กันสุดฤทธิ์ 55 หวังว่าทุกคนจะชอบนะครับ แต่ลงฟิคต้นเจวันนี้จะดีไหมเนี่ย วันนี้มันวันก้องตังเดย์ชัดๆ รู้งี้เขียนตอนนี้ก่อน แล้วค่อยเอา Memento มาลงวันนี้ดีกว่า แต่ก็ไม่รู้อนาคตนี่แหละว่าจะฟินแหลกลานขนาดนี้ 55 นั้นแหละก้องตังนี้จะฟินมาเยอะช่วงนี้ เดี๋ยวได้เวลาจัดดราม่าให้สักตอนสองตอนก็คงดี ( เลวสุด ) 555 อะเอาเดี๋ยวไอ้หมีมันกลับมาจากญุี่ปุ่นแล้วมาจุติที่กรีนวัลเลย์ ก็คงมีการกระชับพื้นที่คืนจากไอ้ตัวเล็กบ้างแหละ รอฟินกันดีกว่าเนอะ ^^ เหมือนเดิมนะครับ ชอบไม่ชอบยังไง ติชมได้ตามปกติ ในทุกๆช่องทาง ขอบคุณสำหรับคนอ่านทุกคนนะครับ พรุ่งนี้ใครว่างก็อย่าลืมไปเชียร์ไอ้ตัวเล็กและบรรดาผู้ชายของเจกันนะครับ 555 เจอกันตอนหน้า สวัสดีครับ