ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ [ note 1 ] ( สเปน : Lionel Andrés Messi ; [ 8 ] ; เกิด 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 ) เป็นนักฟุตบอล ชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นในตำแหน่ง กองหน้า ให้แก่ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ใน ลีกเอิง ฝรั่งเศส และ ทีมชาติอาร์เจนตินา เขามักถูกมองว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก [ 9 ] และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล [ 10 ] เมสซิได้รับรางวัล บาลงดอร์ มากที่สุด 7 สมัย [ note 2 ] และได้รางวัลรองเท้าทองคำ 6 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน เขาลงเล่นให้ บาร์เซโลนา นานถึง 17 ปี โดยเป็นผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดของสโมสร และพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุด 35 รายการ รวมถึงแชมป์ ลาลิกา 10 สมัย, โกปาเดลเรย์ 7 สมัย และ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 4 สมัย เมสซิยังครองสถิติสำคัญได้แก่ : เป็นผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด ( 474 ประตู ) และทำแอสซิสต์มากที่สุด ( 192 ครั้ง ) ใน ลาลิกา, เป็นผู้ทำประตูมากที่สุดในลีกยุโรปต่อหนึ่งฤดูกาล ( 50 ประตู ), เป็นผู้ทำแฮตทริกมากที่สุดในลาลิกา ( 36 ครั้ง ), ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ( 8 ครั้ง ) และโกปาอเมริกา ( 17 ครั้ง ), เป็นผู้เล่นชายชาว อเมริกาใต้ ที่ทำประตูในนามทีมชาติมากที่สุด ( 80 ประตู ) และเป็นผู้เล่นที่ทำประตูให้กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งมากที่สุดตลอดกาล เมสซิยังทำประตูในนามทีมชาติชุดใหญ่และสโมสรรวมกว่า 750 ประตูตลอดอาชีพ เมสซิเกิดและเติบโตใน โรซาริโอ เมืองในแถบภาคกลางของ อาร์เจนตินา ก่อนจะย้ายไป สเปน เพื่อร่วมทีมบาร์เซโลนาในวัยเพียง 13 ปี เขาได้ลงเล่นในการแข่งขันครั้งแรกในวัย 17 ปี ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 เขาสถาปนาตนเองเป็นผู้เล่นศูนย์กลางของสโมสรภายในอีกสามปีถัดมา และในฤดูกาล 2008–09 เขาพาบาร์เซโลนาคว้าแชมป์รายการใหญ่ 3 รายการในปีเดียวกัน และคว้ารางวัลบาลงดอร์สมัยแรกในวัย 22 ปีในปีนั้น ก่อนจะคว้ารางวัลนี้ได้อีกสามสมัยติดต่อกัน ทำสถิติผู้เล่นคนแรกที่คว้าบาลงดอร์สี่สมัยติดต่อกัน [ 13 ] ในฤดูกาล 2011–12 เขาทำสถิติยิงประตูในลาลิกาและเกมยุโรปมากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาล และได้กลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ต่อมา ใน ฤดูกาล 2014–15 เขากลายเป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในลาลิกา และพาบาร์เซโลนาชนะเลิศ 3 รายการใหญ่ได้เป็นครั้งที่สอง ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลบาลงดอร์สมัยที่ห้าในปี 2015 เมสซิรับหน้าที่เป็น กัปตัน ของบาร์เซโลนาตั้งแต่ ค.ศ. 2018 และคว้าบาลงดอร์ได้อีกสองสมัยในปี 2018 และ 2019 ก่อนจะย้ายร่วมทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 [ 14 ] และคว้า บาลงดอร์ สมัยที่ 7 ในการแข่งขันระดับทีมชาติ เมสซิเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของอาร์เจนตินาจำนวน 76 ประตู ในระดับเยาวชน เขาพาอาร์เจนตินาชนะเลิศ ฟุตบอลโลกเยาวชน 2005 โดยเมื่อจบรายการแข่งขันเขาได้รับรางวัลลูกบอลทองคำและรองเท้าทองคำ ต่อมา เขาคว้าเหรียญทองในนามทีมชาติหลังจากพาทีมชนะเลิศ โอลิมปิกฤดูร้อน 2008 เขาเป็นผู้เล่นที่มีรูปร่างเล็กและถนัดเท้าซ้าย และมักถูกเปรียบเทียบกับจำนานรุ่นพี่ร่วมทีมชาติอย่าง ดิเอโก มาราโดนา ผู้ยกย่องให้เมสซิเป็นทายาทตำนานคนถัดไป หลังจากที่เมสซิลงเล่นนัดแรกให้กับทีมชาติชุดใหญ่ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 เขากลายเป็นผู้เล่นชาวอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นและทำประตูใน ฟุตบอลโลก ซึ่งเกิดขึ้นใน ปี 2006 เขารับหน้าที่เป็นกัปตันทีมชาติตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2011 โดยเขาพาอาร์เจนตินาเข้าชิงชนะเลิศถึงสามรายการ ได้แก่ ฟุตบอลโลก 2014, โกปาอาเมริกา 2015 และ 2016 แต่ทำได้เพียงรองแชมป์ทั้งสามรายการ และเขาประกาศเลิกเล่นทีมชาติใน ค.ศ. 2016 ก่อนที่จะเปลี่ยนใจกลับมาช่วยให้ทีมชาติผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของ ฟุตบอลโลก 2018 และพาทีมจบอันดับที่สามใน โกปาอาเมริกา 2019 และชนะเลิศ โกปาอาเมริกา 2021

เมสซิเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เขาได้รับการสนับสนุนจาก อาดิดาส บริษัทจำหน่ายชุดกีฬา ตั้งแต่ ค.ศ. 2006 และได้กลายเป็นตัวแทนหลักของเครื่องหมายการค้านี้ ฟรองซ์ฟุตบอล เปิดเผยว่า เขาเป็นผู้เล่นที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดในช่วง ค.ศ. 2009–2014 และ ฟอบส์ จัดอันดับที่ให้เขาเป็นนักกีฬาที่มีค่าเหนื่อยแพงที่สุดใน ค.ศ. 2019 ไทม์ จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลกใน ค.ศ. 2011 และ 2012 ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เขาได้รับรางวัลนักกีฬาโลกแห่งปีของลอเรียส ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลและนักกีฬาประเภททีมคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ในปีเดียวกันนั้นเขายังกลายเป็นนักฟุตบอลคนที่สองที่ทำรายได้ตลอดอาชีพเกิน 1 พันล้านดอลลาร์

ชีวิตช่วงแรก

เมสซิเกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 ที่โรงพยาบาลอิตาเลียโนการิบัลดิ ในเมือง โรซาริโอ รัฐซานตาเฟ เป็นบุตรของฆอร์เฆ เมสซิ ( เกิดปี ค.ศ. 1958 ) เป็นคนงานโรงงาน และเซเลีย มาริอา กูซิตินิ คนทำความสะอาดนอกเวลา [ 15 ] [ 16 ] [ 17 ] [ 18 ] ครอบครัวทางฝั่งพ่อมาจากเมืองใน ประเทศอิตาลี คือเมือง อังโกนา โดยบรรพบุรุษของเขา อันเจโล เมสซิ อพยพมาอยู่อาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 1883 [ 19 ] [ 20 ] เขามีพี่ชาย 2 คนชื่อโรดรีโกและมาเตียส และมีน้องสาวชื่อ มารีอา ซอล [ 21 ] เมื่อเขาอายุ 5 ปี ได้เริ่มเล่น ฟุตบอล ให้กับกรันโดลี สโมสรท้องถิ่น ที่พ่อเขาคอร์เค เป็นผู้ฝึก [ 22 ] ในปี ค.ศ. 1998 เมสซิย้ายไปอยู่สโมสร ญุลส์โอลบอยส์ ซึ่งอยู่ในเมืองบ้านเกิดเขาโรซาริโอ [ 22 ] ตลอด 6 ปีที่เขาอยู่กับนีเวลส์ เขาทำประตูได้มากมาย เป็นสมาชิกของ “ เครื่องจักร 87 ” ( The Machine of 87 ) ทีมเยาวชนที่สมาชิกของทีมเกือบทั้งหมดเกิดในปี 1987 และเป็นทีมที่เกือบจะไม่เคยแพ้เลย และสร้างความสนุกสนานให้ผู้ชมเสมอด้วยการโชว์เทคนิคการเล่นฟุตบอลช่วงพักครึ่งเกมเหย้าของทีมชุดใหญ่ [ 23 ] ตอนอายุ 10 ปี เขามีอาการขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ประกันสุขภาพของพ่อเขาครอบคลุมการรักษาเขาได้เพียงแค่ 2 ปี ซึ่งค่ารักษาหลังจากนั้นเกินกำลังฐานะครอบครัวเขา ประกอบกับอาร์เจนตินากำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในขณะนั้น ( 1999-2001 ) [ 24 ] [ 25 ] ทำให้สโมสร ญุลส์โอลบอยส์ ต้นสังกัดของเขาที่ตอนแรกตกลงจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษา ไม่สามารถทำได้ตามทีตกลงกันไว้ และถึงแม้ว่า สโมสรอัตเลติโกริเบร์เปลต ( River Plate ) สโมสรใหญ่ในลีกสูงสุดของอาร์เจนตินา จะแสดงความสนใจในตัวเมสซิ ก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขา เป็นเงินถึง 900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน [ 18 ] แต่นับว่าเมสซิยังมีความหวังอยู่บ้าง เพราะครอบครัวของเขามีญาติอาศัยอยู่ในเมือง เยย์ดา แคว้นกาตาลุญญา ซึ่งช่วยเหลือนำเทปบันทึกการเล่นฟุตบอลของเมสซิส่งให้ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา พิจารณา หลังผ่านการพิจารณา เมสซิและพ่อของเขาก็เดินทางมาทดสอบฝีเท้าที่บาร์เซโลนา การ์เลส ราซัก ผู้บริหารด้านกีฬาของ สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ในขณะนั้น ได้เห็นความสามารถของเมสซิ ก็ตัดสินใจเซ็นสัญญากับเขาทันที โดยสัญญาฉบับแรกเขียนขึ้นอย่างคร่าว ๆ ในกระดาษเช็ดปากของร้านอาหารที่ การ์เลส ราซัก นัดพูดคุยกับพ่อเขานั่นเอง [ 26 ] กลายเป็นตำนานสัญญาผ้าเช็ดปากที่กล่าวกันในปัจจุบัน โดยบาร์เซโลนาเสนอจ่ายค่าพยาบาลให้ทั้งหมด ถ้าเขายินยอมที่จะย้ายมาอยู่ สเปน [ 22 ] เมสซิและครอบครัวย้ายมายัง ยุโรป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 ขณะที่เขาอายุ 13 ปี และเริ่มเล่นให้สโมสรเยาวชนของทีมตั้งแต่นั้นมา [ 27 ] แต่ในช่วงขวบปีแรกที่บาร์เซโลนาของเขาก็ไม่ง่ายนัก เขายังไม่สามารถลงเล่นในเกมเป็นทางการได้ เนื่องจากเป็นนักเตะเยาวชนต่างชาติ ยังไม่ได้รับสัญชาติยุโรป เขาจึงได้ลงสนามแค่ในเกมกระชับมิตร และเกมในการแข่งขันกาตาลาลีกเท่านั้น อีกทั้งแม่ พี่ชาย 2 คนและน้องสาวของเขาก็ย้ายกลับไปอาร์เจนตินา เหลือเพียงตัวเขากับพ่อเท่านั้นที่ยังอยู่บาร์เซโลนา การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขาไม่ง่าย เนื่องจากเป็นเด็กที่ค่อนข้างเงียบ เก็บตัว และมีความต่างด้านภาษา สำเนียง และวัฒนธรรมค่อนข้างมาก ( บาร์เซโลนาใช้ภาษากาตาลาอย่างแพร่หลาย ) และในปี 2002 เขาก็ได้รับการลงทะเบียนเป็นนักเตะสามารถลงแข่งขันได้ทุกรายการ และเริ่มมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น นักฟุตบอลซึ่งเติบโตมาด้วยกันที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ฌาราร์ต ปิเก และ เซสก์ ฟาเบรกัส [ 28 ] พออายุ 14 ปี การรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตของเขาก็สำเร็จเสร็จสิ้น เมสซิก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ เบบี้ ดรีมทีม ( Baby dream Team ) ทีมเยาวชนที่ดีที่สุดที่เคยมีมาของสโมสร ในฤดูกาลแรก 2002-03 ที่เขาสามารถเล่นได้เต็มฤดูกาล เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุดด้วยจำนวนประตู 36 ประตูจาก 30 เกม ของทีมเยาวชนอายุ 14-15 ปี ( Cadetes A ) ซึ่งได้ทริปเปิลแชมป์ แชมป์ลีก ถ้วยเยาวชนสเปน และถ้วยกาตาลาคัพ ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศถ้วยกาตาลาคัพซึ่งเอาชนะทีมเยาวชนเอสปัญญอลไปได้ 4–1 เป็นที่รู้จักในสโมสรว่าเป็น “ นัดหน้ากาก ” เนื่องจาก 1 สัปดาห์ก่อนการแข่งขันเมสซิได้รับบาดเจ็บกระดูกโหนกแก้มแตกในการแข่งขันเกมลีก เมสซิได้รับอนุญาตให้เป็นตัวจริงลงแข่งได้ แต่ต้องสวมหน้ากากป้องกันการกระแทก หลังจากเริ่มแข่งไปได้ไม่นานเมสซิก็ถอดหน้ากากออกและยิง 2 ประตูก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกใน 10 นาทีต่อมา ตอนจบฤดูกาลเขาได้รับข้อเสนอให้ไปร่วมทีมจาก สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล สโมสรดังจากพรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่ในขณะที่ ฌาราร์ต ปิเก และ เซสก์ ฟาเบรกัส เลือกรับข้อเสนอจากสโมสรอังกฤษ เมสซิเลือกที่จะอยู่บาร์เซโลนาต่อ [ 29 ] [ 30 ]

ระดับอาชีพ

บาร์เซโลนา

ฤดูกาล 2003–05 : ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่

ระหว่างฤดูกาล 2003–04 ซึ่งเป็นปีที่สี่ของเขากับบาร์เซโลนา เมสซิสามารถเลื่อนระดับจากทีมเยาวชนไปตามลำดับของสโมสรอย่างรวดเร็ว และสร้างสถิติเล่นให้ทีมในระดับต่าง ๆ ของบาร์เซโลนาถึง 5 ทีมในฤดูกาลเดียว หลังจากได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรใน 4 ประเทศกับทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม B ( Juveniles B ) เขาลงเล่นในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ 1 นัด ก่อนจะได้รับการเลื่อนชั้นไปเล่นในทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม A ( Juveniles A ) ซึ่งเขาทำประตูได้ 18 ประตูจาก 11 เกมลีก [ 32 ] เมสซิเป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนหลายคนที่ถูกเรียกไปเสริมทีมชุดใหญ่เมื่อมีการแข่งขันทีมชาติ ลูโดวิก ชูลี ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวฝรั่งเศส ได้เคยบอกถึงการที่เมสซิเป็นที่จับตามองอย่างมากในระหว่างซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ความว่า “ เขาเล่นงานพวกเราทั้งหมด หลายคนต้องตามเตะเขาเพื่อไม่ให้ได้รับความอับอายจากเด็กคนนี้ แต่เขาก็แค่ลุกขึ้นและเล่นต่อไป เขาลากเลื้อยผ่านนักเตะ 4 คนและยิงประตู แม้แต่เซ็นเตอร์แบคตัวจริงของทีมตอนนั้นยังกลัวเขา เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวชัด ๆ ” [ 33 ]
เมสซิในเกมกับมาลากา ค.ศ. 2005 เมสซิ ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ขณะที่อายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนาทีที่ 75 ของนัดกระชับมิตรกับ สโมสรปอร์ตู ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรีนโย [ 34 ] [ 35 ] เขาสามารถสร้างโอกาสได้ 2 ครั้งและยิงประตูเข้ากรอบ 1 ครั้ง ซึ่งนั่นสร้างความประทับใจให้ทีมงานเทคนิคเป็นอย่างมาก และต่อมาเขาเริ่มฝึกซ้อมกับทีมสำรองของบาร์เซโลนา ( บาร์เซโลนา เบ ) นอกจากนี้ยังได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่รายสัปดาห์อีกด้วย หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ร่วมกับนักเตะระดับดาราชุดใหญ่อย่าง รอนัลดีนโย รอนัลดีนโยได้บอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าเขาเชื่อว่าเด็กอายุ 16 ปีคนนี้จะกลายเป็นนักเตะที่ดีกว่าเขาแน่นอน ต่อมารอนัลดีนโยกลายเป็นผู้เล่นที่มความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเมสซิ โดยเรียกเขาว่า “ น้องชาย ” ซึ่งช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ [ 39 ] เมสซิเข้าร่วมทีมสำรองทีม C ( บาร์เซโลนา เซ ) เพิ่มเติมจากการลงเล่นให้กับทีมเยาวชนทีม A เพื่อให้มีประสบการณ์แข่งขันที่มากขึ้น เขาลงเล่นให้กับทีมสำรองทีม C ครั้งแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน เขามีส่วนช่วยให้ทีมรอดจากการตกชั้นสู่ลีกระดับ 3 ของสเปน ( Tercera División ) โดยทำประตูได้ 5 ประตูจากการลงเล่น 10 นัด ซึ่งรวมถึงการทำแฮตทริกภายในระยะเวลา 8 นาทีในการแข่งขัน โกปาเดลเรย์ ทั้งที่ถูกประกบโดย เซร์ฆิโอ ราโมส จาก เซบิยา พัฒนาการของเขาสะท้อนให้เห็นจากสัญญาอาชีพฉบับแรกของเขา ซึ่งลงนามในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 และมีกำหนดสิ้นสุดถึง ค.ศ. 2012 สัญญาฉบับนี้ระบุมูลค่าการยกเลิกสัญญา ( buyout clause ) สูงถึง 30 ล้านยูโร หนึ่งเดือนถัดมา ในวันที่ 6 มีนาคม เขาได้ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา เบ ในการแข่งขัน เซกุนดาดิบิซิออน เบ และทำให้มูลค่าการยกเลิกสัญญาเพิ่มขึ้นอัตโนมัติเป็น 80 ล้านยูโร เขาลงเล่นกับบาร์เซโลนา เบ จำนวน 5 นัดแต่ไม่สามารถทำประตูได้ [ 42 ] เนื่องจากเมื่อพิจารณาในเชิงกายภาพแล้ว ร่างกายของเขาอ่อนแอเมื่อเทียบกับนักเตะทีมคู่แข่ง ซึ่งมักมีอายุและความสูงมากกว่าเขา ทำให้เขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งของร่างกายโดยรวม เพื่อให้เพียงพอต่อการหลบหลีกกองหลังทีมตรงข้าม เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล เขากลับไปลงเล่นให้กับทีมเยาวชนทั้งสองทีม ซึ่งเขามีส่วนช่วยให้ทีมเยาวชนทีม B ชนะเลิศการแข่งขันขันลีกด้วย เขาจบฤดูกาลการแข่งขันในปีนี้ด้วยผลงานทำประตูให้กับ 4 จาก 5 ทีมที่เข้าลงเล่น พร้อมทั้งยิงประตูรวมได้ 36 ประตูในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ระหว่างฤดูกาล 2004–05 เมสซิได้รับตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงของบาร์เซโลนา เบ ลงเล่นทั้งหมด 17 นัด และทำได้ 6 ประตู [ 43 ] หลังจากที่เขาได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาไม่ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมกับทีมชุดใหญ่อีก ทว่าในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 ผู้เล่นชุดใหญ่ได้เรียกร้องให้ ฟรังก์ ไรการ์ด ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเลื่อนเขามาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ขณะนั้นรอนัลดีนโยลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ไรการ์ดจึงย้ายให้เมสซิไปเล่นฝั่งซ้าย ( แม้ว่าระยะแรกจะตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเมสซิ ) เพื่อให้เขาสามารถตัดเขhากลางและยิงประตูด้วยเท้าซ้ายข้างถนัดของเขา [ 45 ] เมสซิได้ลงเล่นเกมลีกเป็นนัดแรกในนาทีที่ 82 นัดที่พบกับ อัสปัญญ็อล เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม [ 34 ] ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี 3 เดือน 22 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ [ 39 ] เขามีบทบาทเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่น 9 นัด คิดเป็นเวลารวม 77 นาที ในฤดูกาลแรกของเขากับทีมชุดใหญ่ ซึ่งรวมถึงการได้ลงเล่นใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดที่พบกับ ชัคตาร์ดอแนตสก์ [ 43 ] [ 46 ] เขาทำประตูให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 นัดที่พบกับ อัลบาเซเตบาลอมเปีย จากการจ่ายบอลให้ของรอนัลดีนโย ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ทำประตูให้กับสโมสรได้ [ 47 ] ในฤดูกาลที่ 2 ภายใต้การคุมทีมของไรการ์ด บาร์เซโลนาชนะเลิศการแข่งขัน ลาลิกา เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี [ 48 ]

ฤดูกาล 2005–06 : ยึดตำแหน่งตัวจริง

วันที่ 24 มิถุนายน 2005 วันเกิดครบรอบ 18 ปีของเมสซิ เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะทีมชุดใหญ่เต็มตัวเป็นครั้งแรก โดยสัญญายาวถึงปี 2012 น้อยกว่าสัญญาเดิมของเขา 2 ปี แต่ค่าฉีกสัญญาของเขากลับพุ่งสูงลิ่วถึง 150 ล้านยูโรเลยทีเดียว และทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถของเขา 2 เดือนถัดมา ในวันที่ 24 สิงหาคม 2005 เกมกระชับมิตรถ้วยประเพณี ฌูอัน กัมเป แข่งกับ ยูเวนตุส เมสซิได้เป็นตัวจริงครั้งแรก และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ได้เสียงการปรบมือชื่นชมกึกก้องสนามกัมนอว์ และยังสร้างความประทับใจให้ ฟาบีโอ กาเปลโล กุนซือของยูเวนตุสเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดยื่นขอยืมตัวเขาหลังเกมเลยทีเดียว และยังมีการยื่นขอซื้อตัวเมสซิจาก อินเตอร์มิลาน ซึ่งยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาของเขา และเสนอค่าจ้างให้เขาถึง 3 เท่าจากที่ได้รับอยู่เดิม แต่เมสซิก็เลือกอยู่กับบาร์เซโลนาต่อไป และวันที่ 16 กันยายน 2005 เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่บาร์เซโลนาประกาศปรับสัญญาใหม่ของเมสซิ ครั้งนี้ปรับการจ่ายให้เขาในฐานะผู้เล่นทีมชุดใหญ่และขยายสัญญาไปจนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2014 [ 22 ] แต่ปัญหาจากสมาคมฟุตบอลสเปน เรื่องสัญชาติของเมสซิ ทำให้เขาไม่สามารถลงเล่นเกมลีกได้ในช่วงแรก แต่วันที่ 26 กันยายน 2005 เมสซิก็ได้รับสัญชาติสเปนในที่สุด [ 49 ] และได้สวมเสื้อเบอร์ 19 หลังจากนั้นเขาก็ได้เล่นเปิดตัวในลาลิกาครั้งแรกของฤดูกาล และในนัดแรกในแชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 27 กันยายน โดยเจอกับ อูดีเนเซกัลโช แฟนฟุตบอลที่สนาม กัมนอว์ ได้ยืนปรบมือเป็นเกียรติเมื่อเขาเปลี่ยนตัว กับความนิ่งและการส่งผ่านบอลให้กับ รอนัลดีนโย ทำให้แฟนบาร์เซโลนาประทับใจ [ 51 ] [ 52 ] จากนั้น เมสซิสามารถยึดตำแหน่งปีกขวาตัวจริงได้ โดยเล่นประสานกับ รอนัลดีนโย และ ซามุแอล เอโต เมสซิยิงประตู 6 ประตู ในการลงแข่ง 17 นัดในลีก และยิง 1 ใน 6 ประตูในแชมเปียนส์ลีก แต่ฤดูกาลของเขาจบก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2006 เขาได้รับบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อฉีกที่ต้นขา ในนัดที่ 2 ที่แข่งกับ เชลซี ในแชมเปียนส์ลีก [ 53 ] บาร์เซโลนาจบฤดูกาลด้วยการชนะเลิศลาลิกาและแชมเปียนส์ลีก [ 54 ] [ 55 ]

ฤดูกาล 2006–07 : แฮตทริกแรกกับทีมชุดใหญ่

ในฤดูกาล 2006–07 เมสซิลงเล่นในฐานะทีมชุดใหญ่ ทำประตู 14 ประตูใน 26 นัด [ 56 ] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ในเกมที่เจอกับ เรอัลซาราโกซา เมสซิบาดเจ็บจากกระดูกฝ่าเท้าแตก ทำให้เขาไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 3 เดือน [ 57 ] [ 58 ] เขาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่อาร์เจนตินา และกลับมาลงแข่งอีกครั้งกับ ราซินเดซันตันเดร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ [ 59 ] โดยลงในครึ่งหลัง ในฐานะตัวสำรอง เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล บัลลงดอร์ ปี 2006 เป็นครั้งแรก และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับที่ 20 โดยเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในเหล่านักเตะ 50 คนที่ได้รับการเสนอชื่อ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เมสซิแสดงฝีมือเต็มตัวอีกครั้ง โดยการโชว์ฟอร์มมหัศจรรย์ ยิงแฮตทริกได้ในการแข่งขัน เอลกลาซิโก ทั้งที่ผู้เล่นของบาร์เซโลนาเหลือ 10 คนในสนามตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก ช่วยให้บาร์เซโลนายันเสมอกับเรอัลมาดริด 3–3 และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนั้น ประตูสุดท้ายที่ตีเสมอนั้น เขาวิ่งไปรับบอลจาก รอนัลดีนโย 5 หลาจากกรอบเขตโทษ และเลี้ยงลากหลบผู้เล่นเรอัลมาดริดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนซัดบอลผ่านมืออิเคร์ กาซียาสผู้รักษาประตูเข้าไปอย่างสวยงาม [ 60 ] [ 61 ]
การทำแฮตทริกในครั้งนี้ ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ อีบัน ซาโมราโน ( เรอัลมาดริด ในฤดูกาล 1994–95 ) ที่ทำแฮตทริกได้ในเกมเอลกลาซิโก หลังจากจบเกมนี้เมสซิก็เป็นที่กล่าวขวัญ และชื่นชมเป็นอย่างมาก ในฐานะนักเตะดาวรุ่งอายุเพียง 19 ปี แต่สามารถทำแฮตทริกได้ในเกมใหญ่อย่าง เอลกลาซิโก [ 62 ] จากนั้นไล่ไปจนจบฤดูกาลเขาทำประตูได้มากขึ้นเรื่อย ๆ 11 ประตูในจาก 14 นัด มาจาก 13 นัดสุดท้ายของฤดูกาล [ 63 ] เมสซิยังพิสูจน์ถึงความเป็น “ มาราโดนา คนใหม่ ” ที่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง โดยเกือบจะโด่งดังเท่ามาราโดนา ในการทำประตูในฤดูกาลเดียวกัน [ 64 ] เมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2007 เขายิง 2 ประตูใน โกปาเดลเรย์ ในรอบรองชนะเลิศที่แข่งกับ เฆตาเฟ ที่มีความคล้ายคลึงกับประตูที่มีชื่อเสียงของมาราโดนา ในครั้งแข่งกับ ทีมชาติอังกฤษ ใน ฟุตบอลโลก 1986 ที่ เม็กซิโก ที่เรียกว่า “ ประตูแห่งศตวรรษ ” [ 65 ] สื่อต่าง ๆ ของโลกต่างเปรียบเทียบเขากับมาราโดนา และสื่อสเปนเรียกเมสซิว่า “ เมสซิโดนา ” [ 66 ] เขายิงในระยะเดียวกับมาราโดนา ที่ 62 เมตร ( 203 ฟุต ) หลบคู่ต่อสู้ในจำนวนเดียวกัน ( 6 คน รวมถึงผู้รักษาประตู ) และทำประตูได้ในตำแหน่งที่คล้ายกันมาก และวิ่งไปยังธงมุมสนาม เหมือนอย่างที่มาราโดนาทำไว้ในเม็กซิโกเมื่อ 21 ปีก่อน [ 64 ] ในงานแถลงข่าวหลังการแข่งขัน เพื่อนร่วมทีม เดโก พูดว่า “ เป็นการทำประตูที่ดีที่สุด ที่ผมเคยเห็นในชีวิตของผม ” [ 67 ] ในการแข่งกับ แอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล เมสซิทำประตูที่คล้ายกับ “ หัตถ์พระเจ้า “ ของมาราโดนา ในฟุตบอลโลกนัดแข่งกับทีมชาติอังกฤษรอบก่อนชิงชนะเลิศ เมสซิดีดตัวไปที่ลูกบอลและใช้มือของเขายิงประตูผ่านผู้รักษาประตู คาร์ลอส คาเมนี ( Carlos Kameni ) [ 68 ] และถึงแม้ว่าผู้เล่นของอัสปัญญ็อลจะประท้วงและภาพช้าจากโทรทัศน์แสดงให้เห็นว่าเป็นแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินก็ยังถือว่าเป็นประตู [ 68 ]

ฤดูกาล 2007–08

ในฤดูกาล 2007–08 เมสซิ ยิง 5 ประตูในสัปดาห์เดียว ทำให้บาร์เซโลนาติดใน 4 อันดับแรกในลาลิกา เมื่อวันที่ 19 กันยายน เขายิง 1 ประตูในนัดชนะ ลียง 3–0 ที่บ้านตัวเองในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก [ 69 ] เขายิง 2 ประตูในการแข่งกับ เซบิยา เมื่อวันที่ 22 กันยายน [ 70 ] จากนั้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน เมสซิยิงอีก 2 ประตูในชัยชนะเหนือ เรอัลซาราโกซา 4–1 [ 71 ] ประตูถัดไป ในนัดเยือน เลบันเตอูเด 4-1 เมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2007 และประตูที่ 2 ในแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนั้น เขายิงในนัดพบกับ ชตุทการ์ท เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เมสซิลงเล่นอย่างเป็นทางการกับบาร์เซโลนาเป็นนัดที่ 100 ในนัดที่พบกับ บาเลนเซีย [ 72 ] เมสซิได้รับเสียงโหวตเป็นอันดับ 2 ในการประกาศรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2007 ( FIFA World Player of the year ) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล บัลลงดอร์ ปี 2007 โดยได้รับคะแนนโหวตเป็นอันดับ 3 เป็นปีแรกที่เขาติดเป็น 1 ในผู้เข้าชิง 3 คนสุดท้าย เมสซิได้รับการเสนอชื่อ รางวัลฟิฟโปรครั้งที่ 10 ในสาขากองหน้า [ 73 ] แบบสำรวจออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สเปนที่ชื่อ มาร์กา ได้ให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ด้วยคะแนนร้อยละ 77 [ 74 ] นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ในบาร์เซโลนา อย่าง เอลมุนโดเดปอร์ติโบ และ สปอร์ต ได้เขียนว่ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปสมควรเป็นของเมสซิ และได้รับการสนับสนุนจาก ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ [ 75 ] ผู้มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลอย่าง ฟรันเชสโก ตอตตี กล่าวว่า เมสซิเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ในปัจจุบัน [ 76 ] เมสซิไม่ได้ลงแข่งเป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังจากบาดเจ็บเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาซ้ายฉีก ในระหว่างการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก ที่พบกับ เซลติก เป็นครั้งที่ 4 ใน 3 ฤดูกาลที่เมสซิบาดเจ็บ [ 77 ] หลังจากการมาจากอาการบาดเจ็บ เมสซิยิงประตูสุดท้ายในฤดูกาล 2007–08 ในนัดที่พบบาเลนเซีย เมื่อ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 โดยชนะ 6–0 เมื่อจบฤดูกาลเมสซิยิงประตู 16 ประตู และช่วยทำแอสซิสต์อีก 13 ครั้งรวมทุกรายการ

ฤดูกาล 2008–09 : สืบทอดเบอร์ 10 และคว้า 3 แชมป์

เมสซิ ในนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก 2009 หลังจากที่ รอนัลดีนโย ออกจากสโมสร เมสซิก็สวมเสื้อเบอร์ 10 แทน [ 78 ] เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2008 ในแชมเปียนส์ลีกที่พบกับ ชาคห์ตาร์โดเนตสค์ เมสซิยิงได้ 2 ประตูใน 7 นาทีสุดท้าย โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน เธียร์รี อองรี พลิกสถานการณ์จากการตามหลัง 1–0 ไปเป็นชนะ 2–1 [ 79 ] และเกมในลีกนัดถัดมาที่พบกับ อัตเลติโกเดมาดริด ที่ถือเป็นการปะทะกับสหายของเมสซิ คือ เซร์ฆิโอ อาเกวโร [ 80 ] เมสซิยิงประตูจาก ฟรีคิก และยังช่วยแอสซิสต์ให้ทีมชนะ 6–1 [ 81 ] เมสซิทำประตูได้อีกครั้งในนัดแข่งกับเซบิยา โดยยิงลูกวอลเลย์ในระยะ 23 เมตร ( 25 หลา ) และจากนั้นก็เลี้ยงลูกผ่านผู้รักษาประตูและยิงประตูจากมุมแคบได้ [ 82 ] เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2008 ในการแข่งเอลกลาซิโกนัดแรกของฤดูกาล เมสซิยิงประตูที่ 2 ในนัดที่บาร์เซโลนาชนะ เรอัลมาดริด 2–0 [ 83 ] เมสซิได้รับคะแนนโหวตเป็นลำดับที่ 2 ในรางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่าปี 2008 ด้วยคะแนน 678 คะแนน [ 84 ] และได้รับเสียงโหวตเป็นลำดับ 2 ในการประกาศรางวัล บัลลงดอร์ ปี 2008 เช่นเดียวกัน เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่เขาติดอันดับผู้เข้าชิง 3 คนสุดท้าย เมสซิยิงแฮตทริกแรกใน ค.ศ. 2009 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดแข่งกับอัตเลติโกเดมาดริด โดยบาร์เซโลนาชนะไป 3-1 [ 85 ] เมสซิยิงอีกประตูสำคัญ 2 ประตู เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โดยลงมาในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะราซินเดซันตันเดร์ 1–2 หลังจากที่ตามอยู่ 1–0 และประตูที่ 2 ของเขาถือเป็นประตูที่ 5000 ในลีกของบาร์เซโลนา [ 86 ] ในการแข่งครั้งที่ 29 ในลาลิกา เมสซิยิงประตูที่ 30 ของฤดูกาลรวมทุกรายการ ทำให้ทีมชนะ มาลากา 6–0 [ 87 ] เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 2009 เขายิง 2 ประตูในนัดที่พบกับ บาเยิร์นมิวนิก ในแชมเปียส์ลีก ถือเป็นประตูที่ 8 ของเมซิในรายการนี้ [ 88 ] ต่อมา เมื่อวันที่ 18 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 20 ของฤดูกาลในนัดชนะเฆตาเฟ 1–0 ทำให้บาร์เซโลนายังคงเป็นผู้นำในลีกและนำเรอัลมาดริด 6 คะแนน [ 89 ] เมื่อใกล้จบฤดูกาล เมสซิยิง 2 ประตู ( ประตูที่ 35 และ 36 ในทุกรายการ ) นำทีมชนะเรอัลมาดริด 6–2 ที่สนาม ซานเตียโก เบร์นาเบว [ 90 ] และถือเป็นการแพ้มากที่สุดของเรอัลมาดริดตั้งแต่ ค.ศ. 1930 [ 91 ] หลังยิงประตู เขาวิ่งไปหาเหล่าคนดูและกล้อง และแสดงเสื้อบาร์เซโลนาและแสดงเสื้อทีเชิร์ตอีกตัวที่เขียนว่า Síndrome X Fràgil เป็นภาษากาตาลาหมายถึง กลุ่มอาการโครโมโซมเอกซ์เปราะบาง ( Fragile X syndrome ) เพื่อแสดงการสนับสนุนต่อเด็กที่ป่วยจากอาการดังกล่าว [ 92 ] เมสซิมีส่วนช่วยทีมในระหว่างที่ อันเดรส อินิเอสตา บาดเจ็บ และในการแข่งขันกับ เชลซี ในแชมเปียนส์ลีกในรอบรองชนะเลิศ เขาเลี้ยงบอลและแอสซิสต์ให้ อันเดรส อินิเอสตา ยิงประตูชัยให้บาร์เซโลนาผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขายังได้รับถ้วยรางวัลโกปาเดลเรย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ยิง 1 ประตูและช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก ในชัยชนะ 4–1 เหนือ อัตเลติกเดบิลบาโอ [ 93 ] และยังพาทีมชนะเลิศลาลิกาได้อีกครั้ง เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงโรม อิตาลี บาร์เซโลนาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 2-0 โดยเมสซิทำประตูที่ 2 ของการแข่งขันได้ จากการกระโดดโหม่งย้อนเปลี่ยนทางลูกบอลเข้าประตูอย่างสวยงาม ในนาทีที่ 70 เขายังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีกประจำฤดูกาลนั้น และเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยิงได้ 9 ประตู [ 94 ] เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลส่วนตัวมากมายในฤดูกาลนี้ เพราะบาร์เซโลนาจบฤดูกาลได้อย่างสวยงาม [ 95 ] เป็นครั้งแรกที่สโมสรฟุตบอลสเปนได้ทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ชนะเลิศสามรายการใหญ่ใหญ่ในฤดูกาลเดียว คือ ลาลิกา, ฟุตบอลถ้วยโกปาเดลเรย์ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียว [ 96 ]
หลังจากทีมชนะเลิศ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2009 ผู้จัดการทีม ชูเซบ กวาร์ดีโอลา แสดงความมั่นใจว่าเมสซิอาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็น [ 99 ] เมื่อวันที่ 18 กันยายน เมสซิเซ็นสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา ที่จะสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2016 ด้วยสัญญา 250 ล้านยูโร ทำให้เมสซิ รวมถึง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในลาลิกา โดยเมสซิได้เงินราว 9.5 ล้านยูโรต่อปี [ 100 ] [ 101 ] หลังจากนั้น 4 วัน ในวันที่ 22 กันยายน เมสซิยิง 2 ประตูและทำแอสซิสต์อีกหนึ่งประตูในนัดที่บาร์ซาชนะราซินเดซันตันเดร์ 4–1 ในลาลิกา [ 102 ] เขายิงประตูแรกในถ้วยยุโรปของฤดูกาลนี้ เมื่อวันที่ 29 กันยายน นำบาร์เซโลนาชนะ ดีนาโมเคียฟ 2–0 [ 103 ] จากนั้นยิง 1 ประตูในลาลิกาที่ทีมชนะ รอัลซาราโกซา ที่สนาม กัมนอว์ 6–1 [ 104 ] เมสซิได้รับรางวัล บัลลงดอร์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ด้วยคะแนน 473 คะแนน เอาชนะ คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งได้คะแนน 233 อย่างขาดลอย [ 105 ] [ 106 ] [ 107 ] สร้างสถิติได้รับคะแนนโหวตทิ้งห่างอันดับ 2 มากที่สุดตั้งแต่มีรางวัลมา คือ 240 คะแนน หลังจากนั้นนิตยสาร ฟรองซ์ฟุตบอล นำคำพูดที่เมสซิลงไว้ว่า “ ผมอุทิศให้กับครอบครัวของผม พวกเขาอยู่ตรงนั้นเสมอเมื่อผมต้องการกำลังใจ และในบางครั้งพวกเขามีความรู้สึกในเรื่องเกี่ยวกับผม มากกว่าตัวผมเสียอีก ” [ 108 ] เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม เมสซิยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอกันในเวลา 1–1 ในนัดชิงชนะเลิศ ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ 2009 ในนัดแข่งกับ เอสตูเดียนเตส ลา พลาต้า ของอาร์เจนตินา แชมป์จากโซนอเมริกาใต้ ที่ อาบูดาบี ทำให้สโมสรชนะเลิศกถ้วยรางวัลรายการที่ 6 ในปีนี้ [ 109 ] สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศในทุกการแข่งขันที่เข้าร่วม หลังจากนั้น 2 วันเขาได้รับรางวัล นักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่า ปี 2009 โดยได้รับคะแนนโหวตสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 1,073 คะแนน เอาชนะอันดับ 2 คริสเตียโน โรนัลโด ( 352 คะแนน ) และลำดับถัด ๆ มาอย่าง, ชาบี ( 196 คะแนน ), กาก้า ( 190 คะแนน ) และ อันเดรส อินิเอสตา ( 134 คะแนน ) ไปได้อย่างมโหฬาร โดยเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรางวัลนี้ และเป็น ชาวอาร์เจนตินา คนแรกที่ได้รับรางวัล [ 110 ] เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2010 เมสซิยิงแฮตทริกแรกใน ค.ศ. 2010 และเป็นแฮตทริกแรกของฤดูกาล ในนัดแข่งกับ เซเดเตเนรีเฟ ซึ่งทีมชนะไป 5–0 และเมื่อวันที่ 17 มกราคม เขายิงประตูที่ 100 ให้กับสโมสรในเกมที่ชนะ เซบิยา 4–0 [ 111 ] เมสซิสร้างความประทับใจโดยยิงไปถึง 11 ประตูใน 5 เกมแรก โดยยิงประตูในนาทีที่ 84 ในนัดแข่งกับ มาลากา ซึ่งบาร์ซาชนะ 2–1 [ 112 ] จากนั้นเขายิง 2 ประตูในนัดแข่งกับ อูเดอัลเมริอา ซึ่งเสมอกัน 2–2 [ 113 ] เขายังยิงอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์แห่งความประทับใจ ที่เขายิงไป 8 ประตู โดยเริ่มยิงแฮตทริกในนัดชนะ บาเลนเซีย ในบ้าน 3–0 [ 114 ] จากนั้นยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับ ชตุทการ์ท ในชัยชนะ 4–0 ทำให้บาร์เซโลนาผ่านเข้ารอบในแชมเปียนส์ลีก [ 115 ] และยิงแฮตทริกอีกครั้งในนัดไปเยือนซาราโกซาชนะ 4–2 [ 116 ] ทำให้เป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ติดต่อกันในลาลิกา [ 117 ] เขาลงแข่งอย่างเป็นทางการเป็นนัดที่ 200 กับบาร์เซโลนาในนัดแข่งกับ โอซาซูนา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2010 [ 118 ] เมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2010 เป็นครั้งแรกในอาชีพของเขาที่ยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในนัดที่บาร์เซโลนาเปิดบ้านชนะ อาร์เซนอล 4–1 ในแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศนัดที่ 2 [ 119 ] [ 120 ] [ 121 ] ทำให้เขาเป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาที่ยิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลในแชมเปียนส์ลีก แซงหน้า รีวัลดู [ 122 ] ต่อมา เมื่อวันที่ 10 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 40 ของฤดูกาลในประตูแรกที่ทีมบุกไปเอาชนะเรอัลมาดริด 2–0 [ 123 ] เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เมสซิยิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลและยิง 2 ประตูในการเยือน บิยาร์เรอัล ด้วยชัยชนะ 4–1 [ 124 ] 3 วันต่อมา เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เมสซิยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับเตเรรีเฟ ด้วยชัยชนะ 4–1 [ 125 ] เมสซิยิงประตูที่ 32 ในฤดูกาลนี้ของลาลิกาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ในการเยือนเซบิยา [ 126 ] และนัดสุดท้ายของฤดูกาลแข่งกับบายาโดลิด เขายิง 2 ประตูในครึ่งหลัง ทำให้สถิติยิงจำนวนประตูของสโมสรใน 1 ฤดูกาลของลาลิกาแซงหน้า โรนัลโด บราซิล ( 32 ประตู ) ในฤดูกาล 1996–97 [ 127 ] [ 128 ] แต่ตามหลังสถิติตลอดกาล ของ เตลโม ซาร์รา ที่ทำไว้ 38 ประตูในฤดูกาลเดียวของลาลิกา 4 ประตู [ 129 ] เมสซิได้รับ รางวัลผู้เล่นลาลิกาแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2010 [ 130 ] ในฤดูกาลนี้ เมสซิทำประตูในลีกได้ถึง 34 ประตู ส่งผลให้เขาได้รับรางวัล รองเท้าทองคำ [ 131 ] เมสซิในเกมพบกับเลบันเต 2011
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เมสซิยิงแฮตทริก ในนัดเปิดฤดูกาลของเขาในชัยชนะ 4–0 เหนือเซบิยา ในการชิงถ้วย ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ทำให้บาร์เซโลนาได้ถ้วยแรกของฤดูกาล หลังจากแพ้ 1–3 ในการแข่งนัดแรก [ 132 ] เขาเริ่มต้นฤดูกาลในลาลิกา ด้วยการยิงประตูในนาทีที่ 3 ในนัดแข่งกับราซินเดซันตันเดร์ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 2010 เขายังคงแสดงฝีมือยอดเยี่ยมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดแบ่งกลุ่ม แข่งกับ พานาทีไนกอส ( Panathinaikos ) โดยเขายิงได้ 2 ประตู และยังช่วยส่งลูกยิงประตูอีก 2 ลูก เมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 2010 เมสซิได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าเนื่องจากการเข้าแย่งลูกจากกองหลัง อัตเลติโกเดมาดริด โตมัส อุยฟาลูซี ในนาทีที่ 92 ในนัดที่ 3 ที่ สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน โดยเริ่มแรกนั้นเกรงว่าเมสซิจะบาดเจ็บจากข้อเท้าแตกและทำให้เขาไม่สามารถลงแข่งได้อย่างน้อย 6 เดือน แต่จากผลเอ็มอาร์ไอแสดงให้เห็นว่า เกิดการเคล็ดที่เอ็นภายในและภายนอกที่ข้อเท้าขวา [ 133 ] เพื่อนร่วมทีม ดาบิด บิยา ออกมากล่าวว่า “ การเข้าแย่งลูกปะทะเมสซิเป็นสิ่งที่หยาบคาย ” หลังจากดูวิดีโอที่เล่นแล้ว เขายังเชื่อว่า “ ไม่ได้กระแทกให้เจ็บ ” [ 134 ] จากเหตุนี้ทำให้สื่อวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วและนำไปสู่การถกเถียงเรื่องความเท่าเทียมกันในการปกป้องผู้เล่นในเกม เมื่อเมสซิหายดีแล้ว เขายิงประตูในนัดเสมอกับ เอร์เรเซเดมายอร์กา 1–1 จากนั้นยิงอีก 1 ประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเจอกับ โคเปนเฮเกน ช่วยให้ทีมชนะในบ้าน 2–0 [ 135 ] เขายังคงยิงประตูอย่างต่อเนื่อง ในนัดเจอกับซาราโกซาและเซบิยา เมื่อเริ่มเดือนพฤศจิกายนเขายิงประตูโดยไปเยือนโคเปนเฮเกน เสมอ 1–1 และไปเยือน สโมสรฟุตบอลเฆตาเฟ ชนะ 3–1 ที่เขาช่วยจ่ายบอลให้ดาบิด บิยาและ เปโดร โรดรีเกซ [ 136 ] ในนัดต่อไปซึ่งพบกับ บิยาร์เรอัล เขายิงประตูจากการร่วมมือกับเปโดรช่วยให้ทีมนำ 2–1 จากนั้นก็ยิงอีกประตูช่วยทีมชนะ 3–1 และเป็นนัดที่ 7 ติดต่อกันที่เมสซิยิงประตูได้ ทำลายสถิติตัวเขาเองที่เคยยิงได้ 6 นัดติดต่อกัน ต่อมา ในนัดพบกับอูเดอัลเมริอา เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 2 ของฤดูกาลในนัดเยือนที่ชนะไป 8–0 ประตูที่ 2 ในนัดนี้เป็นประตูที่ 100 ในลาลิกาของเขา [ 137 ] เขายิงประตูได้ 9 นัดติดต่อกัน ( รวมถึง 10 นัดติดต่อกันในนัดกระชับมิตรแข่งกับ ทีมชาติบราซิล ) โดยไปเยือนพานาทีไนกอสซึ่งบาร์เซโลนาชนะ 3–0 [ 138 ] ในนัด เอลกลาซิโก เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เมสซิยิงประตูช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 5–0 และเมสซิยังช่วยผ่านบอลให้ให้กับบิยาทำประตู 2 ครั้ง [ 139 ] ในนัดถัดมาเขาทั้งยิงและช่วยจ่ายลูกยิงให้นัดเจอกับโอซาซูนา [ 140 ] และยิงประตูในนัดแข่งกับ เรอัลโซซิเอดัด [ 141 ] ในนัดดาร์บีที่แข่งกับแอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล บาร์เซโลนาชนะ 5–1 เขาช่วยแอสซิสต์ให้กับเปโดรและบิยา คนละหนึ่งประตู [ 142 ] ประตูแรกในปี ค.ศ. 2011 ของเขา เกิดขึ้นในนัดที่พบ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา จากลูกฟรีคิก ในนัดที่ชนะ 4–0 ซึ่งเขาก็ยังช่วยแอสซิสต์ให้กับทั้งเปโดรและบิยาอีกครั้ง [ 143 ] เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ 2010 ชนะเพื่อนร่วมทีมของอย่าง ชาบี และอินิเอสตา [ 144 ] โดยเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน [ 145 ] 2 วันถัดหลังได้รับรางวัล เขายิงแฮตทริกแรกของปี และเป็นแฮตทริกที่ 3 ในฤดูกาล ในนัดแข่งกับ เรอัลเบติส [ 146 ] กลับมาสู่ในลีก เขายิงประตูในครึ่งหลัง โดยยิงประตูที่ 2 จากจุดโทษในนัดแข่งกับ ราซินเดซันตันเดร์ [ 147 ] หลังจากยิงประตูเขาแสดงข้อความบนเสื้อในเขียนว่า “สุขสันต์วันเกิด คุณแม่” [ 148 ] ต่อมา เขายิงประตูในนัดแข่งกับอัลเมริอา ใน โกปาเดลเรย์ รอบรองชนะเลิศ [ 149 ] จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ก็ยิงอีกครั้งในนัดแข่งกับ เอร์กูเลส [ 150 ] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ บาร์เซโลนาสร้างสถิติใหม่ โดยการชนะติดต่อกันมากที่สุดในลีก 16 นัดหลังจากที่ทีมชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 3–0 [ 151 ] ซึ่งเมสซิยิงแฮตทริก หลังจบการแข่งขันเขาพูดว่า “ เป็นเกียรติที่สามารถทำลายสถิติที่ยิ่งใหญ่ที่ทำขึ้นเหมือนอย่าง อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน “ และ “ ถ้าสถิตินี้ยังคงมีไปอีกนานเพราะว่ามันซับซ้อนที่จะชนะและเราก็สามารถทำถึงมันโดยชนะในทีมที่ยาก กับสถานการณ์อันเลวร้าย ซึ่งก็ทำให้มันยิ่งยากขึ้น ” [ 152 ] หลังจากไม่ได้ทำประตูใน 2 นัด เขายิงประตูในชัยชนะเหนือ อัตเลติกเดบิลบาโอ 2–1 [ 153 ] ในสัปดาห์ต่อมาเขายิงประตูและเป็นผู้ทำประตูสูงสุดในลีกขณะนั้นในนัดที่บุกไปชนะ มายอร์กา 3–0 [ 154 ] สร้างสถิติเทียบเท่าเรอัลโซซิเอดัด ในฤดูกาล 1979–80 ที่ชนะ 19 นัดติดต่อกันในฐานะทีมเยือน แต่สถิตินี้ก็ถูกทำลายไปในอีก 3 วันต่อมาเมื่อเมสซิยิงประตูชัยชนะการไปเยือน บาเลนเซีย [ 155 ] เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เมสซิยิง 2 ประตูในนัดเจอกับ อาร์เซนอล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่สนามกัมนอว์ โดยประตูแรกเมสซิใช้เท้ากระดกบอลข้ามศีรษะผู้รักษาประตูในระยะกระชั้น ก่อนจะตวัดบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม 2 ประตูของเมสซิช่วยให้บาร์เซโลนาชนะด้วยประตูรวม 3–1 และเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ [ 156 ] หลังจากไม่สามารถยิงประตูได้ร่วมเดือน เขายิงประตูในนัดแข่งกับอัลเมริอา ประตูที่ 2 เป็นประตูที่ 47 ในฤดูกาลนี้เทียบเท่าสถิติในฤดูกาลก่อนของเขา [ 157 ] เขาทำลายสถิติเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2011 โดยยิงประตูในชัยชนะเหนือ ชาคห์ตาร์โดเนตสค์ ในการแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาถือสถิติผู้ทำประตูสูงสุดในฤดูกาลเดียวของบาร์เซโลนา [ 158 ] เขายิงประตูที่ 8 ใน เอลกลาซิโก ซึ่งทั้งสองทีมเสมอ 1–1 ที่สนาม ซานเตียโก เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 23 เมษายน เมสซิยิงประตูที่ 50 ของฤดูกาลในนัดแข่งกับ โอซาซูนา ด้วยชัยชนะ 2–0 ในบ้าน [ 159 ] ในนัดแรกของแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ เขายิง 2 ประตูในนัดที่พบกับเรอัลมาดริดซึ่งทีมชนะ 2–0 ประตูที่ 2 เป็นการเลี้ยงลูกหลบผู้เล่นหลายคน และยังได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการแข่งขันนี้ [ 160 ] [ 161 ] ต่อมา ในการแข่งขันยูฟาแชมเปียนส์ลีกรอบชิงชนะเลิศที่ เวมบลีย์ เมสซิทำประตูตอกย้ำให้บาร์เซโลนาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้อีกครั้ง 3–1 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่สามในรอบหกปี และเป็นสมัยที่สี่ในประวัติศาสตร์สโมสร [ 162 ]

ฤดูกาล 2011–12 : ปีแห่งการทำลายสถิติ

เมสซิขณะยิงประตูในนัดชิงถ้วยฟิฟ่าคลับเวิร์ลคัพกับซานโตส 2011 ในการแข่งขัน ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา 2011 เมสซิยิงประตู 3 ประตู และช่วยจ่ายลูกยิงอีก 2 ประตู ชนะเรอัลมาดริดด้วยผลประตูรวม 5–4 [ 163 ] ในนัดถัดมาเขายิงประตูอีกครั้งหลังจากการส่งหลังผิดพลาดของ เฟรดี กัวริน และได้ช่วยส่งประตูให้ เซสก์ ฟาเบรกัส ยิงประตู ทำให้ชนะโปร์ตู 2–0 ใน ยูฟ่าซูเปอร์คัพ [ 164 ] เมื่อเริ่มฤดูกาลในลาลิกา เมสซิยิง 2 ประตูในนัดแข่งกับ บิยาร์เรอัล [ 165 ] ตามด้วยยิงแฮตทริกได้ต่อเนื่องในฐานะทีมเหย้ากับ โอซาซูนา [ 166 ] และ อัตเลติโกเดมาดริด [ 167 ] ในวันที่ 28 กันยายน เมสซิยิง 2 ประตูใน แชมเปียนส์ลีก ใน 2 นัดแรกของฤดูกาล ที่พบกับ บาเตโบรีซอฟ [ 168 ] ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลนา เทียบเท่ากับ ลัสโซล คูบาลา กับ 194 ประตู ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ [ 169 ] แต่ต่อมาเขาก็ทำลายสถิตินี้โดยยิงอีก 2 ประตูเมื่อพบกับ ราซินเดซันตันเดร์ [ 170 ] และเหลืออีกประตูเดียวก็ถึง 200 ประตู เมื่อเขายิงแฮตทริกในนัดแข่งที่บ้าน แข่งกับ มายอร์กา และยิงได้แซงหน้าคูบาลา ที่จำนวน 132 ประตู [ 171 ] เขายิงประตูที่ 200 ให้กับบาร์เซโลนาในนัดแข่งกับ วิกตอเรียเปิลเซน ในแชมเปียนส์ลีก [ 172 ] เมสซิยิงประตูแรกของเขาได้ใน ซานมาเมส ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนัดที่เสมอกับ อัตเลติกเดบิลบาโอ 2–2 [ 173 ] นัดต่อมาเขายิงประตูในนัดแข่งกับ เรอัลซาราโกซา [ 174 ] ต่อมา เขายิงจุดโทษให้ทีมบุกไปชนะเอซีมิลาน 3–2 ในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก [ 175 ] ตามด้วยการทำประตูในนัดที่ทีมเปิดบ้านชนะ ราโยบาเยกาโน 4–0 [ 176 ] และทำได้อีกหนึ่งประตูนัดที่บาร์เซโลนาเปิดบ้านชนะ เลบันเตอูเด 5–0 [ 177 ] เมสซิได้รับ รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมยุโรปของฟีฟ่า ปี 2011 โดยชนะเพื่อนร่วมทีม ชาบี และคู่แข่งตลอดกาล คริสเตียโน โรนัลโด ก่อนจะได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ 2011 อีกครั้ง โดยชนะชาบีและโรนัลโดเช่นกัน ทำให้เมสซิเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ได้รับรางวัลบาลงดอร์ 3 ครั้ง ต่อจาก โยฮัน ไกรฟฟ์, มีแชล ปลาตีนี และ มาร์โก ฟัน บัสเติน ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 เมสซิลงเล่นในลาลิกาเป็นนัดที่ 200 โดยเขายิงได้ 4 ประตู ในนัดแข่งกับบาเลนเซีย โดยผลคือทีมชนะ 5–1 [ 178 ] ในวันที่ 7 มีนาคม เมสซิเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตู 5 ประตูในนัดเดียวในแชมเปียนส์ลีกในนัดที่บาร์เซโลนาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 7–1 [ 179 ] ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม เมสซิยิงได้ 3 ประตูในนัดแข่งกับ กรานาดา ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของบาร์เซโลนา แซงหน้านักฟุตบอลตำนาน เซซาร์ โรดริเกซ อัลบาเรซ ที่เคยถือสถิติ ยิง 232 ประตู [ 180 ] ในวันที่ 2 พฤษภาคม เมสซิยิงแฮตทริกในนัดแข่งกับ มาลากา ทำให้เขาทำลายสถิติของ แกร์ท มึลเลอร์ ( ที่ยิง 67 ประตูในฤดูกาล 1972-73 ) โดยเมสซิยิงได้ 68 ประตู และเขาเป็นผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของยุโรปใน 1 ฤดูกาล [ 181 ]

ฤดูกาล 2012–13 : บัลลงดอร์สมัยที่ 4 ติดต่อกัน

วันที่ 27 ตุลาคม 2012 เมสซิทำประตูทะลุหลัก 300 ประตูในอาชีพ จากการทำ 2 ประตูในเกมลีก นัดที่บุกไปเยือนราโยบาเยกาโน จำนวนรวม 301 ประตูนี้ แบ่งเป็น 270 ประตูจากการเล่นในบาร์เซโลนา และ 31 ประตูจากการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา ทั้งหมดจากการลงเล่นรวม 419 นัดเท่านั้น [ 182 ] หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2012 เมสซิยิง 2 ประตูในการแข่งขันเกมลีกนัดเยือนกับมายอร์ก้า ทำให้เขามีสถิติยิงประตูใน 1 ปีปฏิทิน 76 ประตู แซงหน้าเปเล่ ( 75 ประตู ) ขึ้นครองสถิติ ดาวยิงประตูสูงสุดตลอดกาล ใน 1 ปีปฏิทินอันดับ 2 ตามหลัง เกิร์ด มึลเลอร์ ( 85 ประตู ) เพียง 9 ประตู [ 183 ] วันที่ 20 พฤศจิกายน 2012 เมสซิก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เทียบเท่ากับ รืด ฟัน นิสเติลโรย โดยทำเพิ่ม 2 ประตูจากการออกไปเยือน สปาร์ตัก มอสโก [ 184 ] ทำให้มีจำนวนรวมประตูในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกเพิ่มขึ้นเป็น 56 ประตู และทำให้เกิดสถิติอีก 1 อย่างคือการทำประตูได้ใน 19 เมืองแตกต่างกันในการแข่งขันเกมสโมสรยุโรป ( เทียบเท่า ราอุล กอนซาเลซ ) วันที่ 9 ธันวาคม 2012 แม้มีอาการบาดเจ็บ แต่เมสซิก็ลงเล่นในเกมลีกนัดเยือนกับเรอัลเบติส และทำได้ 2 ประตู ทำให้เขาก้าวขึ้นไปถือครองสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลใน 1 ปีปฏิทิน ที่ 86 ประตู แทนที่ เกิร์ด มึลเลอร์ ( 85 ประตู ) โดย 86 ประตู แบ่งเป็นประตูที่ยิงให้บาร์เซโลนา 74 ประตู และ 12 ประตูที่ยิงให้ทีมชาติอาร์เจนตินา ขณะนั้นบาร์เซโลนายังเหลือการแข่งขันให้เล่นในปี 2012 อีก 3 นัด [ 185 ] และเมสซิ ก็จบปี 2012 ด้วยการทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดใน 1 ปีปฏิทิน ขึ้นใหม่ที่ 91 ประตู วันที่ 7 มกราคม 2013 เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับเสียงโหวตสูงถึง 41.6 เปอร์เซ็น เมื่อนับรวมกับรางวัล บัลลงดอร์ ที่เมสซิได้รับก่อนที่ฟีฟ่าจะควบรวมรางวัลแล้ว เขาได้รับรางวัลถึง 4 ครั้ง และเป็น 4 ปีติดต่อกันด้วย และยังได้รับเลือกเป็น 1 ใน FIFA FIFPro World XI คือ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน วันที่ 27 มกราคม 2013 เมสซิทำโปกเกอร์ คือยิง 4 ประตูในนัดเดียว ในเกมลีกพบกับโอซาซูนา และนั่นทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำ 200 ประตูใน ลาลิกา วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2013 เมสซิตกลงทำสัญญาใหม่กับบาร์เซโลนา นั่นทำให้สัญญาของเขามีอายุยืดออกไปถึง 30 มิถุนายน ปี 2018 และสัญญาฉบับนี้ยังระบุค่าฉีกสัญญาของเมสซิสูงถึง 250 ล้านยูโร เลยทีเดียว วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2013 เมสซิยิง 2 ประตูได้ในนัดพบกับกรานาดาในเกมลีก ถือเป็นประตูที่ 301 จาก 365 เกมอย่างเป็นทางการที่เมสซิยิงให้บาร์เซโลนา นอกจากนั้นยังเป็นเกมส์ที่ 14 ที่เมสซิทำประตูได้ทุกเกมส์ต่อเนื่องกัน หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 9 มีนาคม 2013 เกมลีกที่บาร์เซโลนา เปิดบ้านรับ เดปอร์ติโบลาโกรุญญา ที่เมสซิยิง 1 ประตูย้ำชัยให้บาร์เซโลนา เมสซิก็เป็นเจ้าของสถิติใหม่ เป็นผู้ทำประตูทุกนัดต่อเนื่องยาวนานที่สุดในลีกสูงสุดของยุโรป 17 นัดติดต่อกัน ทำลายสถิติเดิมของ ทีโอดอร์ เปเตเร็ค ที่ทำไว้ 16 นัดติดต่อกันในลีกสูงสุดของโปแลนด์ ฤดูกาล 1937-38 [ 186 ] ในวันที่ 30 มีนาคม 2013 เกมลีกนัดไปเยือนเซลตาบิโก ซึ่งเมสซิทำได้ 1 ประตู นับเป็นนัดที่ 19 ติดต่อกัน แต่นั่นทำให้เกิดสถิติใหม่สำหรับตัวเขาอีกเช่นกัน คือ เขายิงประตูทีมในลีกได้ครบทุกทีม เพราะ ลาลิกามี 20 ทีม เมื่อยิงประตูได้ 19 นัดติดต่อกัน นั่นหมายถึงการยิงประตูคู่ต่อสู้ทุกทีมในลีกได้ [ 187 ] โดยในเกมนี้ เมสซิ สวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีมบาร์เซโลนาครั้งแรก ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการอีกด้วย ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2013 บาร์เซโลนาได้แชมป์ลาลิกาโดยปริยาย จากการเสมอของเรอัลมาดริดกับอัสปัญญ็อล ทั้งที่ยังเหลือเกมให้เล่นอีกถึง 4 เกม ในวันต่อมา เมสซิลงเล่นเกมเยือนกับอัตเลติโกเดมาดริดแต่ต้องออกจากสนามไปในครึ่งหลังจากอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อขาขวาและจะไม่ลงเล่นเกมที่ยังเหลืออยู่อีก ทำให้เมสซิต้องหยุดสถิติยิงติดต่อกันมากที่สุดในลีกไว้ที่ 21 นัด แต่อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้เล่นเกมส์ที่เหลือ แต่เมสซิก็ยังคงเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้ที่ 46 ประตู ได้รับรางวัลปิชิชิ และรองเท้าทองคำเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน
เมสซิ 2014

ฤดูกาล 2013-14 : Messidependencia

วันที่ 18 สิงหาคม 2013 เมสซิเริ่มต้นการแข่งขันเกมลีกด้วย 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ในเกมที่พบกับเลบันเต และทีมของเขาถล่มไปถึง 7–0 วันที่ 28 สิงหาคม 2013 บาร์เซโลนาได้แชมป์ ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ทำให้เมสซิเป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาที่ได้ถ้วยแชมป์มากที่สุด ร่วมกับ เอสเตบัน กัมเบียสโซ วันที่ 1 กันยายน 2013 เมสซิทำแฮตทริกแรกของฤดูกาลได้ จากการไปเยือนสนามเม็สตัลยา ของบาเลนเซีย ทำให้เมสซิเป็นนักเตะที่มีสถิติยิงประตูนอกบ้านมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลิกา 100 ประตู โดยเจ้าของสถิติเดิมคือ อูโก ซันเชซ ( 99 ประตู ) วันที่ 18 กันยายน 2013 ในยูฟ่า แชมเปี้นส์ลีก บาร์เซโลนาเปิดบ้านพบกับ อาเอฟเซ อายักซ์ เมสซิทำแฮตทริกอีกครั้ง นั่นทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ถึง 4 ครั้งในประวัติศาสตร์แชมเปียนส์ลีก ตั้งแต่ต้นฤดูกาลมา เมสซิมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริงรบกวนมาโดยตลอด ร่วมกับอาการป่วยอาเจียนในสนาม แต่สามารถประคองตัวเล่นไว้ได้ แต่ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2013 นัดที่เจอกับเรอัลเบติส เขาได้รับบาดเจ็บเพิ่มที่บริเวณกล้ามเนื้อขาซ้าย ต้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาทีที่ 20 และต้องหยุดพักยาวถึง 8 สัปดาห์ วันที่ 8 มกราคม 2014 เมสซิกลับมาลงสนามในนัดที่พบกับ เฆตาเฟ รอบ 16 ทีมสุดท้าย โกปาเดลเรย์ โดยเมสซิเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 63 ท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับกึกก้องจากแฟนบอลทั้งสนามกัมนอว์ และในนาทีที่ 89 เขาก็ทำประตูแรกได้ ตามด้วยการทำประตูที่สองในอีกไม่ถึงสองนาทีถัดมา วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2014 เกมลีกนัดเปิดบ้านรับ ราโยบาเยกาโน เมสซิยิง 2 ประตู และทำให้เขาทุบสถิติยิงประตูสูงสุดให้สโมสรเดียวในลาลิกาของ เตลโม ซาร์รา นักเตะตำนานทีม อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ทำไว้ที่ 335 ประตู โดยเมสซิสร้างสถิติใหม่ที่ 337 ประตูให้แก่บาร์เซโลนาในนัดนั้น และ 2 ประตูนี้ยังทำให้เขา ก้าวข้าม อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ( 227 ประตู ) ซึ่งอยู่อันดับ 4 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของลาลิกา ขึ้นไปเทียบเคียง ราอุล กอนซาเลซ อันดับ 3 ที่ 228 ประตู อีกด้วย [ 188 ] วันที่ 12 มีนาคม 2014 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เปิดบ้านรับ แมนเชสเตอร์ซิตี รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลกแรก เมสซิยิง 1 ประตู ทำให้เขาเป็นผู้ยิงประตูในการแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มากที่สุดกับทีมเดียว คือ 67 ประตู ทุบสถิติเดิมของ ราอุล กอนซาเลซ ที่ทำให้เรอัลมาดริด 66 ประตูลงได้ [ 189 ] วันที่ 16 มีนาคม 2014 เมสซิทำแฮตทริกอีกครั้ง ในเกมลีกนัดเหย้า พบกับ โอซาซูนา และกลายเป็นนักเตะดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรบาร์เซโลนา ในการแข่งขันเป็นทางการและกระชับมิตร ด้วยจำนวนรวม 371 ลูก เป็นที่เรียบร้อย โดยสถิตินี้เดิมเป็นของ เปาลินโญ่ อัลคันทารา ดาวยิงลูกครึ่งฟิลิปปินส์ทำเอาไว้ที่ 369 ประตูจากการลงเล่นทั้งหมด 357 นัด ในช่วงปี 1912-1927 [ 190 ] อาทิตย์ถัดมา ในวันที่ 23 มีนาคม 2014 ในศึก เอลกลาซิโก เกมลีก นัดเยือนกับ เรอัลมาดริด เมสซิทำแฮตทริกได้อีกครั้ง ทำให้เขาซึ่งครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดในเกม เอลกลาซิโก ร่วมกับ อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ของเรอัลมาดริด ที่ 18 ประตูอยู่ก่อนหน้า ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดในเกม เอลกลาซิโก เดี่ยว ๆ ด้วยจำนวนประตู 21 ประตู ในฤดูกาลนี้แม้จะเป็นฤดูกาลที่ไม่ดีนักสำหรับเมสซิ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนถึง 4 หนใน 8 เดือน [ 191 ] ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลาถึง 8 สัปดาห์ ร่วมกับมีอาการอาเจียนในสนามบ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังสามารถทำประตูให้สโมสรในทุกการแข่งขันได้ถึง 41 ประตู และ 28 ประตูในลีก ก็เพียงพอให้เขาอยู่อันดับ 2 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาในฤดูกาลนี้ ทำลายสถิติต่าง ๆ ได้มากมาย และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้เข้าชิงรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ และ 1 ใน FIFA FIFPro World XI of the year

ฤดูกาล 2014-15 : ทริปเปิลแชมป์ครั้งที่ 2

เมสซิเริ่มต้นเกมลีกฤดูกาลนี้ด้วย การยิง 2 ประตู ในการเปิดบ้านรับ เอลเช เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นคนยิงเปิดประตูแรกของฤดูกาลให้บาร์เซโลนา ในนัดถัดมา เกมลีก นัดเหย้ากับ บิยาร์เรอัล เมสซิทำแอสซิสต์ให้ ซานโดร รามิเรส ดาวรุ่งที่เพิ่งขึ้นจากทีมสำรอง แม้ว่าจะมีอาการกล้ามเนื้อตึงบริเวณสะโพกด้านขวาแต่ก็เล่นจนจบเกม ในวันที่ 12 กันยายน 2014 เมสซิทำแอสซิสต์ 2 แอสซิสต์อย่างสวยงามให้ เนย์มาร์ ยิงประตูในเกมลีกนัดเหย้ากับ อัตเลติกเดบิลบาโอ หลังเกม หลุยส์ เอ็นริเก ผู้ฝึกคนใหม่ของบาร์เซโลนา ได้พูดชมเมสซิว่า “ เมสซิเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ไม่ใช่เพียงเพราะเขาทำประตูได้มากมายแต่ยังเป็นเพราะแอสซิสต์ของเขาด้วย เขาทำบางอย่างในการฝึกซ้อมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยเห็นแม้แต่กับกัปตันซึบาสะหรือในเพลย์สเตชัน ” วันที่ 27 กันยายน 2014 เมสซิทำ 2 ประตูได้ในเกมลีก นัดเปิดบ้านรับ กรานาดา ทำให้เขาทำประตูในระดับอาชีพทะลุ 400 ประตู ด้วยวัยเพียง 27 ปี โดย 401 ประตูนี้ มาจากการลงสนาม 524 นัด แบ่งเป็นยิงให้ บาร์เซโลนา 359 ประตู และทีมชาติอาร์เจนตินา 42 ประตู ในเกมนี้เมสซิทำแอสซิสต์เพิ่มได้อีก 2 แอสซิสต์ ทำให้จำนวนแอสซิสต์ในระดับอาชีพของเขาอยู่ที่จำนวน 201 แอสซิสต์ วันที่ 18 ตุลาคม 2014 เมสซิทำประตูที่ 250 ในลาลิกาของตัวเองได้สำเร็จ ในนัดพบกับ เอเซเด เอย์บาร์ เป็นการฉลองครบ 10 ปี ในการลงเล่นนัดแรกให้กับบาร์เซโลนาชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2004 โดยเป็นเกมดาร์บีที่แข่งขันกับอัสปัญญ็อล และเมสซิได้ลงข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กของเขาว่า ” ผมอยากจะขอกล่าวคำขอบคุณไปยังครอบครัว เพื่อน ๆ เพื่อนร่วมทีม ทีมงานของสโมสรบาร์เซโลนาสำหรับการสนับสนุนอันน่าเหลือเชื่อตลอดช่วงเวลา 10 ปี ผมมีความสุขทุก ๆ เวลาที่ได้ก้าวลงเล่นในสนาม สวมเสื้อสีนี้ ได้ใช้เวลาในช่วงเวลาอันน่าทึ่ง และผมก็จะพยายามพัฒนาฝีเท้า และคว้าแชมป์รางวัลให้กับทีมเพิ่มมากขึ้นอีก ขอกอดทุก ๆ คน เลโอ ” วันที่ 5 พฤศจิกายน 2014 เมสซิยิง 2 ประตูในนัดออกไปเยือน อาเอฟเซ อายักซ์ เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาทาบสถิติ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกของ ราอุล กอนซาเลซ เป็นดาวซัลโวร่วมที่ 71 ประตู ทั้งที่ลงเล่นในจำนวนนัดน้อยกว่าโดยเมสซิลงเล่นเพียง 91 นัดในการคว้าสถิตินี้ ขณะที่ ราอุล กอนซาเลซ ลงเล่นถึง 142 นัดในการสร้างสถิติดาวซัลโวสูงสุดนี้ เมสซิ ก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลิกาด้วยจำนวนประตู 253 ประตู ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2014 ในเกมเหย้าพบกับ เซบิยา เมสซิทำแฮตทริกได้ในนัดนี้ เป็นการทำลายสถิติของ เตลโม ซาร์รา นักเตะตำนานทีม อัตเลติกเดบิลบาโอ ที่ทำไว้ 251 ประตูตั้งแต่ปี 1955 และ 3 วันหลังจากนั้น เมสซิก็ทำแฮตทริกอีกครั้ง ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเหย้า พบกับ อาโปเอล ทำให้เขาขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในการแข่งขันที่ 74 ประตู เมสซิสร้างสถิติกลายเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปนที่ทำประตูให้กับสโมสรเดียวได้ 400 ลูกขึ้นไป หลังทำแฮตทริกได้ในเกมลีก นัดดาร์บีแห่งแคว้นกาตาลุญญา ในวันที่ 7 ธันวาคม 2014 ทำให้ยอดรวมประตูของเขาอยู่ที่ 402 ประตู และเขายังทำลายสถิติของ เซซาร์ โรดริเกซ ( 11 ประตู ) ขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมดาร์บีของแคว้นกาตาลุญญา ด้วยประตูรวม 12 ประตู ในนัดนี้อีกด้วย หลังจากพ่ายแพ้ เกมลีกนัดเยือนกับ เรอัลโซซิเอดัด ในวันที่ 4 มกราคม 2015 ที่อาโนเอต้า ทำให้บาร์เซโลนาพลาดโอกาสขึ้นเป็นจ่าฝูงลาลิกา โดย ลุยส์ เอนรีเก ผู้ฝึกของบาร์เซโลนาตัดสินใจไม่ส่งผู้เล่นตัวจริงหลายคนลงเล่นในเกมสำคัญนี้ เช่น เมสซิ เนย์มาร์ ปิเก ทำให้มีข่าวลือเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของนักเตะตัวหลักของทีมหลายคน แต่ในระหว่างมรสุมข่าวลือเหล่านั้น ในวันที่ 11 มกราคม 2015 เกมลีก นัดเปิดบ้านรับ อัตเลติโกเดมาดริด เมสซิก็ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเมสซิ ช่วยบาร์เซโลนาเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริดไปอย่างสวยงาม กลับมาลุ้นแชมป์เต็มตัว โดยกองหน้าของทีมทั้ง 3 คน เมสซิ เนย์มาร์ และ หลุยซ์ ซัวเรซ ทำประตูได้ทั้ง 3 คน โดยเมสซิเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของนัดนี้ โดยก่อนเริ่มเกมนี้มีการมอบรางวัลดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลิกาให้แก่เมสซิด้วย หลังจากนั้นเมสซิออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งแรกเกี่ยวกับข่าวลือที่ออกมา โดยเขาปฏิเสธความคิดเรื่องจะย้ายทีม และปฏิเสธเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของนักเตะและผู้ฝึก ต่อมา วันที่ 12 มกราคม 2015 เมสซิได้เสียงโหวตเป็นที่ 2 ในการประกาศรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ 2014 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2015 เมสซิลงเล่นเกมลีก นัดเยือน อัตเลติกเดบิลบาโอ ทำ 1 ประตู และ 2 แอสซิสต์ นั่นทำให้เมสซิขึ้นแท่นครองสถิติทำแอสซิสต์สูงสุดในลาลิกา เท่ากับ ลูอิช ฟีกู คือ 107 ครั้ง เกมลีกนัดที่ 300 ของเมสซิ เป็นเกมเหย้ากับ เลบันเต ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2015 เมสซิทำแฮตทริกฉลองนัดที่ 300 และยังสามารถทำเพิ่มอีก 1 แอสซิสต์ ทำสถิติแอสซิสต์สูงสุดในลาลิกาใหม่ที่ 108 ครั้ง [ 192 ] วันที่ 8 มีนาคม 2015 นัดเหย้ากับ ราโยบาเยกาโน เมสซิทำแฮตทริกได้ภายในเวลา 12 นาที เร็วที่สุดในการค้าแข้งอาชีพของเขา และจากแฮททริกนี้ทำให้เมสซิขึ้นไปนำเดี่ยว ในสถิติการทำแฮตทริกสูงสุดตลอดกาลให้กับทีมในสเปนจากการลงเล่นในทุกรายการ 32 ครั้ง และทำสถิติใหม่ทำประตูในระดับสโมสร 6 ซีซั่นติดต่อกัน ได้รวมแล้วสูงที่สุดตลอดกาล ด้วยจำนวน 315 ลูก ทำลายสถิติเดิมของ เปเล่ ( 313 ประตู ) วันที่ 18 เมษายน 2015 เมสซิทำเพิ่ม 1 ประตูจากเกมลีก นัดเหย้าพบกับ บาเลนเซีย เป็นประตูที่ 400 ที่เขาทำให้บาร์เซโลนาจาก 471 นัด
วันที่ 6 พฤษภาคม 2015 เมสซิโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 4 ทีมสุดท้าย เลกแรก ที่คัมป๋นูว์ กับ บาเยิร์นมิวนิก โดนเมสซิยิงคนเดียว 2 ประตู และทำแอสซิสต์ในเนย์มาร์อีก 1 ประตู โดยประตูที่ 2 ที่เขายิงนั้นได้รับคำเลือกให้เป็น Goal of the season ของยูฟ่าอีกด้วย 2 ประตูนี้ทำให้เมสซิแซงหน้า คริสเตียโน โรนัลโด กลับขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล และในฤดูกาลนี้ของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกด้วย วันที่ 17 พฤษภาคม 2015 เมสซิยิงประตูชัย ให้บาร์เซโลนาเอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด ทำให้บาร์เซโลนาเป็นแชมป์ลาลิกาในฤดูกาลนี้ทันที โดยไม่ต้องรอลุ้นนัดสุดท้ายกับ เดปอร์ติโบลาโกรุญญา วันที่ 30 พฤษภาคม 2015 เมสซิทำ 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลติกเดบิลบาโอ ในนัดชิงชนะเลิศ เป็นแชมป์ โกปาเดลเรย์ ในฤดูกาลนี้ โดยประตูแรกของเขานั้น เป็นประตูสุดสวยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โกปาเดลเรย์ ทั้งยังได้เข้าชิง เป็น 3 ประตูสุดท้าย รางวัลปุชกาช อีกด้วย วันที่ 6 มิถุนายน 2015 เมสซิลงเล่นเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศกับ ยูเวนตุส ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และมีส่วนสำคัญในการทำประตูทุกประตูของบาร์เซโลนาในเกมนั้น ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะไป 3–1 คว้าแชมป์สมัยที่ห้า ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ยอดเยียมของเมสซิ พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยทำได้ในปี 2009 มีคะแนนความสามารถเฉลี่ยทั้งฤดูกาลสูงที่สุดในยุโรป เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในการแข่งขันลาลิกาถึง 25 จาก 37 เกมที่ลงเล่น และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถึง 9 จาก 13 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ลงเล่น [ 193 ] และนั่นทำให้เขาเป็นตัวเต็งของทุกงานประกาศรางวัลของนักฟุตบอล และได้รับรางวัลเป็นเกียรติยศส่วนตัวมากมาย

ฤดูกาล 2015-16 : เพลย์เมกเกอร์, บัลลงดอร์สมัยที่ 5

เมสซิ ในการแข่งขันยูฟ่าซุปเปอร์คัพ 2015 เมสซิ เริ่มต้นฤดูกาลด้วยประตูฟรีคิก 2 ประตูในการแข่งขันชิงถ้วย ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่บาร์เซโลนาเอาชนะเซบิยาไป 5–4 วันที่ 11 สิงหาคม 2015 เป็นครั้งแรกที่เขาทำประตูได้จากการเตะลูกฟรีคิก 2 ประตูในเกมเดียว และจาก 2 ประตูนี้ ทำให้เมสซิทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดการในการแข่งขันทุกรายการของยูฟ่า เท่ากับคริสเตียโน โรนัลโด ที่ 80 ประตู วันที่ 27 สิงหาคม 2015 เมสซิได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งทวีปยุโรป ปี 2015 ( Uefa Best Player 2015 ) โดยเมสซิเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง โดยได้รับคะแนนโหวตไปถึง 90.74 % คือ 49 คะแนนจาก 54 คะแนน เป็นสถิติตะแนนสูงที่สุดเท่าที่เคยมีรางวัลนี้มา โดยมี ลุยส์ ซัวเรซ ( 3 คะแนน ) และคริสเตียโน โรนัลโด ( 2 คะแนน ) ตามมาเป็นอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ และประตูที่ 2 ที่เมสซิยิงบาเยิร์นมิวนิก ในนัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านรับบาเยิร์นมิวนิก ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้รับรางวัล ประตูยอดเยี่ยมของฤดูกาล 2015 ( Uefa Goal of the temper 2015 ) อีกด้วย [ 194 ] วันที่ 16 กันยายน 2015 เมสซิทำสถิติเป็นนักฟุตบอลที่ลงเล่นเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครบ 100 นัด ในขณะที่อายุน้อยที่สุด ในนัดเกมเยือนกับโรมา รอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก วันที่ 20 กันยายน 2015 เมสซิทำหน้าที่กัปตันทีมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสนามกัมนอว์ วันที่ 26 กันยายน 2015 เมสซิได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าซ้ายฉีก ในเกมลี นัดเหย้ากับลัสปัลมัส ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวนานถึง 8 สัปดาห์ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2015 เมสซิกลับมาลงสนามซ้อมได้ 5 วันก่อนการแข่งขัน เอลกลาซิโก วันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 และเมสซิกลับมาลงสนามได้ โดยเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 59 และมีส่วนช่วยให้เกิดประตูสุดท้าย ส่งบอลให้ ฆอร์ดี้ อัลบา แตะส่งให้หลุยซ์ ซัวเรซทำประตูที่ 4 ของการแข่งขันที่บาร์เซโลนาเอาชนะ เรอัลมาดริด 4–0 วันที่ 8 มกราคม 2016 เมสซิได้รับเลือกให้อยู่ในทีมแห่งปี 2015 ของยูฟ่า โดยได้รับเสียงโหวตมากที่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด คือ 70 % ( 448,445 คะแนนโหวต ) วันที่ 11 มกราคม 2016 เมสซิได้รับรางวัล ฟีฟ่าบาลงดอร์ เป็นรางวัล บัลลงดอร์ สมัยที่ 5 ของเขา ด้วยเสียงโหวต 41.33 % โดยมีคริสเตียโน โรนัลโด ( 27.76 % ) และ เนย์มาร์ ( 7.86 % ) ตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ และเขายังได้รับเลือกให้เป็น 1 ในทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า FIFA FIFPro World XI 2015 อีกด้วย ในงานรับรางวัล เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ เขารู้สึกดีมากกับทุกอย่างที่เขาทำมากับทีมบาร์เซโลนา มันยากเสมอที่จะกลับมาชนะทุกอย่าง นี่เป็นครั้งที่ 9 แล้วที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ มันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ เขาดีใจมาก ” และเมื่อนักข่าวถามเขาว่า เขายินดีจะแลกรางวัล บัลลงดอร์ 5 ครั้งนี้ กับถ้วยฟุตบอลโลกไหม เขาตอบในทันทีว่า แน่นอน ถ้วยแชมป์ของทีมมันยิ่งใหญ่กว่ารางวัลส่วนตัวเสมอ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เกมลีกนัดเหย้ากับ เซลต้า บีโก้ บาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 6–1 โดยเมสซิยิงประตูแรกของเกมจากลูกฟรีคิก แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาในเกมนี้ คือ ลูกจุดโทษ โดยเมสซิเรียกจุดโทษให้ทีมได้ในนาทีที่ 81 จากการลากหลบกองหลังไปจนสุดเส้นหลัง แต่ยังแตะอ้อมกองหลังแล้ววิ่งไปเอาบอลได้จนกองหลังต้องทำฟาวล์ เมสซิรับหน้าที่ยิงสังหาร ซึ่งหากยิงเข้า จะเป็นประตูที่ 300 ในลาลิกาของเขา แต่เมสซิกลับหลอกแตะบอลออกด้านขวาของตัวเองเบา ๆ ให้ลุยส์ ซัวเรซวิ่งจากนอกกรอบเข้ามาแปเข้าไป โดยจุดโทษลูกนี้เป็นที่ฮือฮาอย่างมาก มีเสียงชื่นชมและวิจารณ์มากมาย แต่ตามกติกาแล้ว การยิงจุดโทษแบบนี้ ( Indirect Penalty ) สามารถทำได้ โดยไม่ผิดกฎแต่อย่างใด ซึ่งหลังเกมเนย์มาร์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ แล้วเป็นเมสซิกับตัวเขาซ้อมกันไว้ก่อน เมสซิตั้งใจส่งให้เขา แต่ซัวเรสวิ่งไปถึงบอลเร็วกว่าจึงยิงเข้าไป วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2016 ในเกมลีก นัดเยือนกับ เอสปอร์ตินเดฆิฆอน เมสซิก็ทำประตูที่ 300 ในลาลิกาของเขาได้สำเร็จ โดยยิงประตูสุดสวยทะลุแผงกองหลังเข้าไปจากนอกกรอบ เป็นประตูแรกของเกม ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะ 3–1 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2016 เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดเยือนกับทีม อาร์เซนอล เมสซิสามารถทำประตูผ่านนายทวารมือเก๋า ปีเตอร์ เช็ก ได้เป็นครั้งแรก หลังจากเคยพบกันมา 6 ครั้งก่อนหน้านี้ โดยนัดนี้เมสซิเหมายิงคนเดียว 2 ประตู เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของเกมนี้ วันที่ 13 มีนาคม 2016 เมสซิทำสถิติทาบ ฆวน โรมัน ริกวัลเม ในสถิติทำแอสซิสต์สูงสุด 247 แอสซิสต์ ( รวมสโมสรและทีมชาติ ) ในเกมเจอกับเฆตาเฟ ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 6–0 โดยเมสซิทำแอสซิสต์ 3 ครั้ง เป็นแฮตทริกแอสซิสต์ในเกมนี้ วันที่ 17 เมษายน 2016 เมสซิทำประตูที่ 500 ในการแข่งขันเป็นทางการได้ นับรวมทั้งสโมสรและทีมชาติ ในเกมลีก นัดเปิดบ้านรับบาเลนเซีย ฤดูกาลนี้ เมสซิเริ่มเปลี่ยนสไตล์การเล่นชัดเจนมากขึ้น เน้นทำเกม ส่งให้เพื่อนยิง ไม่วิ่งขึ้นไปยิงเองแบบฤดูกาลก่อน ๆ สื่อยกให้เขาเป็นนักกลยุทธ์คนใหม่ของกัมนอว์ เขาตัดสินใจได้ดีว่าเวลาไหนควรยิง และเวลาไหนควรจ่าย และเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของลาลิกา [ 195 ] และมีคะแนนความสามารถเฉลี่ยทั้งฤดูกาลสูงที่สุด [ 196 ] เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในเกมลีกถึง 13 ใน 31 เกมที่ลงเล่น [ 197 ]
เมสซิ กับเจ้าหนูถุงพลาสติก 2016

ฤดูกาล 2016-17 : รองเท้าทองคำสมัยที่ 4

เมสซิเริ่มต้นฤดูกาลด้วยการเปลี่ยนลุคครั้งใหญ่ เซอร์ไพรส์แฟนบอลทุกคน คือการเปลี่ยนสีผมเป็นสีแพลทตินั่มบลอนด์ และเริ่มไว้หนวดเครา โดยให้เหตุผลในการเปลี่ยนลุคครั้งนี้ว่า ต้องการรู้สึกถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ วันที่ 17 สิงหาคม 2016 เมสซิพาบาร์เซโลนา คว้าแชมป์แรกของฤดูกาล คือ ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา โดยเอาชนะเซบิยาไปได้ทั้ง 2 เลกเหย้าเยือน ซึ่งรวม 2 เลก เมสซิทำได้ 1 ประตู 2 แอสซิสต์ เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดของทั้ง 2 นัด แชมป์นี้เป็นแชมป์ที่ 29 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา แต่เป็นแชมป์ถ้วยแรกที่เมสซิได้รับในฐานะกัปตันทีมของบาร์เซโลนา เนื่องจากอันเดรส อินิเอสตา กัปตันทีมที่ 1 นั้นไม่ได้ลงเล่นในนัดนี้ วันที่ 20 สิงหาคม 2016 เมสซิทำได้ 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ ในเกมลีค นัดเปิดฤดูกาล โดยบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ เรอัล เบติส ไป 6–2 โดยเมสซิได้คะแนนความสามารถเต็ม 10 และเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนี้ วันที่ 13 กันยายน 2016 เมสซิทำแฮตทริกที่ 40 ในชีวิตการค้าแข้งได้ โดยเมสซิทำแฮตทริก และ 1 แอสซิสต์ ในเกมบาร์เซโลนา เปิดบ้านรับกลาสโกว์เซลติก ศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดแรก รอบแบ่งกลุ่ม แฮตทริกครั้งนี้ถือเป็นแฮตทริกที่ 6 ของเมสซิในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก วันที่ 17 กันยายน 2016 เมสซิเป็นนักฟุตบอลคนแรกของลาลิกา สเปน ที่สามารถทำประตูได้ใน 34 สนามแตกต่างกัน จากการเบิ้ลทำ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ ในเกมลีก ที่บาร์เซโลนาออกไปเยือนสนามเทศบาลบูตาร์เกของเลกาเนส ทำลายสถิติเดิมของ ราอุล กอนซาเลซ ที่เคยทำไว้ 33 สนาม [ 198 ] วันที่ 21 กันยายน 2016 ในเกมลีก นัดบาร์เซโลนา เปิดบ้านรับ อัตเลติโกเดมาดริด เมสซิได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อโคนขาหนีบด้านขวา จากจังหวะปะทะกับ ดิเอโก โกดิน จนเล่นต่อไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออก ซึ่งหลังจากเมสซิถูกเปลี่ยนตัวออก บาร์เซโลนาก็ถูกตีเสมอ จบเกมที่ผล 1–1 โดยผลการตรวจออกมาว่าเมสซิต้องพักรักษาตัว 3 สัปดาห์ วันที่ 15 ตุลาคม 2016 เมสซิกลับมาลงสนามได้ในเกมลีก นัดเหย้า ระหว่างบาร์เซโลนากับเดปอร์ติโบลาโกรุญญา โดยเป็นตัวสำรองถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 54 และแผลงฤทธิ์ทันที โดยสัมผัสแรกของเขา ในนาทีที่ 57 คือการยิงประตูที่ 4 ให้บาร์เซโลนาเอาชนะคู่แข่งไปได้อย่างสวยงาม วันที่ 19 ตุลาคม 2016 เกมแชมเปียนส์ลีก นัดเปิดบ้านรับ แมนเชสเตอร์ซิตี เมสซิทำแฮตทริกที่ 2 ของฤดูกาลได้สำเร็จ และในวันที่ 22 ตุลาคม 2016 เมสซิยิง 2 ประตูในเกมลีก ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะบาเลนเซีย 3–2 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2016 เมสซิทำประตูที่ 500 ในสีเสื้อของบาร์เซโลนาได้สำเร็จ ( 469 ประตู จากการแข่งขันอย่างเป็นทางการ และ 31 ประตูจากเกมกระชับมิตร ) จากการยิงประตูตีเสมอ เซบิยา ได้ก่อนหมดเวลาครึ่งแรก ก่อนจะแอสซิสต์ให้ ลุยส์ ซัวเรซ ยิงประตูชัยในครึ่งหลัง วันที่ 23 พฤศจิกายน 2016 ในเกมแชมเปียนส์ลีก บาร์เซโลนาออกไปเยือน เซลติก เมสซิทำคนเดียว 2 ประตูทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ทำประตูให้สโมสรในการแข่งขันระดับนานาชาติได้ถึง 100 ประตู ( ยูฟ่า แชมเปี้นส์ลีก 92 ประตู, ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 3 ประตู และ ฟีฟ่าคลับ เวิลด์คัพ 5 ประตู ) วันที่ 27 พฤศจิกายน 2016 ในเกมลีกนัดเยือน เรอัลโซซิเอดัด เมสซิยิงได้ 1 ประตู ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกในลาลิกาที่ทำประตูได้ครบ 200 นัดในลีก วันที่ 6 ธันวาคม 2016 เมสซิลงแข่งขันเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค ซึ่งเป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดที่ 549 ของเขาในสีเสื้ออาซุลกรานา ทำให้เขาขึ้นมาครองอันดับ 4 นักเตะที่ลงสนามในเกมเป็นทางการให้บาร์เซโลนามากที่สุด ร่วมกับ มิเกลลี โดยใน 10 อันดับแรก มีเพียงเขา และ อันเดรส อินิเอสตา ( 603 นัด อยู่ในอันดับ 2 ) เท่านั้น ที่ยังคงค้าแข้งให้บาร์เซโลนาอยู่ [ 199 ] วันที่ 13 ธันวาคม 2016 ทีมบาร์เซโลนาเดินทางไปเตะฟุตบอลกระชับมิตรที่ประเทศกาตาร์ โดยพบกับแชมป์ลีกของประเทศซาอุดีอาระเบีย อัล อาห์ลี โดยบาร์เซโลนาสามารถเอาชนะไปได้ 3-5 แต่สิ่งที่เรียกความสนใจได้มากกว่าคือ เมสซิได้มีโอกาสพบกับเจ้าหนูมูร์ตาซา อาห์มาดี ( Murtaza Ahmadi ) เด็กน้อยชาวอัฟกานิสถานที่นำถุงพลาสติกลายทางสีฟ้า-ขาวมาเขียนชื่อเมสซิและหมายเลข 10 และสวมเป็นเสื้อฟุตบอล ซึ่งภาพถ่ายของหนูน้อยนี้ได้ถูกส่งต่อเป็นไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ เจ้าหนูเกาะติดไอดอลอย่างเมสซิตลอดเวลา แม้ถึงเวลาเริ่มแข่ง ก็ยังอยากอยู่กับเมสซิ ไม่ยอมออกจากสนาม สร้างความเอ็นดูให้แก่ทุกคนเป็นอย่างมาก [ 200 ] วันที่ 18 ธันวาคม 2016 เมสซิยิง 1 จ่าย 1 ในเกมลีก แดร์บีกาตาลา โดยเกมนี้ถือเป็นนัดที่ 600 รวมนัดเป็นทางการและกระชับมิตร ที่เมสซิลงแข่งให้ทีมใหญ่ของบาร์เซโลนา [ 201 ] วันที่ 29 ธันวาคม 2016 เมสซิได้รับเลือกให้เป็นเพลย์เมกเกอร์ยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จาก IFFHS [ 202 ] และจบปี 2016 ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดด้วยจำนวนประตู 59 ประตู และยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาด้วย 12 ประตูในลีก และดาวซัลโวยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ 10 ประตู เมสซิ เริ่มต้นปี 2017 ด้วยประตูฟรีคิก ในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย โกปาเดลเรย์ เลกแรก ช่วยให้ทีมยังมีความหวังในการผ่านเข้ารอบ แม้จะพ่ายแพ้ต่อ อัตเลติกเดบิลบาโอ ไป 2-1 ที่สนามซานมาเมส วันที่ 8 มกราคม 2017 เมสซิช่วยทีมอีกครั้งด้วยการยิงประตูฟรีคิกให้ทีมตีเสมอ บิยาร์เรอัล ไปได้ในเกมลีก และนั่นทำให้เขามีสถิติใหม่ เป็นดาวซัลโวประตูจากฟรีคิกให้บาร์เซโลนา ร่วมกับ โรนัลด์ กุมัน ที่ 26 ประตู [ 203 ] วันที่ 11 มกราคม 2017 ในการแข่งขัน โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เลก 2 เมสซิ ยิงประตูจากฟรีคิกอีก ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบไปได้อย่างฉิวเฉียด แม้จะแพ้มาในเลกแรก และทำให้เขาก้าวข้าม โรนัลด์ กุมัน ขึ้นไปนำดาวซัลโวจากฟรีคิกสูงสุดของบาร์เซโลนาที่ 27 ประตูทันที [ 204 ] หลังจากนั้น 3 วัน ในวันที่ 14 มกราคม 2017 เมสซิก็สร้างสถิติใหม่อีก โดยยิงประตูที่ 2 ในเกมลีก เปิดบ้านรับ ลาส พัลมาส ทำให้เขาทำสถิติเทียบเท่า ราอุล กอนซาเลซ ในการยิงประตูคู่แข่งได้ถึง 35 ทีมในลีกสูงสุดของสเปน [ 205 ] วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2017 อัตเลติโกเดมาดริด เปิดบ้านรับบาร์เซโลนา ในเลกแรก เกม โกปาเดลเรย์ รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมสซิ ปั่นไกลเป็นประตูสุดสวย ช่วยให้บาร์เซโลนาเก็บชัยชนะได้ 1-2 ประตู และทำให้เขาเลื่อนตำแหน่งในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดในการแข่งขันถ้วย โกปาเดลเรย์ ขึ้นไปเทียบเท่ากับ อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน ที่ 43 ประตู 3 วันถัดมา วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017 เมสซิยิงฟรีคิกได้ ในเกมลีกเปิดบ้านรับ อัตเลติกเดบิลบาโอ เป็นประตูจากฟรีคิกประตูที่ 4 ของฤดูกาล ฉลองการแข่งขันนัดที่ 700 ( รวมสโมสรและทีมชาติ ) ในชีวิตค้าแข้งของเขา วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เมสซิยิงประตูชัยให้บาร์เซโลนาเอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 2–1 ในนัดเยือน สร้างสถิติทำประตูในลีกได้เกิน 20 ประตูต่อฤดูกาล ใน 9 ฤดูกาลติดต่อกัน [ 206 ] และยังเป็นชัยชนะที่ 400 นับตั้งแต่ขึ้นทีมชุดใหญ่มาอีกด้วย [ 207 ] วันที่ 1 มีนาคม 2017 เมสซิฉลองการลงเล่นเป็นตัวจริงให้บาร์เซโลนาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการครบ 500 นัด ด้วยการทำประตูจากลูกโหม่ง และทำแอสซิสต์อีก 1 ประตู ในเกมลีก นัดเหย้า บาร์เซโลนาเอาชนะเอสปอร์ตินเดฆิฆอน 6–1 วันที่ 8 มีนาคม 2017 บาร์เซโลนาสร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกที่สามารถพลิกนรก ผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ ทั้งที่เลกแรกแพ้มาถึง 0-4โดยสามารถเปิดบ้านเอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ไปได้ 6-1 โดยในนัดนี้เมสซิยิงได้ 1 ประตู จากการยิงจุดโทษ เป็นดาวซัลโวแชมเปียนส์ลีกของฤดูกาลนี้ที่ 11 ประตู และวันที่ 19 มีนาคม 2017 การแข่งขันเกมลีก นัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะบาเลนเซียไป 4-2 เมสซิทำ 2 ประตูครั้งที่ 100 ได้ในสีเสื้อบาร์เซโลนา และสร้างสถิติทำประตูได้เกิน 40 ประตูในทุกการแข่งขัน 8 ฤดูกาลติดกัน วันที่ 23 เมษายน 2017 ใน เอลกลาซิโก บาร์เซโลนาออกไปเยือนเรอัลมาดริด โดยผลของเกมนี้เป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากบาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด อยู่ในช่วงขับเคี่ยวแย่งชิงแชมป์ลาลิกา โดยเกมนี้บาร์เซโลนาชนะเรอัลมาดริด 3–2 ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงของเมสซิ โดยเลี้ยงหลบกองหลัง 3 คนไปยิงประตูสุดสวย ตีเสมอให้บาร์เซโลนาในครึ่งแรก และยิงประตูชัยเสียบมุมอย่างเฉียบขาดได้ใน 16 วินาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา เมสซิเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในนัดนี้ไปอย่างไร้ข้อกังขา และทั้ง 2 ประตูในนัดนี้ยังเป็นประตูสำคัญในชีวิตค้าแข้งของเขาอีกด้วย โดยประตูแรกทำให้เขาก้าวข้าม อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวในศึก เอลกลาซิโก ในเกมลีกอย่างเดี่ยว ๆ ที่ 15 ประตู และขยับขึ้นเป็น 16 ประตูจากประตูชัย และยังขยับสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกม เอลกลาซิโก ทุกรายการแข่งขัน ที่เขาเป็นเจ้าของเดิมอยู่แล้ว ไปที่ 23 ประตูอีกด้วย ส่วนประตูชัยในนาทีสุดท้ายนั้นเป็นประตูที่ 500 ของเขาที่ยิงให้บาร์เซโลนา ตลอดอาชีพการค้าแข้งในเกมที่เป็นทางการ ซึ่งเมสซิฉลองประตูด้วยการถอดเสื้อออกแล้วชูเสื้อโชว์ชื่อและหมายเลขบนเสื้อ หลังจบเกมนี้เมสซิได้รับเสียงชื่นชมมากมาย โดยชื่อของเขาติดเป็นอันดับ 1 คำที่ถูกใช้มากที่สุดในโซเชียลมีเดียขณะนั้นด้วย [ 208 ] [ 209 ] วันที่ 27 พฤษภาคม 2017 สนามกีฬาบิเซนเต กัลเดรอน ของ อัตเลติโกเดมาดริด ได้ถูกยืมมาใช้ในการแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศถ้วย โกปาเดลเรย์ ระหว่างบาร์เซโลนา และ เดปอร์ติโบอาลาเบส โดยเมสซิทำประตูแรกให้บาร์เซโลนาขึ้นนำ และแอสซิสต์สุดสวยโดยลากหลบ 4 กองหลัง แล้วส่งให้ปาโก้ อัลกาแซร์ ยิงประตูตอกฝาโลง ทำให้บาร์เซโลนาเอาชนะ เดปอร์ติโบอาลาเบส 3–1 โดยแชมป์รายการนี้ เป็นแชมป์ที่ 30 ของเมสซิกับบาร์เซโลนา ถือเป็นนักฟุตบอลที่ได้แชมป์กับบาร์เซโลนามากที่สุด ครองสถิติร่วมกับ อันเดรส อินิเอสตา เมสซิจบฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกาที่ 37 ประตู ได้รับรางวัลปิชิชิ ( Pichichi ) มีคะแนนและจำนวนประตูสูงสุดในทำเนียบรางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีกด้วย และยังเป็นดาวซัลโวในการแข่งขันถ้วย โกปาเดลเรย์ ที่ 5 ประตู ยิงรวมทุกรายการ 54 ประตู จากการแข่งขัน 52 นัด [ 210 ] โดยเมสซิได้รับรางวัลรองเท้าทองคำครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว เป็นสถิติได้รับรางวัลรองเท้าทองคำมากที่สุด ถือครองร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด เมสซิยังเป็นเป็นอันดับ 1 ในตารางนักเตะ Top Player ของฤดูกาล ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถีง 16 จากการลงเล่น 32 นัดในลีก [ 211 ] [ 212 ]

ฤดูกาล 2017-18 : ดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศ รองเท้าทองคำสมัยที่ 5

วันที่ 5 กรกฎาคม 2017 บาร์เซโลนาได้ประกาศถึงสัญญาฉบับใหม่ของเมสซิ ว่าตกลงรายละเอียดกันได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนการเซ็นสัญญา โดยสัญญาฉบับใหม่นี้มีค่าฉีกสัญญาสูงถึง 300 ล้านยูโร และจะทำให้เมสซิมีสัญญากับบาร์เซโลนายาวไปถึง ค.ศ. 2021 [ 213 ] ในฤดูกาลนี้ เอร์เนสโต บัลเบร์เด กุนซือคนใหม่ของบาร์เซโลนา ได้ปรับตำแหน่งให้เมสซิ จากการเล่นตำแหน่งปีกขวาในช่วง 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ให้กลับมาเล่นตรงกลางในตำแหน่ง False 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งถนัด และเป็นตำแหน่งที่เขาเคยเล่นสมัยที่แป็ป กวาร์ดีโอลาคุมทีมอยู่ วันที่ 7 สิงหาคม 2017 เมสซิได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ของสุดยอดนักเตะในประวัติศาสตร์การแข่งขันลาลิกา [ 214 ] โดยการสำรวจและค้นคว้าจาก ‘CIHEFE ‘ ( Centro de Investigaciones de Historia y Estadistica del Futbol Espanol ) คือ ศูนย์ค้นคว้าประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลสเปน [ 215 ] โดยเมสซิซึ่งทำอันดับดีขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นนักเตะเพียงคนเดียวในลำดับ 1 – 15 ซึ่งยังคงค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน จากการจัดอันดับครั้งล่าสุดนี้เมสซิมีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 545 คะแนน เริ่มทำคะแนนทิ้งห่าง อันดับ 2 คือ ราอุล กอนซาเลซ ( 528 คะแนน ) และอันดับ 3 คือ เซซาร์ โรดริเกซ ( 524 คะแนน ) โดยนักเตะที่ยังคงค้าแข้งอยู่และมีคะแนนรองลงมา คือ คริสเตียโน โรนัลโด ( 415 คะแนน ) ซึ่งรั้งอยู่ในอันดับที่ 17 [ 216 ] วันที่ 26 สิงหาคม 2017 เมสซิยิงประตูแรกของฤดูกาล ในเกมลีกที่บุกไปเยือน อาลาเบส โดยเมสซิยิงคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีมชนะโดยประตูแรกนั้นเป็นประตูที่ 350 จาก 384 เกมในลาลิกาของเขา เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ลาลิกาที่สามารถทำได้ [ 217 ] วันที่ 9 กันยายน 2017 เมสซิยิงแฮตทริกแรกของฤดูกาลได้ ในเกมลีก แดร์บีกาตาลา เปิดบ้านรับ แอร์ราเซเด อัสปัญญ็อล ซึ่งช่วยให้บาร์เซโลนาถล่มชนะ 5–0 ใน 3 วันถัดมา วันที่ 12 กันยายน 2017 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม บาร์เซโลนาเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ยูเวนตุส และชนะไปได้ 3–0 โดยเมสซิยิงได้ 2 ประตูซึ่งเป็นการยิงผ่านมือผู้รักษาประตูมือฉมังอย่าง จันลุยจี บุฟฟอน ได้เป็นครั้งแรก วันที่ 19 กันยายน 2017 เมสซิทำโปกเกอร์ ยิง 4 ประตูในนัดเดียวได้ ในเกมลีก ซึ่งบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ เอเซเด เอย์บาร์ 6–1 วันที่ 1 ตุลาคม 2017 เมสซิได้แซง การ์เลส ปูยอล ขึ้นไปเป็นอันดับ 3 ของนักเตะที่ลงเล่นให้บาร์เซโลนามากที่สุดในประวัติศาตร์สโมสร ในเกมลีกเปิดบ้านรับ อูเด ลัสปัลมัส โดยนัดนี้เมสซิทำได้ 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ ช่วยให้บาร์เซโลนาชนะ 3–0 เกมนี้มีขึ้นในวันลงประชามติขอแยกแคว้นกาตาลาเป็นเอกราชจากสเปน ซึ่งเกิดความวุ่นวายนอกสนามมากมาย มีคนบาดเจ็บกว่า 800 คน ทางสโมสรบาร์เซโลนาได้ขอเลื่อนวันแข่งแล้ว แต่สมาคมฟุตบอลสเปนไม่อนุญาตให้เลื่อน โดยให้เหตุผลว่า “ ไม่มีเหตุผลอันควร ” และถ้าบาร์เซโลนายกเลิกการแข่งขันเองจะถูกตัดคะแนน 6 คะแนน 3 คะแนนจากการถูกปรับแพ้ และอีก 3 คะแนนจากการยกเลิกการแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาต สุดท้ายสโมสรบาร์เซโลนาจึงตัดสินใจให้ทำการแข่งขันกันในสนามปิด คือ แข่งขันกันโดยไม่มีแฟนบอลเข้าเชียร์ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บริหารของสโมสรบาร์เซโลนาหลายคนได้ประกาศลาออก เนื่องจากรับไม่ได้จากการถูกบังคับให้ทำการแข่งขันในสภาวะนี้

Read more: S.S. Lazio

วันที่ 18 ตุลาคม 2017 ในเกมแชมเปียนส์ลีก นัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ โอลิมเบียโกส 3–1 เมสซิยิงฟรีคิกทำประตูที่ 100 ของเขาในการแข่งขันยูฟ่าได้ และยังทำแอสซิสต์ได้อีก 1 ประตูเมสซิทำประตูในการแข่งขันยูฟ่าครบ 100 ประตู จากการแข่งขันเกมยูฟ่า 122 นัด โดยเป็นประตูจากเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 97 ประตู อีก 3 ประตูมาจากการแข่งขันยูฟ่าซุปเปอร์คัพ โดยเมสซิเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ทำได้ หลังจากคริสเตียโน โรนัลโด แต่เมสซิมีสถิติต่อเกมดีกว่า เนื่องจากลงแข่งน้อยกว่าถึง 21 เกม และทำได้ในช่วงอายุน้อยกว่า [ 218 ] วันที่ 23 ตุลาคม 2017 เมสซิได้รับการโหวตเป็นอันดับ 2 ในงานประกาศรางวัลนักฟตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า แต่เช่นเดียวกับปีก่อนเมสซิได้รับการโหวตเป็นอันดับ 1 ของกองหน้าที่ดีที่สุด ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ฟีฟ่าฟิฟโปร FIFA FIFPro [ 219 ] ซึ่งมาจากการโหวตของนักเตะอาชีพทั้งหมดโหวตกันเอง โดยไม่มีคะแนนจากสื่อ ซึ่งเมสซิติดทีมฟิฟโปรเป็นปีที่ 11 ติดต่อกันแล้ว [ 220 ] วันที่ 4 พฤศจิกายน 2017 เมสซิทำสถิติลงเล่นให้บาร์เซโลนาครบ 600 นัด ในเกมส์ลาลิกา เปิดบ้านเอาชนะเซบิยา 2–1 หลังจากรับรางวัลรองเท้าทองคำครั้งที่ 4 เมสซิเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับบาร์เซโลนาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 ซึ่งมีระยะสัญญายาวถึงฤดูกาล 2020-21 และมีค่าฉีกสัญญาสูงถึง 700 ล้านยูโร วันที่ 7 มกราคม 2018 เมสซิลงเล่นเกมลาลิกานัดที่ 400 ของเขาในเกมเหย้ากับ เลบันเต โดยบาร์เซโลนาเอาชนะ 3–0 ซึ่งเมสซิทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ทำให้เขาเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูในลีกให้กับสโมสรเดียวมากที่สุดร่วมกับ แกร์ท มึลเลอร์ ที่ 365 ประตู และในสัปดาห์ต่อมาเมสซิก็ขึ้นเป็นเจ้าของสถิติคนใหม่จากประตูฟรีคิกในเกมเยือนกับ เรอัลโซซิเอดัด [ 221 ] วันที่ 4 มีนาคม 2018 เมสซิทำประตูที่ 600 จากการเล่นฟุตบอลอาชีพได้จากลูกฟรีคิก ประตูชัยในเกมลาลิกาบาร์ซาเปิดบ้านเอาชนะ อัตเลติโกมาดริด 1–0 ในวันที่ 14 มีนาคม 2018 เมสซิยิงประตู แชมเปียนส์ลีก ที่ 99 และ 100 ของเขาได้ในเกมเปิดบ้านเอาชนะ เชลซี 3-0 เป็นนักฟุตบอลคนที่ 2 ที่สามารถยิงประตูใน แชมเปียนส์ลีก ได้ถึง 100 ประตู วันที่ 7 เมษายน 2018 เมสซิทำแฮตทริก ในเกมเปิดบ้านเอาชนะ เลกาเนส 3–1 ซึ่ง 1 ใน 3 ลูกนั้นเป็นประตูฟรีคิก จัดเป็นประตูจากฟรีคิกประตูที่ 6 ของฤดูกาล ทำสถิติยิงฟรีคิกให้บาร์เซโลนามากที่สุดใน 1 ฤดูกาลทาบสถิติที่ รอนัลดีนโย อดีตเพื่อนร่วมทีมทำไว้ ในวันที่ 21 เมษายน 2018 เมสซิทำประตูที่ 40 ของฤดูกาลได้ในเกม โคปาเดลเรย์ นัดชิงชนะเลิศกับ เซบิยา ซึ่งบาร์เซโลนาชนะเซบิยาไปได้ 5-0 คว้าแชมป์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ในวันที่ 29 เมษายน 2018 เมสซิทำแฮตทริกในเกมเยือนกับ ลาคอรุนญ่า ซึ่งบาร์เซโลน่าชนะไปได้ 4–2 คว้าแชมป์ลาลิกาครั้งที่ 25 ได้สำเร็จ ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2018 เมสซิทำประตูให้บาร์เซโลน่าเอาชนะ บิยาร์เรอัล ไปได้ 5–1 ทำสถิติไร้พ่ายยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ลาลิกาที่ 43 นัด เขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา โดยทำได้ 34 ประตูในลีก และชนะรางวัลรองเท้าทองคำอีกครั้งเป็นครั้งที่ห้า
เมสซีในขณะเตะลูกฟรีคิกในเกมพบบายาโดลิด สิงหาคม 2018
เมสซิรับตำแหน่งกัปตันทีม บาร์เซโลนา อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ จากการย้ายไปเล่นลีกญี่ปุ่นของ อันเดรส อินิเอสตา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2018 เขาได้ขึ้นรับถ้วยแชมป์ในฐานะกัปตันครั้งแรก เมื่อบาร์เซโลนาเอาชนะ เซบียา 2–1 คว้าแชมป์ ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ได้สำเร็จ วันที่ 19 สิงหาคม 2018 เกมแรกในลีกของบาร์เซโลนาฤดูกาลนี้ เมสซิทำ 2 ประตูช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะ อาลาเบส 3–0 โดยประตูฟรีคิกลอดใต้กำแพงของเขาในนัดนี้ เป็นประตูที่ 6,000 ในประวัติศาสตร์ลาลิกา วันที่ 18 กันยายน 2018 เมสซิทำแฮตทริกได้ในเกม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พบกับ เปเอสเฟ ไอนด์โอเฟน จัดเป็นแฮตทริกที่ 8 ในเกม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเมสซิ และเป็นสถิติทำแฮตทริกได้มากที่สุดของ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก วันที่ 20 ตุลาคม 2018 หลังจากยิงได้ 1 ประตู เมสซิได้รับบาดเจ็บกระดูกข้อศอกขวาหัก ในนัดพบกับ เซบียา ต้องออกจากเกมในนาทีที่ 26 ทำให้เขาต้องพักประมาณ 3 สัปดาห์ วันที่ 8 ธันวาคม 2018 เมสซิทำ 2 ฟรีคิก เป็นประตูจากลูกนิ่งประตูที่ 9,10 ของปี ในเกมลาลิกาดาร์บี้คาตาลันเยือน อัสปัญญ็อล เป็นครั้งแรกที่เขาทำได้ในลีก และประตูแรกเป็นประตูในเกมลีกประตูที่ 10 ของฤดูกาลของเขา ทำให้เขาเป็นคนแรกที่ทำประตูได้เกิน 2 หลักในลีก 13 ฤดูกาลติดต่อกัน วันที่ 13 มกราคม 2019 เมสซิทำประตูลาลิกาที่ 400 ของเขาได้สำเร็จ จากการลงสนาม 435 นัด ในนัดบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ เอเซเด เอย์บาร์ 3–0 เป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้ในลีกเดียว จาก 5 ลีกใหญ่ในยุโรป วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2019 เมสซิทำ 2 ประตูในนัดเสมอกับ บาเลนเซีย 2–2 โดยประตูแรกเป็นประตูจุดโทษลูกที่ 50 ในลีกของเขา เป็นนักเตะคนที่ 3 ที่ทำได้หลังจาก อูโก ซันเชซ และ คริสเตียโน โรนัลโด วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2019 เมสซิทำแฮตทริกที่ 50 ในชีวิตค้าแข้งของเขาได้ และยังแอสซิสต์ประตูให้ ลุยส์ ซัวเรซ ช่วยให้บาร์เซโลนาพลิกกลับมาเอาชนะ เซบียา 4–2 ในเกมลีกนัดเยือน และยังเป็นประตูในระดับอาชีพที่ 650 ของเขา วันที่ 16 เมษายน 2019 เมสซิทำ 2 ประตู ในเกม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดเปิดบ้านรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะไป 3–0 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นครั้งแรกนับจากปี 2015 วันที่ 27 เมษายน 2019 เมสซิเป็นตัวสำรองซุปเปอร์ซับ ทำประตูชัยให้บาร์เซโลนาเอาชนะ เลบันเต ไป 1–0 การันตีตำแหน่งแชมป์ลาลิกา เกมนี้เป็นเกมลาลิกานัดที่ 450 ของเขา และเป็นแชมป์ลีกแรกที่เมสซิขึ้นรับถ้วยในฐานะกัปตันทีม วันที่ 1 พฤษภาคม 2019 เมสซิทำ 2 ประตูในเกม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รองรองชนะเลิศนัดเปิดบ้านรับ ลิเวอร์พูล ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะในเลกแรกไปได้ 3-0 โดยประตูที่ 2 ของเขาเป็นประตูฟรีคิกสุดสวยระยะ 35 หลา และยังเป็นประตูที่ 600 ของเขาที่ทำให้บาร์เซโลนาในระดับอาชีพ อย่างไรก็ตามในเกมเยือนเลกที่ 2 บาร์เซโลนาแพ้ 0–4 ตกรอบ วันที่ 19 พฤษภาคม 2019 ในเกมลาลิกานัดสุดท้ายของฤดูกาล เมสซิทำ 2 ประตูในเกมเยือน บาร์เซโลนาเสมอ เอย์บาร์ 2–2 เป็นประตูที่ 49 และ 50 ของเขาฤดูกาลนี้ วันที่ 25 พฤษภาคม 2019 เมสซิทำประตูสุดท้ายในฤดูกาลได้ในนัดชิงชนะเลิศ โคปาเดลเรย์ ซึ่งบาร์เซโลนาพลาดท่าให้บาเลนเซียไป 1–2 เมสซิจบฤดูกาลด้วยรางวัลปิชีชี่ ( ดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา ) ครั้งที่ 6 ของเขา โดยทำได้ 36 ประตูจาก 34 เกมในลาลิกา ทำให้เขาทาบสถิติได้รับรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกามากครั้งที่สุดของ เตลโม ซาร์รา และเขายังได้รางวัลรองเท้าทองคำ เป็นครั้งที่ 6 และเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันด้วย
บัลลงดอร์ทั้ง 6 สมัยของเมสซิในมิวเซียมของบาร์เซโลนา

ฤดูกาล 2019–20 : บัลลงดอร์สมัยที่ 6

เมสซี่มีอาการบาดเจ็บน่องขวา จึงไม่ได้เข้าร่วมทัวร์พรีซีซั่นที่ สหรัฐอเมริกา ของบาร์เซโลนา ต่อมา วันที่ 19 สิงหาคม 2019 ประตูลูกชิพจากบริเวณกรอบเขตโทษ ในเกมลาลีกาพบกับ เรอัลเบติส ของเมสซิ ได้เข้าชิง รางวัลฟีฟ่าปุสกัส 2019 ในเดือนต่อมาอาการบาดเจ็บที่น่องขวาของเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาพลาดเกมเปิดฤดูกาล และต้องพักโดยคาดว่าจะกลับมาลงสนามได้หลังพักเบรกทีมชาติในเดือนกันยายน วันที่ 2 กันยายน 2019 เมสซี่มีชื่อเข้าชิงรางวัล 2 รางวัลจากงานฟีฟ่า ( The Best FIFA Football Awards ) คือ รางวัลฟีฟ่าปุสกัส และ รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ( The 2019 Best FIFA Men ‘s Player Award ) ซึ่งเมสซิชนะรางวัลหลังในวันที่ 23 กันยายน 2019 นัดแรกในฤดูกาลของเมสซิ คือเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกนัดเยือน ดอร์ทมุนด์ วันที่ 17 กันยายน ซึ่งเขาเป็นตัวสำรอง ส่วนประตูแรกในฤดูกาลของเขามาในเกมลาลิกาบาร์เซโลนาเปิดบ้านเอาชนะ เซบิยา 4-0 ในวันที่ 6 ตุลาคม โดยเมสซิทำประตูแรกได้ในนัดนี้จากลูกฟรีคิก เป็นประตูในลาลิกาที่ 420 ของเขา ทำลายสถิติทำประตูมากที่สุดในเกมลีก 5 ลีกใหญ่ของยุโรปของ คริสเตียโน โรนัลโด ที่เคยทำไว้ 419 ประตู วันที่ 23 ตุลาคม 2019 เมสซิทำประตูในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ลูกแรกในฤดูกาลของเขาได้ในเกมเยือน สลาเวียปราฮา ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะไปได้ 2-1กลายเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกได้ 15 ฤดูกาลติดต่อกัน ( ไม่รวมรอบคัดเลือก ) เขายังทาบสถิติยิงประตูทีมอื่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้มากที่สุดของ ราอุล กอนซาเลซ และ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ 33 ทีมอีกด้วย วันที่ 29 ตุลาคม 2019 เมสซิทำ 2 ประตู 2 แอสซิสต์ ในเกมลีกเปิดบ้านรับ เรอัลบายาโดลิด ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะไป 5-1 ประตู โดยประตูแรกของเขาเป็นประตูฟรีคิก ระยะ 35 หลา นับเป็นประตูฟรีคิกลูกที่ 50 ในอาชีพค้าแข้งของเขา และเป็นประตูที่ 608 ที่ทำให้สโมสร ทำลายสถิติของ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ทำไว้ 606 ประตู วันที่ 9 พฤศจิกายน เมสซิทำแฮตทริก โดยเป็นประตูฟรีคิก 2 ประตูในเกมเปิดบ้านเอาชนะ เซลต้า บีโก้ 4-1 ประตู เป็นแฮตทริกที่ 34 ของเขา วันที่ 27 พฤศจิกายน 2019 เมสซิลงสนามนัดที่ 700 ให้บาร์เซโลนา เขาทำ 1 ประตู 2 แอสซิสต์ ในเกม ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก เปิดบ้านเอาชนะ ดอร์ทมุนด์ 3-1 ประตู ดอร์ทมุนด์ เป็นทีมที่ 34 ที่เมสซิยิงประตูได้ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ทำลายสถิติยิงประตูได้มากทีมที่สุดในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ของ ราอุล กอนซาเลซ และ คริสเตียโน โรนัลโด วันที่ 2 ธันวาคม 2019 เมสซิได้รับ รางวัลบัลลงดอร์ เป็นสมัยที่ 6 วันที่ 8 ธันวาคม 2019 เมสซิทำแฮตทริกที่ 35 ในลาลิกาของเขาได้ในเกมเปิดบ้านเอาชนะ มายอร์กา 5–2 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2020 เมสซิทำโปกเกอร์ ยิง 4 ประตูในเกมลีกเปิดบ้านรับ เอย์บาร์ ซึ่งบาร์เซโลนาถล่มไป 5–0 วันที่ 14 มิถุนายน 2020 เขายิงประตูได้ในเกมลาลิกานัดเยือน มายอร์กา ซึ่งบาร์เซโลนาเอาชนะ 4–0 เป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ลาลิกาที่ทำประตูในลีกได้เกิน 20 ประตู 12 ฤดูกาลติดต่อกัน วันที่ 30 มิถุนายน 2020 เมสซิยิงจุดโทษปาเนกา ในเกมลีกเสมอกับ แอตเลติโกมาดริด 2–2 เป็นประตูที่ 700 ระดับอาชีพของเขานับรวมสโมสรและทีมชาติ วันที่ 11 กรกฎาคม 2020 เมสซิทำแอสซิสต์ที่ 20 ในลีกฤดูกาลนี้ โดยแอสซิสต์ให้ อาร์ตูโร บิดัล ทำประตูชัยให้บาร์เซโลนาเอาชนะ เรอัลบายาโดลิด 1–0 ทาบสถิติทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในเกมลีก 1 ฤดูกาลของ ชาบี เอร์นันเดซ ที่ทำไว้ 20 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2008-09 และเมื่อรวมกับ 22 ประตูของเขา เมสซิกลายเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ที่ทำประตูและแอสซิสต์ในเกมลีกได้เกิน 20 ประตู 20 แอสซิสต์ ใน 1 ฤดูกาล นับจาก เธียรี่ อองรี ซึ่งเคยทำได้กับ อาร์เซนอล ที่ 24 ประตู 20 แอสซิสต์ ใน พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2002-03 วันที่ 20 พฤษภาคม 2020 เกมลาลิกานัดสุดท้ายของฤดูกาล บาร์เซโลนาเยือน อาลาเบส เมสซิยิง 2 ประตูช่วยให้บาร์ซ่าเอาชนะ 5–0 วันที่ 9 สิงหาคม 2020 ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย บาร์เซโลนาพบ นาโปลี เมสซิทำ 1 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะนาโปลี 3–1 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปพบกับ บาเยิร์น มิวนิก และบาร์เซโลนาต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อแพ้ บาเยิร์น มิวนิก ไปอย่างราบคาบ 8–2 เป็นความพ่ายแพ้ที่แย่ที่สุดในการค้าแข้งของเมสซิ และบาร์เซโลนายังเสียแชมป์ลาลิกาให้ เรอัลมาดริด ในฤดูกาลนี้อีกด้วย เมสซิจบฤดูกาลด้วยการเป็นทั้งดาวซัลโวของลาลิกาที่ 25 ประตู และผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของลาลิกาที่ 21 แอสซิสต์ ทำให้เขาได้รับรางวัลปิชีชี่เป็นครั้งที่ 7 ทำลายสถิติได้รับรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกามากครั้งที่สุดของ เตลโม ซาร์รา ไปได้

สิงหาคม 2020 : ต้องอำลาบาร์เซโลนา

เมสซิซึ่งมีปัญหาขัดแย้งกับบอร์ดบริหารของบาร์เซโลนามาตลอดฤดูกาล ทั้งเรื่องที่บอร์ดบริหารว่าจ้างบริษัทภายนอกให้ว่าร้ายโจมตีนักเตะปัจจุบันและอดีตนักเตะหลายคนของสโมสรทางอินเทอร์เน็ต เรื่องคอรัปชั่นที่แดงขึ้นมาของบอร์ดบริหาร และเรื่องการถูกบังคับให้ย้ายออกจากสโมสรด้วยวิธีการไม่ให้เกียรติของเพื่อนรักอย่าง ลุยซ์ ซัวเรซ ทำให้เขาไม่มีความสุข และตัดสินใจจะไปจากสโมสร เมสซิส่งบูโรแฟกซ์ แสดงเจตจำนงต้องการออกจากสโมสรในวันที่ 25 สิงหาคม 2020 ซึ่งกลายเป็นเรื่องร้อนแรงที่สื่อจับตามอง ในสัญญาของเมสซิ มีข้อความระบุยอมให้เมสซิเลือกไปจากสโมสรได้อย่างอิสระหลังจบฤดูกาล หากเมสซิแจ้งเจตจำนงต่อสโมสรภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 โดยทนายความทางฝั่งเมสซิยืนยันว่ากำหนดการนั้นควรจะเลื่อนเป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2020 เนื่องจากฤดูกาลนี้จบช้ากว่ากำหนดด้วยการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา 19 โดยวัตถุประสงค์หลักของข้อสัญญาคือการอนุญาตให้ย้ายได้หลังจบฤดูกาล ก็ควรยึดวันจบฤดูกาลเป็นหลัก คงไม่มีใครยื่นขอย้ายออกกลางฤดูกาล แต่ผู้อำนวยการกีฬาของบาร์เซโลนาในขณะนั้น รามอน ปลาเนส ยืนยันว่าเมสซิจะสามารถออกจากสโมสรได้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินค่าฉีกสัญญามูลค่า 700 ล้านยูโรให้สโมสรเท่านั้น เนื่องจากเลยกำหนดการแสดงเจตจำนงแล้ว และในวันที่ 30 สิงหาคม ลาลิกายืนยันว่า เมสซิจะย้ายออกได้ต่อเมื่อจ่ายค่าฉีกสัญญาเท่านั้น และตอนเย็นในวันที่ 30 สิงหาคม 2020 หลังแถลงการณ์ของลาลิกา เมสซิให้สัมภาษณ์กับ Goal ว่า เขาจะอยู่กับบาร์เซโลนาต่ออีก 1 ฤดูกาลจนครบสัญญา แม้ว่าทีมกฎหมายจะยืนยันว่าเขาจะชนะแน่นอนในชั้นศาล แต่เขาจะไม่มีวันไปยืนในศาลเพื่อฟ้องร้องบาร์เซโลนาอย่างแน่นอน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรบาร์เซโลนาในขณะนั้น พร้อมบอร์ดบริหารถูกแฟนบอลลงประชามติถอดถอน และต้องยอมลาออกให้เลือกตั้งใหม่ในที่สุด [ 222 ]

ฤดูกาล 2020–21 : ฤดูกาลสุดท้ายกับบาร์เซโลนา

วันที่ 27 กันยายน 2020 เมสซิเริ่มต้นฤดูกาลโดยการทำ 1 ประตู ในเกมลีกเปิดบ้านเอาชนะ บียาร์เรอัล 4–0 วันที่ 20 ตุลาคม 2020 เมสซิยิงได้ 1 ประตูจากจุดโทษในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก บาร์เซโลนาเปิดบ้านชนะทีมจากฮังการี แฟแร็นตส์วาโรช 5–1 เป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกได้ 16 ฤดูกาลติดต่อกัน วันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมของฟีฟ่า วันที่ 29 พฤศจิกายน 2020 หลังจากทำประตูได้ในนัดเอาชนะโอซาซูนา 4–0 เมสซิถอดเสื้อโชว์เสื้อสโมสรเก่าวัยเด็กของเขานีเวลส์โอลส์บอย ในโอกาสรำลึกถึง มาราโดนา ซึ่งเพิ่งถึงแก่กรรม 4 วันก่อนหน้านั้น และยกมือ 2 ข้างไปยังหน้าจอที่สแตนด์ซึ่งฉายภาพ มาราโดนา อยู่ วันที่ 17 ธันวาคม 2020 เมสซิได้รับการโหวตเป็นอันดับที่ 3 รางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมของฟีฟ่า และอยู่ในการจัดทีมยอดเยี่ยม ฟิฟโปร เป็นปีที่ 14 ติดต่อกัน วันที่ 23 ธันวาคม 2020 เมสซิทำประตูที่ 644 ในสีเสื้อบาร์เซโลนาได้ในเกมลีกกับ เรอัลบายาโดลิด ข้ามผ่านสถิตินักเตะที่ทำประตูให้สโมสรเดียวมากที่สุดของ เปเล่ ที่ทำไว้กับ ซานโตส และเพื่อการฉลองสถิตินี้ Budweiser ได้ส่งเบียร์จัดทำพิเศษให้ผู้รักษาประตูทุกคนที่เมสซิเคยทำประตูได้โดยแต่ละขวดจะมีหมายเลขลำดับประตูที่เมสซิทำได้ต่อผู้รักษาประตูคนนั้น วันที่ 17 มกราคม 2021 เมสซิถูกใบแดงใบแรกในชีวิตที่ได้รับจากการเล่นให้สโมสร จากการทำฟาวล์ในนาทีสุดท้าย ในนัดชิงถ้วย ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา ซึ่งบาร์เซโลนาแพ้ แอตเลติกบิลเบา 2–3 วันที่ 10 มีนาคม 2021 เมสซิทำประตูได้จากการยิงไกลระยะ 35 หลา แต่พลาดลูกจุดโทษ ทำได้เพียงเสมอกับ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 1–1 ในเกมเยือนเลก 2 ซึ่งบาร์ซ่าแพ้มาก่อนในบ้าน 1–4 โดยประตูเดียวของบาร์เซโลนาเลกแรกก็มาจากเมสซิ ทำให้บาร์เซโลนาตกรอบยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี วันที่ 15 มีนาคม 2021 เมสซิทำ 2 ประตูในเกมพบกับ อูเอสกา ทำให้เขาเป็นคนแรกที่ทำประตูใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปได้เกิน 20 ประตู 13 ฤดูกาลติดต่อกัน วันที่ 21 มีนาคม 2021 เขาทำลายสถิติลงเล่นให้สโมสรมากที่สุด 768 นัดของ ชาบี โดยเขาทำได้ 2 ประตูในเกมบาร์เซโลนาบุกไปชนะ เรอัลโซเซียดัด 6–1 วันที่ 17 มีนาคม 2021 เมสซิทำ 2 ประตู ในนัดชิงชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ ช่วยให้บาร์เซโลนาเอาชนะ แอตเลติกบิลเบา 4–0 คว้าแชมป์ โกปาเดลเรย์ ฤดูกาลนี้มาครองได้สำเร็จ โดยประตูที่ 2 ของเขาในเกมทำให้เขาทำลายสถิติทำประตูได้เกิน 30 ประตูในฤดูกาลเดียว 12 ฤดูกาลติดต่อกันของ แกรท มึลเลอร์ สร้างสถิติใหม่ที่ 13 ฤดูกาล และด้วยถ้วยแชมป์ใบที่ 35 ของเขากับบาร์เซโลนา เมสซิทำลายสถิติได้รับถ้วยแชมป์กับสโมสรเดียวมากที่สุดของ ไรอัน กิ๊กส์ ซึ่งเคยทำไว้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันที่ 16 พฤษภาคม 2021 เมสซิทำประตูที่ 30 ในลีกได้ ในเกมบาร์เซโลนาพ่ายคาบ้านให้กับ เซลต้า บีโก้ 1–2 ซึ่งกลายมาเป็นประตูสุดท้ายในสีเสื้อบาร์เซโลนา และเป็นเกมนัดสุดท้ายที่เขาเล่นให้บาร์เซโลนาด้วย เมสซิยังคงเป็นดาวซัลโวของลาลิกาในฤดูกาลนี้ โดยเขาได้รับรางวัลปิชีชี่เป็นครั้งที่ 8 แล้ว ทำสถิติได้รางวัลดาวซัลโวของลีก 5 ฤดูกาลติดต่อกัน ข้ามผ่านสถิติของ อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน และอูโก้ ซานเชส ซึ่งเคยทำได้ 4 ฤดูกาลติดต่อกันกับ เรอัลมาดริด ขึ้นไปเทียบเท่ากับอดีตตำนานของ มาร์กแซย์ ฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง ที่เคยทำไว้ใน ลีกเอิง

สิงหาคม 2021 : อำลาบาร์เซโลนา

โจน ลาปอร์ตา ซึ่งชูนโยบายทำทุกทางให้เมสซิอยู่กับบาร์เซโลนาต่อ ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานสโมสรบาร์เซโลนาคนใหม่ ทำให้ข่าวการต่อสัญญาของเมสซิเป็นไปในทางบวกมาตลอด แม้สัญญาของเมสซิกับบาร์เซโลนาจะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม 2021 แล้วก็ตาม แต่หลายฝ่ายก็ยังมองว่าคงไม่มีปัญหา เพียงรอให้เมสซิเสร็จสิ้นจากการสู้ศึก โกปาอเมริกา 2021 ก่อน และทาง ลาปอร์ตา เองก็พูดอยู่เสมอว่าการพูดคุยรายละเอียดสัญญาใหม่เป็นไปด้วยดี ตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงลงนามสัญญาเท่านั้น [ 223 ] โดยรายละเอียดสัญญาฉบับใหม่ของเมสซิ เมสซิยินดีลดค่าเหนื่อยลง 50 % และยอมให้สโมสรยืดเวลาชำระค่าเหนื่อย 2 ปี ออกไปเป็น 5 ปี เพื่อช่วยเรื่องการเงินของสโมสรซึ่งมีปัญหาเรื้อรัง และได้รับผลกระทบหนักจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา 19 ข้อสัญญาทุกอย่างได้รับการยอมรับจากทั้ง 2 ฝ่ายเรียบร้อยดีแล้ว ทุกอย่างดูราบรื่นดีจนกระทั่งวันนัดเซ็นสัญญา ลาปอร์ตา จึงแจ้งแก่ ฮอร์เก้ เมสซิ พ่อและตัวแทนของเมสซิ ว่าสัญญานี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากมรดกทางการเงินอันเละเทะจากบอร์ดชุดก่อน และกฎไฟแนลเชี่ยลแฟร์เพลย์ เพดานค่าเหนื่อยของลาลิกา โดยลาปอร์ตากล่าวว่า ตอนแรกเขาคิดว่าลาลิกาจะยืดหยุ่นมากกว่านี้ในสถานการณ์ไม่ปกติ [ 224 ] วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2021 สโมสรบาร์เซโลนา ได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการยื่นฉบับใหม่ให้เมสซิ เนื่องจากปัญหาด้านโครงสร้างทางการเงินของสโมสร และกลายเป็นประเด็นร้อนที่จับตามองกันทั่วโลก เมสซิแถลงข่าวอำลาสโมสรที่อยู่มา 21 ปีอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2021

ฤดูกาล 2021–22 : บาลงดอร์สมัยที่ 7

เมสซิเป็นนักเตะอิสระ แต่มีเวลาไม่มากนักในการรับพิจารณาข้อเสนอจากสโมสรต่าง ๆ เนื่องจากความชัดเจนจากบาร์เซโลนามาในช่วงท้ายก่อนเปิดฤดูกาลเพียงไม่กี่วัน เขาเลือกเซ็นสัญญาร่วมทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ใน ลีกเอิง ประเทศฝรั่งเศส ด้วยสัญญา 2 ปี ( พร้อมเงื่อนไขขยายเพิ่มอีก 1 ปี ) และกลายเป็นผู้เล่นที่รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดของทีม ด้วยตัวเลขราว ๆ 35 ล้านยูโรต่อปี ทุกอย่างเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากขณะนั้น ลีกเอิง เปิดฤดูกาลแข่งนัดแรกเรียบร้อยแล้ว การเปิดตัวกับสโมสรใหม่ของเขาเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 วัน หลังวันแถลงข่าวของบาร์เซโลนา วันที่ 10 สิงหาคม 2021 เมสซิเดินทางถึง ปารีส เพื่อตรวจร่างกายกับปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 11 สิงหาคม 2021 โดยเมสซิสวมเสื้อหมายเลข 30 ให้กับสโมสร [ 226 ] [ 227 ] เมสซิประเดิมสนามนัดแรกให้กับสโมสรในการแข่งขันลีกเอิงวันที่ 29 สิงหาคม 2021 นัดที่ทีมบุกไปชนะ สตาดเดอแร็งส์ 2–0 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งเวลาหลัง [ 228 ] และลงสนามในนัดแรกให้กับทีมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในวันที่ 15 กันยายน ในนัดที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งบุกไปเสมอ กลึบบรึคเคอ กาเฟ 1–1 [ 229 ] และอีก 4 วันถัดมา เขาลงสนามในเกมเหย้าที่สนาม ปาร์กเดแพร็งส์ เป็นนัดแรกในการแข่งขันลีกเอิงที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งชนะ ออแล็งปิกลียอแน 2–1 [ 230 ] ก่อนจะทำประตูแรกในฐานะนักเตะปารีแซ็ง-แฌร์แม็งได้ในวันที่ 28 กันยายน ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดที่ทีมเปิดบ้านเอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 2–0 โดยเป็นการทำประตูจากการทำชิ่งสองจังหวะกับ กีลียาน อึมบาเป ก่อนจะจบด้วยการยิงระยะ 18 หลานอกกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างสวยงาม [ 231 ] และทำประตูแรกในลีกเอิงได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ในนัดที่ทีมเปิดบ้านเอาชนะ น็องต์ 3–1 [ 232 ] ต่อมา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เขาทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ 3 ประตูในนัดเดียวเป็นครั้งที่ห้าในอาชีพ ในนัดที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งบุกไปเอาชนะ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน 3–1 ในลีกเอิง [ 233 ] จากผลงานอันโดดเด่นด้วยจำนวน 41 ประตู และการทำแอสซิสต์ 17 ครั้งทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติตลอดปีปฏิทิน 2021 และยังมีส่วนสำคัญในการพาทีมชาติอาร์เจนตินาชนะเลิศถ้วย โกปาอเมริกา 2021 ส่งผลให้เมสซิคว้ารางวัล บาลงดอร์ เป็นครั้งที่ 7 [ 234 ] จากการประกาศผลเมื่อ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2021 [ 235 ] และยังถือเป็นผู้เล่นที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลที่ได้รับรางวัล [ 236 ]

ทีมชาติ

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เขาลงแข่งในฐานะ ทีมชาติอาร์เจนตินา โดยเล่นในชุดอายุไม่เกิน 20 ปีในนัดกระชับมิตรเจอกับ ทีมชาติปารากวัย [ 237 ] ในปี ค.ศ. 2005 เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะใน ฟีฟ่าเวิลด์ยูทแชมเปียนชิป ที่จัดขึ้นที่ เนเธอร์แลนด์ โดยเขาได้รับรางวัลลูกบอลทองคำและรองเท้าทองคำ [ 238 ] เขายิงประตูใน 4 นัดสุดท้ายของอาร์เจนตินา รวมยิงได้ 6 ประตูในการแข่งขัน เขาลงแข่งในฐานะทีมชาติเต็มตัวเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2005 ในนัดเจอกับ ฮังการี เมื่อเขาอายุ 18 ปี เขาถูกส่งเปลี่ยนตัวลงสนามในนาทีที่ 63 แต่ก็ถูกผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ค ไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 65 เนื่องจากเมสซิโขกหัวกับกองหลัง วิลมอช วอนซัก ( Vilmos Vanczák ) ที่พยายามดึงเสื้อเมสซิ การตัดสินครั้งนี้ทำให้เป็นข้อถกเถียงกันและ มาราโดนา ก็กล่าวถึงการตัดสินว่าผู้ตัดสินมีเจตนาล่วงหน้า [ 239 ] [ 240 ] เมสซิกลับมาเล่นอีกครั้งในวันที่ 3 กันยายน ในรอบคัดเลือกที่อาร์เจนตินาไปเยือน ปารากวัย และได้ชัยชนะมา 1–0 หลังจากนัดนี้เขาออกมาว่า นี่ถือเป็นนัดเปิดตัวอีกครั้ง ครั้งแรกถือว่าค่อนข้างสั้นไป [ 241 ] จากนั้นก็ลงแข่งกับ เปรู หลังจากนัดนี้ โคเซ เปเกร์มัน พูดถึงเมสซิว่า “ คือ อัญมณี ” [ 242 ] เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2009 ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่เจอกับ เวเนซุเอลา เมสซิสวมเสื้อเบอร์ 10 เป็นครั้งแรกให้กับอาร์เจนตินา ในนัดนี้เป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการของผู้จัดการทีม ดิเอโก มาราโดนา อาร์เจนตินาชนะ 4–0 โดยเมสซิเป็นผู้ทำประตูแรก [ 243 ] วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 เมสซิยิงประตูในนาทีสุดท้ายที่แข่งกับคู่ปรับสำคัญ บราซิล ทำให้ทีมชนะ 1–0 ในนัดกระชับมิตรครั้งนี้ที่แข่งกับที่เมือง โดฮา ถือเป็นครั้งแรกที่เขายิงประตูบราซิลในฐานะทีมชาติรุ่นใหญ่ [ 244 ] เมสซิยิงอีกประตูในนาทีสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ในนัดแข่งกับ โปรตุเกส โดยยิงจุดโทษ ทำให้อาร์เจนตินาชนะ 2–1 ในนัดกระชับมิตรที่จัดขึ้นที่ เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

ฟุตบอลโลก 2006

อาการบาดเจ็บของเมสซิทำให้เขาไม่ได้ลงใน 2 เดือนท้ายสุดของฤดูกาล 2005–06 ซึ่งทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นใน ฟุตบอลโลก 2006 นัก แต่อย่างไรก็ตามเมสซิก็ยังได้รับเลือกให้ลงเล่นในชุดทีมชาติอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 เขายังลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศให้กับอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี อยู่ 15 นาทีและนัดกระชับมิตรที่เจอกับ แองโกลา ตั้งแต่นาทีที่ 64 [ 245 ] [ 246 ] เขานั่งอยู่บนม้านั่งสำรองในนัดที่อาร์เจนตินาชนะต่อ โกตดิวัวร์ [ 247 ] ในนัดถัดมาที่เจอกับ เซอร์เบียและมอนเตเนโกร เมสซิถือเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่ลงแข่งในฟุตบอลโลกเมื่อเขาออกมาแทน มักซี โรดรีเกซ ในนาทีที่ 74 เขาช่วงส่งประตูยิงให้กับ เอร์นัน เกรสโป ในไม่กี่นาทีหลังจากที่เขาลงสนามและยังช่วยยิงประตูในชัยชนะ 6–0 ทำให้เขาเป็นนักฟุตบอลที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 ที่ยิงประตูได้และเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดอันดับ 6 ที่ยิงประตูได้ในประวัติศาสตร์ ฟุตบอลโลก [ 248 ] ในนัดถัดมาเมสซิลงในการแข่งขันที่เสมอกับ เนเธอร์แลนด์ 0–0 [ 249 ] ต่อมาเจอกับ เม็กซิโก โดยเมสซิลงเปลี่ยนตัวแทนในนาทีที่ 84 ในนัดนี้เสมอ 1–1 เขาสามารถยิงประตูได้แต่ก็ ล้ำหน้า แต่อาร์เจนตินายิงประตูได้ในการต่อเวลาพิเศษ [ 250 ] [ 251 ] ผู้ฝึกสอน โคเซ เปเกร์มันให้เมสซินั่งอยู่ที่ม้านั่งสำรองในการแข่งขันรอบก่อนชิงชนะเลิศที่เจอกับ เยอรมนี ที่พวกเขาแพ้ 4–2 ในการดวลจุดโทษ [ 252 ]

โกปาอาเมริกา 2007

เมสซิลงเล่นเกมแรกของ โกปาอาเมริกา 2007 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2007 เมื่ออาร์เจนตินาชนะ สหรัฐอเมริกา 4–1 ในเกมแรก โดยเขาได้แสดงความสามารถในฐานะ เพลย์เมกเกอร์ เขาตั้งลูกทำประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม เอร์นัน เกรสโปรและยิงเข้ากรอบหลายลูก เตเบซ ลงมาแทนเมสซิในนาทีที่ 79 และยิงประตูในอีกไม่กี่นาทีต่อมา [ 253 ] นัดที่ 2 ของเขาแข่งกับ โคลอมเบีย ที่เขาได้รับจุดโทษ ทำให้เกรสโปยิงตีเสมอ 1–1 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของประตูที่ 2 ของอาร์เจนตินา โดยเขาได้ถูกทำฟาวล์นอกเขตโทษ ทำให้ ควน โรมัน รีเกลเม ทำประตูได้จากลูกฟรีคิก และทำให้อาร์เจนตินานำเป็น 3–1 และจบประตูสุดท้ายของเกมที่ 4–2 ทำให้อาร์เจนตินาเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศแน่นอน [ 254 ] ในนัดที่ 3 แข่งกับ ปารากวัย ผู้ฝึกให้เมสซิพักเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเขาได้ออกจากม้านั่งสำรองแทน เอสเตบัน กัมเบียสโซ ในนาทีที่ 64 กับประตูในขณะนั้นที่ 0–0 ต่อมาในนาทีที่ 79 เขาช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับ คาเบียร์ มาเชราโน [ 255 ] ในรอบรองชนะเลิศ แข่งกับ เปรู เมสซิยิงประตูที่ 2 ของเกมจากการส่งของรีเกลเม โดยจบที่ชัยชนะ 4–0 [ 256 ] ในรอบรองชนะเลิศที่แข่งกับ เม็กซิโก เมสซิยิงลูกโด่งข้าม โอสวัลโด ซันเชซ ทำให้อาร์เจนตินาชนะ 3–0 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ [ 257 ] แต่ไปแพ้ บราซิล 0–3 [ 258 ]

โอลิมปิกฤดูร้อน 2008

เมสซิถูกห้ามเล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนตินาระหว่างเกมใน โอลิมปิกฤดูร้อน 2008 [ 259 ] แต่ท้ายสุดบาร์เซโลนาตกลงว่าปล่อยเขาให้เล่นหลังจากได้จัดการพูดคุยกับ ผู้ฝึกคนใหม่ ชูเซบ กวาร์ดีโอลา [ 260 ] เขาลงเล่นกับทีมชาติอาร์เจนตินาและทำประตูแรกในประตู 2–1 ที่ชนะ โกตดิวัวร์ [ 260 ] จากนั้นยิงประตูเปิดเกมและช่วยส่งลูกยิงให้กับ อังเฆล ดิ มาริอา ในประตูที่ 2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ทีมชนะ เนเธอร์แลนด์ 2–1 [ 261 ] เขายิงลงแข่งในนัดพบกับคู่ปรับ บราซิล ที่อาร์เจนตินาชนะ 3–0 เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในนัดชิงเหรียญทอง เมสซิช่วยส่งลูกอีกครั้งให้กับดิ มาริอา ในประตูเดียวของเกม 1–0 ทำให้ทีมชนะ ไนจีเรีย [ 262 ]

ฟุตบอลโลก 2010

เมสซิลงแข่งตลอดเกมในนัดแรกที่อาร์เจนตินาพบกับ ไนจีเรีย ชนะไป 1–0 เขามีโอกาสในการทำประตูหลายครั้ง แต่ วินเซนต์ เอนเยมา ก็รักษาประตูไว้ได้ [ 263 ] เมสซิลงแข่งในนัดเจอกับ เกาหลีใต้ ชนะด้วยประตู 4–1 โดยเขามีส่วนร่วมในการทำประตูทุกประตูของทีม และช่วย กอนซาโล อีกวาอิน ยิง แฮตทริก [ 264 ] ในนัดที่ 3 และนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม เมสซินำทีมอาร์เจนตินาชนะ กรีซ และเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นแห่งนัด [ 265 ] ในรอบ 16 ทีม เขาช่วยส่งลูกยิงประตูให้กับ การ์โลส เตเบซ ในประตูแรกที่อาร์เจนตินาชนะ เม็กซิโก 3–1 ผู้ตัดสินให้ประตูถึงแม้ว่าจะไม่กระจ่างว่าล้ำหน้าหรือไม่ [ 266 ] อาร์เจนตินาจบการแข่งขันในฟุตบอลครั้งนี้ด้วยการแพ้ให้กับ เยอรมนี 4–0 [ 267 ]

โกปาอาเมริกา 2011

เขาเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติอาร์เจนตินาในการแข่งขัน โกปาอาเมริกา 2011 เขาไม่สามารถยิงประตูได้แต่ทำแอสซิสต์ได้ 3 ประตู เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นแห่งนัดในนัดแข่งกันโบลิเวีย ( 1–1 ) และคอสตาริกา ( 3–0 ) อาร์เจนตินาเสมอกับโคลอมเบีย และตกรอบเมื่อแพ้จุดโทษอุรุกวัยในรอบก่อนรองชนะเลิศ

ฟุตบอลโลก 2014

ผู้จัดการทีมคนใหม่ อาเลฆันโดร ซาเบลา แต่งตั้งเมสซิ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 24 ปี ขึ้นเป็นกัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ยังคงให้ มัสเชราโน รับบทบาทกระตุ้นลูกทีมในสนาม โดยเมสซิลงเล่นในฐานะกัปตันทีมชาติครั้งแรกในนัดอาร์เจนตินาพบ เวเนซุเอลา ซึ่งอาร์เจนตินาเอาชนะไปได้ 1–0 ซาเบลาให้เมสซิเล่นบทบาทตัวอิสระในแบบที่ถนัด เป็นจุดเริ่มต้นฟอร์มที่ดีขึ้นในทีมชาติของเมสซิ เมสซิทำประตูในเกมแข่งขันเป็นทางการให้ทีมชาติชุดใหญ่ได้ในรอบ 2 ปีครึ่ง ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดแรก อาร์เจนตินาพบกับ ชิลี ในวันที่ 7 ตุลาคม 2011 ภายใต้การทำทีมของซาเบลา อัตราการทำประตูของเมสซิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 17 ประตู ใน 61 นัด เพิ่มขึ้นเป็น 25 ประตูใน 32 นัด และในปี 2012 เขาทำได้ถึง 12 ประตู จาก 9 นัด ทาบสถิติทำประตูให้ทีมชาติได้มากที่สุดใน 1 ปีปฏิทินของ กาบริเอล บาติสตูตา แฮตทริกแรกของเมสซิในทีมชาติ ก็ตามมาในนัดกระชับมิตรกับ สวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012 ตามมาด้วยอีก 2 แฮตทริกในปีถัดมา ในนัดกระชับมิตรกับ บราซิล และ กัวเตมาลา เมสซิช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบ ได้ไปเล่นในศึก ฟุตบอลโลก 2014 อย่างแน่นอนด้วยการยิง 2 ประตูในนัดเอาชนะ ปารากวัย 5–2 ในวันที่ 10 กันยายน 2013 และ 2 ประตูนี้ทำให้เขาขึ้นไปรั้งอันดับ 2 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนตินาที่ 37 ประตู ตามหลังเพียง กาบริเอล บาติสตูตา โดยในการแข่งขันรอบคัดเลือกนี้ เขาทำได้ 10 ประตูจาก 14 นัด ด้วยฟอร์มร้อนแรงนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับแฟนบอลทีมชาติอาร์เจนตินาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ บราซิล ฟอร์มของเมสซิเป็นที่กังวลเนื่องจากเขามีฤดูกาลที่ไม่ดีนักกับบาร์เซโลนา และมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามเขาสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เขาทำ 2 ประตูในนัดพบกับ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ในเกมแรกช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะไป 2-1 ประตู และนัดที่ 2 ซึ่งอาร์เจนตินาพบกับ อิหร่าน เขาทำประตูโทนของเกมได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โดยเป็นประตูสุดสวย ยิงไกล 25 หลา ช่วยให้อาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบน็อกเอ้าท์ได้อย่างสวยงาม เขายังทำ 2 ประตูในเกมเอาชนะ ไนจีเรีย 3–2 โดยเป็นประตูจากฟรีคิก 1 ประตู ทำให้อาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นที่ 1 ของกลุ่ม โดยเมสซิได้รับเลือกเป็น Man of the peer 3 นัดติดต่อกัน เมสซิยังทำแอสซิสต์ในช่วงต่อเวลาเกมพบกับ สวิตเซอร์แลนด์ ช่วยให้อาร์เจนตินาชนะไป 1-0 ประตู ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย และได้รับเลือกเป็น Man of the match เป็นครั้ง 4 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ผ่านเข้ารอบไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ อาร์เจนตินาสามารถเอาชนะ เบลเยี่ยม ไป 1-0 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้ในรอบ 24 ปี ( 1990 ) ในรอบรองชนะเลิศอาร์เจนตินาพบกับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่งแข่งขันเสมอกันในเวลา 0-0 และอาร์เจนตินาเอาชนะจุดโทษ 4–2 โดยเมสซิยิงเข้าเป็นคนแรก อาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ฟุตบอลโลก 2014 รอบชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินาพบกับ เยอรมัน กล่าวกันว่านี่คือเกมระหว่างผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก กับทีมที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงครึ่งแรกเมสซิสามารถยิงประตูได้ แต่ไม่นับเป็นประตูเนื่องจากล้ำหน้า หลังจากเกมเสมอกันในเวลา 0-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษเยอรมันสามารถทำประตูชัยได้จากตัวสำรอง มาริโอ เกิทเซอ ในนาทีที่ 113 ทำให้อาร์เจนตินาทำได้เพียงเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตามเมสซิยังคงได้รับรางวัลลูกบอลทองคำ รางวัลสำหรับผู้เล่นที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดลำดับที่ 3 ด้วยจำนวน 4 ประตู 1 แอสซิสต์ และเป็นผู้สร้างโอกาสการทำประตูสูงที่สุด, เลี้ยงบอลผ่านได้มากที่สุด, ส่งบอลเข้าเขตโทษได้มากที่สุด และจ่ายบอลได้มากที่สุดในการแข่งขัน
เมสซิยิงฟรีคิก เกมพบกับปารากวัย โกปาอเมริกา 2015 การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ทีมชาติชุดใหญ่อย่างเต็มตัวครั้งที่ 3 ของเมสซิ ภายใต้การทำทีมของ ตาตา มาร์ติโน อดีตผู้จัดการทีมบาร์เซโลนา อาร์เจนตินาเป็นทีมวางอันดับหนึ่งของทัวร์นาเมนต์ เมสซิลงเล่นทีมชาติครบ 100 นัดในนัดชนะ จาเมกา เป็นคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอาร์เจนตินา โดยทำประตูได้ 46 ประตูจาก 100 นัด อาร์เจนตินาสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง โดยพบกับเจ้าภาพ ชิลี และเป็นอีกครั้งที่ไม่มีประตูในนัดชิงชนะเลิศ เสมอกัน 0-0 ในเวลา และช่วงต่อเวลาพิเศษ และต้องตัดสินแชมป์ด้วยลูกจุดโทษ ซึ่งชิลีเอาชนะไปได้ 4-1 โดยเมสซิเป็นคนเดียวของอาร์เจนตินาที่ยิงเข้า เมสซีเป็นผู้เล่นที่ได้รับรางวัล Man of the match มากที่สุด 4 ครั้ง และเป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุด 3 ครั้ง ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แต่เมสซิปฏิเสธรับรางวัล
เมสซิเริ่มต้นด้วยอาการบาดเจ็บที่หลังในเกมอุ่นเครื่องก่อน โกปาอาเมริกา ที่พบกับ ฮอนดูรัส ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2016 มีรายงานว่าเขามีรอยฟกช้ำลึกบริเวณเอว ทำให้เขาต้องนั่งม้านั่งสำรองในเกมแรกๆ และแม้ว่าเขาจะได้รับไฟเขียวให้ลงสนามได้ในนัดชนะ ปานามา 5–0 แต่ ตาตา มาร์ติโน ยังคงให้เขานั่งสำรองตอนเริ่มเกม แต่เขาได้ลงสนามแทน ออกุสโต เฟร์นันเดส ในนาทีที่ 61 และทำแฮตทริกได้ภายใน 19 นาที และยังสามารถผ่านบอลนำไปสู่ประตูของ กุน อเกวโร เป็นประตูที่ 5 อีกด้วย ในวันที่ 8 มิถุนายน 2016 ในรอบก่อนรองชนะเลิศกับ เวเนซุเอลา เมสซิโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ยิง 1 จ่าย 2 ทำให้เขาทาบสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของทีมชาติอาร์เจนตินา ของ กาบริเอล บาติสตูตา ที่ 54 ประตู ในเกมการแข่งขันเป็นทางการ และทำลายสถิติได้ในอีก 3 วันถัดมา ด้วยประตูฟรีคิกเข้ามุมสามเหลี่ยมสุดสวยในเกมรอบ 4 ทีมสุดท้าย เมสซิยิง 1 จ่าย 2 ช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะเจ้าภาพ สหรัฐอเมริกา ไปได้ 4–0 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ โกปาอาเมริกา เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินา พบกับ ชิลี เหมือนซ้ำรอย โกปาอาเมริกา 2015 ทั้ง 2 ทีมเสมอกันในเวลา และช่วงต่อเวลาพิเศษ 0–0 และต้องตัดสินแชมป์กันด้วยลูกจุดโทษอีกครั้ง เมสซิซึ่งยิงจุดโทษเป็นคนแรกของอาร์เจนตินา แต่ยิงพลาดในคราวนี้ เป็นอีกครั้งที่อาร์เจนตินาเป็นได้เพียงรองแชมป์ เมสซิจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นผู้เล่นที่ได้รับรางวัล Man of the match มากที่สุด 3 ครั้ง เป็นผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดในทัวร์นาเมนต์ที่ 4 แอสซิสต์ และเป็นดาวซัลโวอันดับ 2 ของทัวร์นาเมนต์ ที่ 5 ประตู เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ แต่เป็นอีกครั้งที่เมสซิปฏิเสธรับรางวัลนี้ ทำให้รางวัลถูกมอบให้แก่ อาเลกซิส ซันเชซ แทน

รีไทร์และรีเทิร์นทีมชาติ

รีไทร์ทีมชาติ

จากการแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ 3 ทัวร์นาเมนต์ทีมชาติติดต่อกัน ( ฟุตบอลโลก 2014, โกปาอาเมริกา 2015 และ โกปาอาเมริกา เซนเตนาริโอ ) และเมื่อรวมครั้ง โกปาอาเมริกา 2007 ด้วย จะเป็นการแพ้นัดชิงชนะเลิศกับทีมชาติครั้งที่ 4 ของเมสซิ ทำให้เขาเจ็บปวดมาก และตัดสินใจประกาศเลิกเล่นทีมชาติในทันทีหลังจบเกม เขากล่าวว่า

“ ฉันพยายามอย่างที่สุดแล้ว ทีมชาติกับฉันมันจบลงแล้ว มันเจ็บที่ไม่ได้แชมป์ และจากไปทั้งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ฉันแพ้นัดชิงชนะเลิศมา 4 ครั้งแล้ว เป็น 3 ครั้งติดต่อกัน มันเป็นเรื่องเจ็บปวดและน่าเสียดาย เราพยายามแล้วแต่มันไม่ใช่ของเรา ก็เท่านั้น ”

หลังจาก เมสซิ และ มัสเชราโน ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ มีการออกมาเรียกร้องให้เขาเปลี่ยนใจ เมื่อเขาเดินทางกลับมาถึงกรุง บัวโนสไอเรส ก็มีแฟนบอลทีมชาติอาร์เจนตินาไปรอต้อนรับพร้อมแคมเปญ “ อย่าไปเลย เลโอ ” กลายเป็นวาระแห่งชาติของ อาร์เจนตินา ที่แม้แต่ประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในขณะนั้น เมาริซิโอ มากริ ยังออกมาขอร้องให้เขาอยู่ต่อ โดยกล่าวว่า “ พวกเราโชคดี มันเป็นความสุขของชีวิต มันเป็นของขวัญจากพระเจ้า ที่ให้ประเทศที่รักฟุตบอลอย่างเรา มีนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกอยู่ ลิโอเนล เมสซิ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ประเทศเรามี พวกเราต้องดูแลเขา ” นายกเทศมนตรี แห่งกรุง บัวโนสไอเรส ฮอราซิโอ โรดริเกซ ลาเรตตา ได้สร้างรูปปั้นของเมสซิไว้ในเมือง เพื่อขอให้เขาพิจารณาเรื่องลาทีมชาติอีกครั้ง แคมเปญ “ อย่าไปเลย เลโอ ” ยังดำเนินไปตามถนนใหญ่ในเมืองหลวงของอาร์เจนตินา มีป้ายติดเต็มข้างทาง และมีผู้เข้าร่วมเรียกร้องเดินขบวนราวๆ 50,000 คน ครูประถมคนหนึ่ง Yohana ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงเมสซิว่า [ 268 ]

“ เลโอ อย่าทำให้เด็กๆรู้สึกว่า การได้รับรางวัลรองชนะเลิศเป็นเรื่องล้มเหลวเลย ตำแหน่งรองชนะเลิศก็เป็นความสำเร็จที่ได้มาไม่ง่าย มันเป็นรางวัลที่ได้มาจากการทำงานอย่างหนัก ควรค่าแก่การชื่นชมยินดีเหมือนกัน ”

รีเทิร์นทีมชาติ

มัสเชราโน และเพื่อนร่วมทีมชาติอาร์เจนตินาต่างกล่าวว่า เมสซิกำลังอยู่ในช่วงเจ็บปวดผิดหวังอย่างรุนแรง การแพ้รอบชิง 4 ครั้งกับทีมชาติ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจก้าวผ่านได้ การประกาศเลิกเล่นทีมชาติเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบระหว่างจิตใจอ่อนล้าเท่านั้น ให้เวลาเขาอีกนิด เขาจะต้องกลับมาเล่นให้ทีมชาติอีกอย่างแน่นอน และเพียงสัปดาห์เดียวหลังจากเมสซิประกาศเลิกเล่นทีมชาติ La Nación หนังสือพิมพ์ของอาร์เจนตินาลงข่าวว่า เขากำลังพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ 2 เดือนถัดมา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2016 ก็เป็นที่ยืนยันว่าเมสซิตัดสินใจกลับมาเล่นทีมชาติอย่างแน่นอน เมื่อมีรายชื่อของเขาปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้เล่นที่ถูกเรียกตัวติดทีมชาติเพื่อแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2018 รอบแรกในเดือนกันยายน

ฟุตบอลโลก 2018

ในวันที่ 1 กันยายน 2016 เมสซิลงเล่นให้ทีมชาติเป็นเกมแรกหลังประกาศรีไทร์ และยิงประตูชัยให้อาร์เจนตินาเอาชนะอุรุกวัย 1–0 วันที่ 28 มีนาคม 2017 เมสซิถูกโทษแบน 4 นัด และถูกปรับเงิน 10,000 ฟรังก์สวิส หลังถูกกล่าวหาว่าพูดดูหมิ่นกรรมการในนัดพบกับ ชิลี โดยกล่าวกันว่าเป็นเกมการเมืองระหว่าง คอนเมบอล และ สมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินา ที่กำลังจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยใช้เมสซิเป็นตัวประกัน เนื่องจากแม้แต่ในรายงานของกรรมการนัดนั้นยังไม่มีการรายงานถึงเรื่องนี้ อีกทั้งตัวกรรมการเองก็ออกมายืนยันว่าตนเองไม่ได้ยินเมสซิพูดหยาบคายเลย แต่ คอนเมบอล นำคลิปวีดีโอมาเป็นหลักฐานในการกล่าวหา และแม้ว่าหลายฝ่ายจะออกมายืนยันว่าสิ่งที่เมสซิกล่าวในวีดีโอนั้นเป็นเพียงคำสบถติดปากนักเตะชาวอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ก็ตาม แต่คอนเมบอลยังคงยืนยันโทษแบน สมาคมฟุตบอลอาร์เจนตินา อุทธรณ์โทษแบนของเมสซิ และเมสซิเองก็ส่งจดหมายชี้แจงถึงคำพูดในวิดีโอถึง ฟีฟ่า เพื่ออุทธรณ์โทษแบนด้วย [ 269 ] [ 270 ] [ 271 ] ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2017 โทษแบนและปรับของเมสซิถูกยกเลิกโดย ฟีฟ่า โดยหลักฐานที่ใช้ยื่นว่าคำพูดในนัดนั้นไม่มีเจตนาดูหมิ่นกรรมการ แต่เป็นประโยคพูดติดปากทั่วไปที่ใช้ได้ในสถานการณ์ปกติ คือ คลิปวิดีโอที่เมสซิฉลอง 6 แชมป์ที่กัมนอว์ โดยหลังจากพูดกับแฟนบอลในสนามแล้ว เขาจบท้ายด้วยประโยคเดียวกันกับที่พูดกับผู้ตัดสินในสนาม [ 272 ] [ 273 ] เขาจึงสามารถเล่นเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่เหลืออยู่เพียง 3 นัดได้ แต่จากการขาดเมสซิในนัดก่อนหน้าไปถึง 7 นัด ทั้งจากอาการบาดเจ็บและโทษแบน ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นของอาร์เจนตินาอย่างเห็นได้ชัด โดยเก็บชัยชนะได้เพียง 1 นัดจาก 7 นัดนั้น ทำได้เพียง 7 แต้มจาก 21 แต้ม [ 274 ] ทำให้อาร์เจนตินาซึ่งขณะนั้นอยู่ในอันดับที่ 6 ในตารางคะแนน สุ่มเสี่ยงมากที่จะไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 อาร์เจนตินาจำเป็นต้องชนะนัดสุดท้ายในเกมเยือนกับ เอกวาดอร์ วันที่ 10 ตุลาคม 2017 จึงจะสามารถผ่านเข้ารอบไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียได้ ซึ่งในสนามนี้อาร์เจนตินายังไม่เคยอาชนะเอกวาดอร์เจ้าบ้านได้ตั้งแต่ปี 2001 และยังถูกยิงนำไปก่อน 1–0 แต่เมสซิช่วยให้อาร์เจนตินาผ่านเข้ารอบ ด้วยแฮตทริกของเขา อาร์เจนตินาเอาชนะไป 3–1 ผ่านเข้ารอบไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียได้สำเร็จ [ 275 ] [ 276 ] 3 ประตูของเมสซิยังส่งให้เขาแซง เอร์นัน เครสโป ขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ จาก อุรุกวัย ที่ 21 ประตู

“ ทีมชุดนี้เป็นทีมที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะมีผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกอยู่ในทีม ก็ไม่สามารถทำให้ทีมแข่งกับคนอื่นได้ ที่ผ่านมาความเสื่อมถอยมันถูกซ่อนไว้โดยเมสซิ ” ออสวัลโด อาร์ดิเลส อดีตนักเตะทีมชาติอาร์เจนตินาได้กล่าวเอาไว้

จากฟอร์มการเล่นในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา ทำให้ความคาดหวังต่อ ทีมอาร์เจนตินา ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ไม่สูงนัก แม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่านี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของเมสซิก็ตาม ในนัดแรกรอบแบ่งกลุ่ม อาร์เจนตินาพบกับ ไอซ์แลนด์ วันที่ 16 มิถุนายน 2018 เมสซิยิงจุดโทษพลาดทำให้ผลจบที่เสมอกัน 1–1 และเกมที่ 2 ในวันที่ 21 มิถุนายน 2018 อาร์เจนตินาก็แพ้ให้กับ โครเอเชีย ไป 3-0 ประตู หลังเกมนี้ ฆอร์เฆ ซัมปาโอลิ ก็พูดเกี่ยวกับการขาดผู้เล่นที่มีความสามารถเพื่อช่วยงานเมสซิ “ เราไม่สามารถผ่านบอลไปถึงเมสซิได้ เราพยายามจะให้บอลไปถึงเขามากที่สุด แต่คู่แข่งก็เตรียมการมาอย่างดีเพื่อกันเขาออกจากบอล เราแพ้ในการแข่งขันนั้น ” ลูก้า โมดริด กัปตันทีมชาติ โครเอเชีย กล่าวว่า “ เมสซิเป็นผู้เล่นที่เหลือเชื่อ แต่เขาไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว ” ในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มของอาร์เจนตินา วันที่ 26 มิถุนายน 2018 เป็นการพบกับ ทีมชาติไนจีเรีย เมสซิยิง 1 ประตูช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะ 2–1 เป็นนักเตะชาวอาร์เจนตินาคนที่ 3 หลังจาก ดิเอโก มาราโดนา และ กาบริเอล บาติสตูตา ที่สามารถทำประตูได้ในฟุตบอลโลกเกิน 3 วาระ เขายังเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกมฟุตบอลโลกได้ในทุกช่วงอายุ 10-20-30 ปี อาร์เจนตินาสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ โดยเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย วันที่ 30 มิถุนายน 2018 อาร์เจนตินาพบกับ ฝรั่งเศส เมสซิเซตบอลให้กาบริเอล เมร์กาโด และ เซร์ฆิโอ อาเกวโร ทำประตูได้ แต่อาร์เจนตินาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับฝรั่งเศสไป 3–4 ตกรอบ จาก 2 แอสซิสต์ของเขา เมสซิกลายเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ทุกครั้งในศึกฟุตบอลโลก 4 ครั้งหลังสุด และเป็นคนแรกที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ 2 ครั้งในเกมเดียว หลังจาก ดิเอโก มาราโดนา ทำได้ในปี 1986 หลังจบทัวร์นาเมนต์ เมสซิขอถอนตัวไม่เข้าร่วมการแข่งขันกระชับมิตรกับ กัวเตมาลา และ โคลอมเบีย ในเดือนกันยายน 2018 และขอพักเบรกทีมชาติยาวจนถึงสิ้นปี

โกปาอาเมริกา 2019

วันที่ 21 พฤษภาคม 2019 เมสซิถูกเรียกตัวติดทีมชาติ ชุดแข่งขัน โกปาอาเมริกา 2019 โดยมี ลิโอเนล เอสกาโลนิ เป็นผู้จัดการทีม ในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 2 เมสซิทำประตูตีเสมอปารากวัย 1–1 เมสซิถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นอีกครั้ง ซึ่งเขายอมรับว่าครั้งนี้ไม่ใช่โกปา อเมริกาที่ดีของเขา และบ่นถึงสภาพสนามที่ค่อนข้างแย่ และในนัดแพ้บราซิล 0–2 ในรอบรองชนะเลิศ เมสซิตำหนิการตัดสินของกรรมการ และกล่าวเลยไปว่าเหมือนเป็นการเตรียมการให้เจ้าภาพชนะ ในการแข่งขันชิงที่ 3 กับชิลี เมสซิเปิดฟรีคิกเป็นประตูของ กุน อเกวโร ช่วยให้อาร์เจนตินาเอาชนะชิลี 2–1 ได้เหรียญทองแดงไปครอง อย่างไรก็ตามเขาถูกใบแดงต้องออกจากสนามพร้อม การี เมเดล ของชิลีในนาทีที่ 37 หลังจากมีเรื่องกระทบกระทั่งกันในสนาม หลังจบการแข่งขันเมสซิไม่ขึ้นไปรับเหรียญรางวัล และให้สัมภาษณ์หลังเกมเกี่ยวกับใบแดงของเขา ซึ่งเขาออกมาขอโทษในภายหลัง แต่ยังถูกปรับเงินจำนวน 1,500 ดอลลาร์ และถูกแบน 1 นัด และในวันที่ 2 สิงหาคม เมสซิถูกโทษแบน 3 เดือน และถูกปรับ 50,000 ดอลลาร์โดยคอนเมบอล จากการวิจารณ์กรรมการในนัดบราซิลที่ผ่านมา ทำให้เขาไม่ได้เล่นเกมกระชับมิตรกับชิลี เม็กซิโก และเยอรมนี
ในวันที่ 14 มิถุนายน 2021 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดแรก อาร์เจนตินาเสมอชิลี 1–1 จากประตูฟรีคิกของเมสซิ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2021 เมสซิลงเล่นนัดที่ 147 ให้ทีมชาติ ทำให้เขาทาบสถิติลงเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินามากที่สุดของ ฆาบิเอร์ มัสเชราโน ในเกมอาร์เจนตินาชนะปารากวัย 1–0 และทำลายสถิติในอาทิตย์ถัดมา นัดอาร์เจนตินาเอาชนะ โบลิเวีย 4–1 โดยเมสซิยิง 2 จ่าย 1 ในนัดนี้ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2021 เมสซิทำ 2 แอสซิสต์และยิง 1 ประตูได้จากฟรีคิก ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เอาชนะเอกวาดอร์ 3–0 ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2021 รองรองชนะเลิศ อาร์เจนตินาเสมอ โคลอมเบีย 1–1 ในเวลา นัดนี้เป็นนัดที่ 150 ในทีมชาติของเมสซิ และประตูในเกมนี้มาจากแอสซิสต์ของเขา จัดเป็นแอสซิสต์ที่ 5 ของเขาในทัวนาเม้นท์นี้ และยังเป็นการมีส่วนร่วมทำประตูครั้งที่ 9 ของเขาในทัวร์นาเมนต์นี้ และเขายิงจุดโทษในช่วงตัดสินเข้าเป็นคนแรก ช่วยให้อาร์เจนตินาชนะโคลีมเบีย 3–2 ถือเป็นการผ่านเข้าชิงชนะเลิศรายการระดับใหญ่ในทีมชาติเป็นครั้งที่ห้าของเมสซิ ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2021 อาร์เจนตินาเอาชนะบราซิล เจ้าภาพ 1–0 คว้าแชมป์โกปาอาเมริกา มาครองได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1993 และเป็นแชมป์กับทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกของเมสซิ เมสซิมีส่วนกับประตูของอาร์เจนตินา ถึง 9 จาก 12 ประตู โดยยิงได้ 4 ประตู 5 แอสซิสต์ เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์ ร่วมกับ เนย์มาร์ และยังได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ เนื่องจากเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์ที่ 4 ประตู เป็นยังผู้ทำแอสซิสต์สูงสุดของทัวร์นาเมนต์ที่ 5 แอสซิสต์อีกด้วย

ด้านอื่น

ชีวิตส่วนตัว

เมสซิเคยมีข่าวคบหากับมาซาเรนา เลโมส ที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันที่ โรซาริโอ กล่าวกันว่าทั้งคู่รู้จักกันจากการแนะนำของพ่อของฝ่ายหญิง เมื่อครั้งที่เขากลับมารักษาตัวจากการบาดเจ็บในโรซาริโอ ไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2006 [ 277 ] [ 278 ] เขาเคยมีข่าวความสัมพันธ์กับนางแบบชาวอาร์เจนตินา ลูเซียนา ซาลาซาร์ [ 279 ] [ 280 ] แต่เมสซิยืนยันเรื่องความรักครั้งแรกและครั้งเดียวต่อสาธารณะ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เขาบอกทางรายการ “ แฮตทริกบาร์ซา ” ช่อง กานัล 33 ว่า “ ผมมีแฟนสาวและเธออยู่ที่อาร์เจนตินา ผมรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ” [ 280 ] โดยหญิงสาวคนนั้นคือ อันโตเนลา โรกูโซ [ 281 ] โดยโรกูโซเป็นชาวโรซาริโอเช่นเดียวกันกับเมสซิ โดยทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก โรกูโซเป็นญาติของเพื่อนสนิทวัยเด็กของเขา แต่เริ่มคบหากันฉันคนรักในปี ค.ศ. 2008 [ 282 ] ในปี ค.ศ. 2010 ทั้งคู่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์เริ่มต้นชีวิตคู่ โรกูโซ ย้ายจากโรซาริโอมาอยู่กับเมสซิที่บาร์เซโลนา ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ปี 2012 แมตช์ที่อาร์เจนตินาคว้าชัยเหนือเอกวาดอร์ 4 ประตูต่อ 0 เมสซิได้ยืนยันข่าวลือการตั้งท้องของแฟนสาว โดยการฉลองประตูของเขาด้วยการยัดลูกบอลใส่เสื้อบริเวณหน้าท้อง และในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 โรกูโซได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกของพวกเขา คือ เตียโก เมสซิ โดยในวันนั้นเมสซิได้รับอนญาตให้งดซ้อม และอยู่เฝ้าแฟนสาวจนกระทั่งคลอดลูกชาย โดยเมสซิได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า วันนั้นเขาร้องไห้เพราะ เตียโกเป็นเด็กคลอดยาก เขารู้สึกว่ามันใช้เวลานานมาก กลัวและกังวลไปหมดจนกระทั่งลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย เขาได้ให้สัมภาษณ์อีกว่า “ วันนี้ฉันเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก ลูกชายของฉันถือกำเนิดแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญชิ้นนี้ ขอบคุณครอบครัวของฉันสำหรับกำลังใจและการสนับสนุนของพวกเขา รักพวกคุณทุกคน ” [ 283 ] ในเดือน เมษายน ค.ศ. 2015 เมสซิได้ยืนยันข่าวการตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ของแฟนสาวอีกครั้ง โดยการลงรูปลูกชายคนโตเตียโก กำลังจุมพิตหน้าท้องมารดาที่กำลังตั้งครรภ์ ผ่านทางอินสตาแกรมของเขาโดยเขียนข้อความว่า “ กำลังรอลูกอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ติอากี้ แม่ และพ่อ พวกเรารักลูกนะ ” [ 284 ] และลูกชายอีกคนของพวกเขา มาเตโอ เมสซิ ก็ได้ลืมตาดูโลกในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2015 เช่นเดียวกับคราวลูกชายคนโต เมสซิได้รับอนญาตให้งดซ้อมเพื่ออยู่เป็นเพื่อแฟนสาว และในวันรุ่งขึ้นแม้ไม่ได้ซ้อม เขาสามารถลงสนามเป็นตัวสำรอง ซุปเปอร์ซับ ในการแข่งขันนัดสำคัญ และยิงประตูชัยให้บาร์เซโลนาบุกไปเยือนเอาชนะอัตเลติโกเดมาดริดไปได้ 1-2 โดยเมสซิได้ทำท่าดูดนิ้วแทนความหมายการดูดนมของเด็กทารก เสมือนการยกประตูชัยนี้เพื่อฉลองการเกิดของลูกชาย [ 285 ] และในวันที่ 15 ตุลาคม 2017 โรกูโซ ได้แจ้งข่าวผ่านทางอินสตาแกรมว่าพวกเขากำลังมีลูกคนที่ 3 โดยโรกูโซได้ลงภาพครอบครัวซึ่ง ติอาโก ลูกชายคนโต และเมสซีซึ่งกำลังอุ้มมาเตโอลูกชายคนรองอยู่ ต่างสัมผัสหน้าท้องของเธอ พร้อมลงข้อความว่า “ ครอบครัว 5 คน ” กำหนดคลอดคือ ช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 ในเดือนมีนาคม 2018 แต่โรกูโซมีอาการน้ำคร่ำแตก จำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย ซีโร เมสซิ ลูกชายคนที่ 3 ของพวกเขาจึงถือกำเนิดในวันที่ 10 มีนาคม 2018 เดิมเมสซิต้องร่วมเดินทางไปกับทีมเพื่อแข่งขันเกมลีก นัดเยือนกับมาลากาในวันนั้น แต่เมื่อภรรยาต้องคลอดก่อนกำหนดอย่างกะทันหัน เขาจึงขอถอนตัว ไม่ร่วมเดินทางไปแข่งขัน ซึ่งได้รับอนุญาตจาก เอร์เนสโต บัลเบร์เด เรียบร้อยแล้ว [ 286 ] เมสซีได้ลงรูปผ่านทางเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมต้อนรับซีโรในวันนั้นด้วยข้อความว่า “ ยินดีต้อนรับ “ ซีโร ” ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งแม่และลูกปลอดภัยดี พวกเรากำลังมีความสุขมาก ” [ 287 ] เมสซิมีลูกพี่ลูกน้อง 2 คนในวงการฟุตบอล คนหนึ่งคือ มักซี ปีกของสโมสร กลุบโอลิมเปีย ใน ปารากวัย และ เอมานวยล์ เบียนกุชชี เล่นเป็นกองกลางให้กับ สโมสรฟุตบอลคีโรนา ของ สเปน [ 288 ] [ 289 ]

งานแต่งงานแห่งปี

ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2017 เมสซิได้ฤกษ์จูงแฟนสาว อันโตเนลา โรกูโซ เข้าพิธีแต่งงาน ณ เมือง โรซาริโอ บ้านเกิดของทั้งคู่ หลังคบกันฉันคนรักมาได้เกือบ 10 ปี โดยงานแต่งงานจัดขึ้นอย่างสุดหรูที่ โรงแรมพูลแมนซิตี้เซ็นเตอร์ โรซาริโอ มีแขกได้รับเชิญเพียง 260 คน แต่แขกจำนวนมากล้วนเป็นบุคคลมีชื่อเสียงทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ การรักษาความปลอดภัยจึงเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยใช้เจ้าหน้าที่กว่า 300 นาย ทั้งตำรวจพื้นที่และเจ้าหน้าที่บริษัทรักษาความปลอดภัยเอกชน 2 บริษัท เมสซิจองห้องพักทั้งหมด รวมถึงบริการต่าง ๆ ทั้งหมดของโรงแรมให้แก่แขกผู้มางาน จึงสามารถปิดพื้นที่บริเวณโรงแรมทั้งหมด ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาภายในบริเวณโรงแรมได้ ในส่วนของสื่อมวลชนจำนวนกว่า 150 คนนั้น มีพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อที่ไปทำข่าวต้องลงทะเบียนสังกัดและได้รับอนุญาตให้ทำข่าวบริเวณพรมแดงหน้าประตูโรงแรมเท่านั้น งานแต่งงานได้รับการจัดการดูแลโดยเวดดิ้งแพลนเนอร์จากโรซาริโอ 2 บริษัทประสานงานกัน โดยในงานจะเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองของอาร์เจนตินา แขกทุกคนจะได้รับของชำร่วยสุดหรูเป็น ชุด ไวน์ ที่เปิดขวด จุกก๊อก และดุลเซเดเลเช ของหวานของโปรดของเมสซิ ในส่วนของความสนุกสนานในงานนั้น วงดนตรีชื่อดังของอุรุกวัย มารามา ( Márama ) ซึ่งเป็นของขวัญแต่งงานจาก ลุยส์ ซัวเรซ และการินา เตเฆดา ( Karina ) นักร้องสาวชื่อดังชาวอาร์เจนตินา แฟนสาวของกุน เซร์ฆิโอ อาเกวโร ขึ้นแสดงในงานนี้ [ 290 ] และดานิโล มิเชาต์ ( Danilo Michaut ) ดีเจชาวโรซาริโอ รับหน้าที่คอยเปิดเพลงซึ่งส่วนมากเป็นจังหวะคุมเบียและเรกเกตอนตามสไตล์ละตินให้ความสนุกสนานตลอดคืน [ 291 ] ของขวัญที่เจ้าบ่าวเตรียมให้เจ้าสาว คือ การเชิญนักร้องคนโปรดของอันโตเนลา อาเบล ปินโตส ( Abel Pintos ) นักร้องชื่อดังชาวอาร์เจนตินา มาร้องเพลงหวานซึ้ง “ ไม่มีเริ่มต้น ไม่มีสิ้นสุด ” ( Sin Principio Ni Final ) เซอร์ไพรส์เจ้าสาวหลังเสร็จพิธีการจดทะเบียนสมรส ทำให้อันโตเนลาถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ [ 292 ] ในส่วนของพิธีการ เริ่มต้นเวลา 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น เมสซิเดินเข้าพิธีแต่งงานพร้อมบิดาและมารดา ตามด้วยลูกชายคนโตของพวกเขาเตียโก เมสซิ ซึ่งรับหน้าที่ถือแหวนแต่งงาน และบิดาของเจ้าสาวเป็นผู้นำเจ้าสาวเข้าสู่พิธี ทะเบียนสมรสได้รับการประกาศรับรองโดย กอนซาโล การิโย ( Gonzalo Carrillo ) ผู้อำนวยการสำนักทะเบียนราษฎร ซึ่งเดินทางมาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐในพิธีการจดทะเบียนสมรสระหว่าง เมสซิและโรกูโซ ด้วยตนเอง [ 293 ] หลังจบพิธีการ เมสซิและโรกูโซได้ออกมาทักทายสื่อบริเวณพรมแดงด้วยสีหน้ามีความสุข แสดงทะเบียนสมรส และได้ตอบคำถามสื่อสั้น ๆ ว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ เพิ่มเติม คู่บ่าวสาวแจ้งแก่แขกทุกคนว่าขอไม่รับของขวัญแต่งงาน แต่ได้ขอให้แขกผู้มาร่วมงานทำบุญโดยบริจาคเงินเข้าองค์กรการกุศล 4 องค์กรคือ 1. องค์กร TECHO เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ 2. มูลนิธิ Flexer ( Fundación Natalí Dafne Flexer ) เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง 3. มูลนิธิ Garrahan ในเครือโรงพยาบาลเด็ก Garrahan ( Hospital Garrahan ) ในกรุง บัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา และ 4. โรงพยาบาล Sant Joan de Déu ในเมืองบาร์เซโลนา [ 294 ] เป็นของขวัญแต่งงานแทน [ 295 ] ในจำนวนแขก 260 คนนั้น นอกจากเครือญาติ เพื่อนบ้าน และเพื่อนสมัยเด็กแล้ว ยังประกอบไปด้วยเหล่าเพื่อนร่วมทีมทั้งอดีตและปัจจุบันของเมสซิ ทีมงาน ทีมแพทย์ ฯลฯ ทั้งจากสโมสรบาร์เซโลนา และทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ผู้จัดการทีมและบอร์ดบริหารทั้งชุดเก่าชุดใหม่ จากทั้ง 2 ทีมต่างไม่ได้รับเชิญเพื่อเป็นการตัดปัญหาความเชื่อมโยงกับการเมืองในสโมสรและควบคุมขนาดของงานแต่งงาน โดยผู้มาร่วมงานที่ได้รับความสนใจจากสื่อ อาทิ เนย์มาร์, ลุยส์ ซัวเรซ, กุน เซร์ฆิโอ อาเกวโร, ชาบี, การ์เลส ปูยอล, เซสก์ ฟาเบรกัส และ ฌาราร์ต ปิเก ซึ่งควงแฟนสาวนักร้องชื่อดังอย่าง ชากีรา มาร่วมงานด้วย ฯลฯ โดยแขกต่างชาติที่ได้รับเชิญ ต่างทยอยเดินทางมางานแต่งงานโดยเครื่องบินส่วนตัวกว่า 12 ลำ เนื่องจากโรซาริโอเป็นเมืองเล็ก เที่ยวบินตรงจากสายการบินพาณิชย์มีน้อย [ 296 ] ผู้ที่ได้รับเชิญแต่ไม่สามารถมาร่วมงานได้มีเพียง รอนัลดีนโย ซึ่งติดภารกิจต้องเข้าร่วมการแข่งขันกระชับมิตรการกุศลตำนานบาร์ซา-ตำนานแมนฯยูไนเต็ดในวันนั้น, อันเดรส อินิเอสตา ซึ่งภรรยาเพิ่งคลอดลูกคนเล็กได้ไม่นาน ไม่สามารถเดินทางไกลได้ และนักเตะบาร์เซโลนาบางรายซึ่งติดภารกิจกับทีมชาติ โดยงานแต่งงานครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลก คนสนใจเข้าชมถ่ายทอดสดงานแต่งงานทางยูทูปหลายแสนคน ชื่อของเมสซิได้รับการกล่าวถึงทางทวิตเตอร์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ทั่วโลกในช่วงเวลานั้น [ 297 ] สื่อต่างประเทศต่างยกให้เป็นงานแต่งงานแห่งปีเลยทีเดียว ความสนุกสนานมีขึ้นตลอดคืน งานเลี้ยงเสร็จสิ้นลงในเวลา 7.30 ของวันถัดมา โดยเมสซิได้จัดอาหารเช้าให้แขกก่อนเดินทางกลับด้วย [ 298 ] เครื่องดื่มและขนมที่เหลือจากงานแต่งงานนี้ เมสซิและโรกูโซ ได้นำไปบริจาคให้แก่องค์กรการกุศล ธนาคารอาหารโรซาริโอ ( Rosario Food Bank ) ในส่วนของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ทั้งคู่ได้เปลี่ยนเป็นเงินเพื่อบริจาคเช่นเดียวกัน [ 299 ] หลังจากแต่งงาน 2 วัน เมสซิและโรกูโซก็ได้เดินทางไปฮันนีมูนที่ ประเทศแอนติกาและบาร์บูดา ประเทศหมู่เกาะในแถบ ทะเลแคริบเบียน ตะวันออก พร้อมกับลูกชายทั้ง 2 คน เตียโกและมาเตโอ [ 300 ]

งานการกุศล

ตลอดอาชีพของเมสซิ เขาได้เข้าร่วมในกิจกรรมการกุศลหลายอย่าง ซึ่งโดยมากจะมุ่งไปที่การช่วยเหลือเด็ก เนื่องมาจากอาการป่วยที่เขาได้เผชิญในวัยเด็กของเขาเป็นสำคัญ ตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา เมสซิได้เข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่างและบริจาคเงินให้กับองค์การ ยูนิเซฟ ( UNICEF ) ซึ่งมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสโมสรบาร์เซโลนา ในปี ค.ศ. 2007 เมสซิตัดสินใจก่อตั้งมูลนิธิเลโอ เมสซิ ที่ช่วยเหลือการกุศลในด้านการศึกษา สุขภาพ และกีฬา ให้กับเด็กขึ้น [ 301 ] [ 302 ] หลังจากการเยี่ยมชมโรงพยาบาลสำหรับเด็กป่วยหนักในบอสตัน ทำให้เขาระลึกถึงโอกาสที่ตนเคยได้รับเมื่อครั้งป่วยเป็นโรคขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตในวัยเด็ก เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญในโอกาสทางการแพทย์ของเด็ก ๆ เหล่านั้น จึงตัดสินใจบริจาคส่วนหนึ่งของรายได้ประจำของเขาเข้าสู่สังคม มูลนิธิเลโอ เมสซิ ได้บริจาค ทุนวิจัยสำหรับการฝึกอบรมทางการแพทย์ และลงทุนในโครงการพัฒนาศูนย์การแพทย์ในอาร์เจนตินา, สเปน และประเทศอื่น ๆ [ 303 ] นอกจากนี้เขายังทำกิจกรรมระดมทุนบริจาคด้วยตนเอง โดยจัดการแข่งขันรายการแข่งขันฟุตบอลการกุศลขึ้น ระหว่างทีม “ เมสซิและเพื่อน ” และ the Rest of The world ในหลายประเทศ [ 304 ] ซึ่งได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนทางการเงินจากสปอนเซอร์ต่าง ๆ ของเขาเป็นอย่างดี โดยมีอาดิดาสเป็นสปอนเซอร์หลัก ในบทสัมภาษณ์เว็บ แฟนไซต์ เมสซิกล่าวว่า “ การมีชื่อเสียงเล็กน้อย ทำให้ผมได้มีโอกาสที่จะช่วยเหลือคนที่ต้องการจริง ๆ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ” [ 305 ] และเพื่อตอบสนองต่ออุปสรรคด้านการแพทย์ในวัยเด็กของเขา มูลนิธิเลโอ เมสซิ ได้สนับสนุนการช่วยเหลือกับเด็กอาร์เจนตินาที่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่มีความยุ่งยากด้านการรักษา โดยเสนอการรักษาในสเปนและออกค่าใช้จ่ายการเดินทาง การพยาบาล และการฟื้นฟูทั้งหมด [ 306 ] เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2010 เมสซิได้รับเป็นทูตสันถวไมตรีจาก ยูนิเซฟ [ 307 ] โดยจุดประสงค์การทำงานของเขาเพื่อสนับสนุนสิทธิของเด็ก [ 308 ] เมสซิทำภารกิจแรกในฐานะทูตยูนิเซฟใน 4 เดือนถัดมา เขาเดินทางไปยัง เฮติ เพื่อสร้างความตระหนักในชะตากรรมของเด็กในประเทศที่เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เมสซิยังมีส่วนร่วมในแคมเปญที่ยูนิเซฟจัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อการป้องกันการเกิดเอชไอวี, เพื่อการศึกษา และเพื่อโอกาสทางสังคมของเด็กพิการ [ 309 ] และในโอกาสการเฉลิมฉลองวันเกิดปีแรกของลูกชายคนโตของเขา ในเดือนพฤศจิกายนปี 2013 เมสซิและเตียโก เป็นส่วนหนึ่งของยูนิเซฟในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อโอกาสที่เท่าเทียมในคุณภาพการดำรงชีวิตของเด็กด้อยโอกาส และสร้างความตระหนักถึงอัตราการตายในหมู่เด็ก ๆ เหล่านั้น [ 310 ] เมสซิยังบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนฟุตบอลเยาวชนในอาร์เจนตินา ในปี ค.ศ. 2012 เขาสร้างยิมเนเซียมใหม่ และสร้างหอพักนักเตะเยาวชนภายในสโมสร ให้ทีมสมัยเด็กของเขา ญุลส์โอลบอยส์ โดยผู้ฝึกสมัยเด็กของเขา เอร์เนสโต เวกิโอ ( Ernesto Vecchio ) ได้รับการสนันบสนุนทางการเงินจากมูลนิธิเลโอ เมสซิ เพื่อเป็นแมวมองหาเด็กที่มีพรสวรรค์มาพัฒนาด้านฟุตบอล ในปี ค.ศ. 2013 เขายังสนับสนุนด้านการเงินให้แก่สโมสรซาร์มิเอนโต ( Sarmiento ) ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลใกล้กับโรซาริโอบ้านเกิดของเขา ในการซ่อมแซมตกแต่งสโมสร และสนามแข่งใหม่ ติดตั้งสนามซึ่งสามารถใช้แข่งได้ทุกสภาพอากาศ และให้ทุนแก่นักเตะเยาวชนหลายคนทั้งจากทีม ญุลส์โอลบอยส์ ทีมที่เขาเคยสังกัดสมัยเด็ก และทีมคู่แข่ง โรซาริโอเซนตรัล รวมถึงทีมจากบัวโนส ไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา เช่น โบกายูนิออร์ส, กลุบอัตเลติโกริเบร์เปลต ด้วย วันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2016 หลังจากเมสซิชนะคดีหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์ลาราซอน ( La Razón ) ของสเปน เขาได้รับเงินค่าชดเชยจำนวน 65,000 ยูโรจากหนังสือพิมพ์นั้น ซึ่งเขานำเงินที่ได้ทั้งหมด ไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ แม้แต่ค่าทนายความ บริจาคให้องค์กรการกุศลแพทย์ไร้พรมแดน [ 311 ] วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 2017 เมสซิร่วมกิจกรรมการกุศล สำหรับผู้กล้า ( ParaLosValientes ) ซึ่งเป็นแคมเปญช่วยเหลือเด็กที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และเพื่อหาเงินสร้างศูนย์รักษาและวิจัยโรคมะเร็งในเด็กในเมืองบาร์เซโลนา โดยเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาล Sant Joan de Déu ในบาร์เซโลนา, มูลนิธิสโมสรบาร์เซโลนา และมูลนิธิเลโอ เมสซิ [ 312 ] และในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ค.ศ.2017 เมสซิได้ช่วยสนับสนุนโครงการขายเสื้อยืด # ToTheBrave เพื่อการกุศลจากแคมเปญนี้อีกด้วย [ 313 ] วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2017 มูลนิธิเลโอ เมสซิ ได้บริจาคเงินจำนวน 6,276,000 เปโซอาร์เจนตินา ในโครงการแสงสว่างสำหรับเด็ก ๆ ( Un Sol Para Los Chicos 2017 ) ซึ่งสนับสนุนโดยองค์กร ยูนิเซฟ และองค์กรอื่น ๆ ของอาร์เจนตินา ในการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินจากอาการขาดน้ำและอาการบาดเจ็บจากการคลอดธรรมชาติ จำนวน 300 ชุด [ 314 ]

สื่อ

เขาปรากฏบนปกของ วิดีโอเกม อย่าง โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2009 และ โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2011 และยังเกี่ยวข้องในการประชาสัมพันธ์เกมนี้ด้วย [ 315 ] เมสซิและ เฟร์นันโด ตอร์เรส [ 316 ] อยู่บนปกของ โปรเอโวลูชันซอกเกอร์ 2010 และยังปรากฏใน เทรลเลอร์ ภาพเคลื่อนไหวของเกม [ 317 ] [ 318 ] [ 319 ] เมสซิได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชุดกีฬาเยอรมัน อาดิดาส ซึ่งเขาก็ปรากฏอยู่บนภาพยนตร์โฆษณา [ 320 ] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 เมสซิเซ็นสัญญา 3 ปีกับเฮอร์บาไลฟ์ [ 321 ] ซึ่งสนับสนุนการช่วยเหลือมูลนิธิเลโอเมสซิ

สถิติ

สโมสร

ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2021

ทีมชาติ

ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2021

เกียรติประวัติ

สโมสร

บาร์เซโลนา

ทีมชาติ

อาร์เจนตินา
อาร์เจนตินารุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี
อาร์เจนตินา โอลิมปิก

รางวัลส่วนตัว

หมายเหตุ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Read more: Sevilla FC