อย่างไรก็ดีใช่ว่าในยุค 2020 จะไม่มีศิลปินที่มีคุณภาพและครองใจแฟนเพลงได้นานในระดับทศวรรษ เพราะถ้าผมเอ่ยชื่อศิลปินคนนี้หลายคนคงร้อง “ อ่อ… ” ออกมาทันที ซึ่งศิลปินคนนั้นก็คือ ‘ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ’ โดยศิลปินหนุ่มคนนี้ฝากผลงานเพลงไว้ในวงการมากมายตั้งแต่ปี 2008 จนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งนึ่งในเพลงที่น่าจะถูกฝังชิปอยู่ในเซลล์สมองคนไทยหลายคนคือเพลง “Baby” ที่เป็นเพลงชูโรงนำพาเขาให้เข้ามาอยู่ในวงการเพลงในอเมริกาได้อย่างเต็มตัว แต่… ทางเดินของศิลปินไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะกว่าที่เขาจะพิสูจน์ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันได้ จัสตินต้องสูญเสียน้ำตาและเกิดโรคซึมเศร้าจนจำเป็นต้องหยุดงานในวงการอยู่หลายปี ดังนั้นก่อนที่เราจะไปดูผลงานเพลงของเขา เรามาเปิดประวัติเส้นทางศิลปินเพื่อทำความรู้จักกับหนุ่มคนนี้ให้มากขึ้นกันก่อนครับ
ประวัติของ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber)
จัสติน บีเบอร์ เกิดในประเทศแคนาดาในวันที่ 1 มีนาคม 1994 โดยชีวิตของเขาถูกเลี้ยงดูโดยคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่าง แพดตี้ แมลลิที ที่ถึงแม้ว่าเงินเดือนของเธออาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่เธอก็เลี้ยงดูจัสตินเป็นอย่างดีและสนับสนุนสิ่งที่ลูกชายของเธอชอบอยู่เสมอมา อย่างเช่น การให้จัสตินไปประกวดร้องเพลงจนคว้ารางวัลที่ 2 รวมไปถึง อัพคลิปของจัสตินตอนเล่นดนตรี และร้องเพลงลงยูทูป
จนทำให้แมวมองอย่าง สกูเตอร์ เบราน์ ( Scooter Braun ) เห็นเข้าและดึงตัวเขาให้ไปเซ็นสัญญากับนักร้องดังอย่าง อัชเชอร์ ( Usher ) รวมไปถึงค่ายเพลง Island Def Jam Music Group และ Island Records ในช่วงที่เขาอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น จากนั้นเขาจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอเมริกาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อทำงานเพลงอย่างเต็มตัว หลังจากนั้นเขาก็ได้ปล่อยผลงานเพลงเดบิ้วต์ออกมานั่นคือ ‘One time’ ซึ่งสามารถไต่ชาร์ตขึ้นไปได้สูงถึงอันดับ 17 ใน Billboard Hot 100 โดยถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าประทับใจสำหรับศิลปินหน้าใหม่ และซิงเกิ้ลต่อ ๆ มาก็ทำให้กราฟชีวิตศิลปินเข้าพุ่งทะยานจนถึงจุดพีคและค้างฟ้าอยู่จนถึงปัจจุบัน
ผลงานเพลง จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber)
หากพูดถึงลิสต์ศิลปินที่ประสบความสำเร็จในชาร์ตเพลงมากที่สุด หนึ่งในนั้นจะต้องมีจัสติน บีเบอร์อย่างแน่นอน เพราะเขาคือหนึ่งในศิลปินที่สามารถเปิดนำเพลงของตัวขึ้นเปิดตัวในอันดับ 1 ตั้งแต่สัปดาห์แรกถึง 3 เพลง นั่นคือเพลง What Do You Mean ?, I ’ m the One และ Stuck With U ซึ่งศิลปินที่สามารถสร้างสถิติในระดับนี้มีเพียงแค่ Mariah Carey, Drake, Travis Scott, Justin Bieber รวมไปถึง Ariana Grande ที่มีถึง 5 เพลง ทั้งนี้เพลงอื่น ๆ ของเขาก็สร้างผลงานและประดับบารมีให้กับเขาได้ไม่แพ้กัน โดยจะมีเพลงอะไรบ้างมาดูกันครับ
1. Yummy
แนวเพลง
Electropop และ dancehall
ค่ายเพลง
Atlantic UK, Def Jam และ Warner UK
ผู้แต่งเพลง
Ed Sheeran, Justin Bieber, Max Martin, Shellback, Fred Gibson และ Jason Boyd
โปรดิวเซอร์
Max Martin, Shellback และ Fred
เพลงในปี
2020
Yummy เป็นเพลงแนว R & B ที่เด่นในเรื่องของบีทและจังหวะ เพียงแค่ฟังครั้งแรกก็สามารถดึงขึ้นให้ลุกขึ้นเต้นได้โดยอย่างไม่รีรอ อย่างไรก็ดีในแง่ของเนื้อหาเพลงอาจสวนทางสักเล็กน้อย เพราะเพลงนี้โดนวิจารณ์อย่างหนาหูในเรื่องของเนื้อเพลงว่าไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่นัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพลงนี้ก็สามารถเปิดตัวได้ถึงอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 และน่าจะเป็นอีกหนึ่งเพลงที่เปิดตามวิทยุและห้างสรรพสินค้าในไทยอยู่เยอะพอสมควร อีกทั้งล่าสุดยังได้มีชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Award 2021 ในสาขา Best Pop Solo Performance อีกด้วย
2. 10,000 Hours by Dan + Shay featuring Justin Bieber
แนวเพลง
Country pop
ค่ายเพลง
Warner Nashville
ผู้แต่งเพลง
Dan Smyers, Shay Mooney, Justin Bieber, Jessie Jo Dillon, Jason Boyd และ Julian Perretta
โปรดิวเซอร์
Dan Smyers
เพลงในปี
2019
เพลง 10,000 Hours เป็นการร่วมงานกันระหว่างศิลปินดูโอ้อย่าง Dan and Shay และ Justin Bieber ถ้าจะยกให้เพลงไหนเป็นเพลงที่โรแมนติกที่สุดของจัสติน ผมคงต้องยกเพลงนี้ขึ้นมาเป็นคำตอบแรกอย่างแน่นอน เพราะ Dan + Shay โดดเด่นในแนวเพลงแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งการใช้ดนตรีแนว Country Pop ยิ่งทำให้เพลงนี้ละมุนและหวาน เปรียบได้ดังกับการรับประทานเค้กสตอรี่เบอร์รี่รสกลมกล่อม ถ้าหากได้ฟังร่วมกับแฟน รับรองว่าความรักของคุณจะเบ่งบานเหมือนดอกไม้ในช่วงอรุณเช้า
3. Love Yourself
แนวเพลง
Acoustic pop
ค่ายเพลง
Def Jam
ผู้แต่งเพลง
Ed Sheeran, Benny Blanco และ Justin Bieber
โปรดิวเซอร์
Benny Blanco
เพลงในปี
2015
Love Yourself คืออีกหนึ่งเพลงที่คุณไม่ควรพลาดในการฟัง เพราะเพลงนี้ครบรสและสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่เมโลดี้ไปจนถึงเนื้อเพลง อีกทั้งการนำเอา R & B มาเบลนเข้ากับ Electro R & B และ Pop ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวสุด ๆ ยิ่งถ้าใครที่โฟกัสเนื้อหาของเพลงร่วมด้วยแล้ว เพลงนี้ถือว่าสอนอะไรให้กับเราได้เยอะมาก ทั้งความสัมพันธ์และการรักตัวเอง ใครที่อยากฟังเพลงชิล ๆ ในวันหยุดและเพิ่มพลังให้กับตัวเอง Love Yourself คือหนึ่งในเพลงที่ควรอยู่ในเพลย์ลิสต์ของคุณครับ
4. What Do You Mean?
แนวเพลง
Pop และ tropical house
ค่ายเพลง
Def Jam
ผู้แต่งเพลง
Justin Bieber, Jason “Poo Bear” Boyd และ Mason Levy
โปรดิวเซอร์
MdL และ Bieber
เพลงในปี
2015
อย่างที่ได้บอกไปครับว่าตราบใดที่ผลงานเพลงดีและมีคุณภาพ การโปรโมทเพลงก็ไม่จำเป็นเสมอไป ซึ่งเพลงนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจน เนื่องจากค่ายเพลงเลือกที่จะโปรโมทเพลงนี้น้อยที่สุดในอัลบั้ม Purpose หากเทียบกับเพลงอื่นในอัลบั้ม อย่างไรก็ดีเพลงนี้สามารถกระโดดขึ้นไปแตะอันดับ 1 ได้อย่างง่ายดายตั้งแต่วีคแรก และสร้างสถิติให้เขากลายเป็นนักร้องซึ่งมีอายุน้อยที่สุดที่สามารถทำได้ ซึ่งจุดเด่นของเพลงนี้จะอยู่ที่เสียงร้องของเขาที่มีความนุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงเนื้อหาที่เขาต้องการนำเสนอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องแปลเพลงแต่อย่างใด
Read more: Azerbaijan Premier League
5. I Don’t Care by Ed Sheeran featuring Justin Bieber
แนวเพลง
Electropop และ dancehall
ค่ายเพลง
Atlantic UK, Def Jam และ Warner UK
ผู้แต่งเพลง
Ed Sheeran, Justin Bieber, Max Martin, Shellback, Fred Gibson และ Jason Boyd
โปรดิวเซอร์
Max Martin, Shellback และ Fred
เพลงในปี
2019
ถ้าพูดถึงในแง่ของศิลปินบอกได้เลยว่าเพลง ‘ I Don ’ t Care ’ ที่เป็นการร่วมงานกันระหว่าง Ed Sheeran กับ Justin Bieber ถือได้ว่าเป็นคู่ดูเอทบิ๊กเนมของวงการเพลงในปัจจุบันนี้เลยก็ว่าได้ครับ เพราะทาง Ed ก็เป็นศิลปินยักษ์ใหญ่จากฝั่งอังกฤษ ในขณะที่ Justin เองก็เป็นที่เลื่องชื่อในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นบอกได้เลยว่าเพลงนี้น่าสนใจเลยทีเดียว โดยเพลงนี้จะมาแนว Electropop และ Dancehall ซึ่งจะเป็นแนวเพลงที่ชวนโยกย้ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงสนุก ๆ หากใครต้องการฟังเพลงชิลในช่วงวันหยุดภายในบ้าน เพลงนี้น่าจะทำให้คุณเพลิดเพลินได้อยู่พอตัว ทั้งนี้ในด้านความสำเร็จของเพลงก็ถือว่าทำได้ดี เพราะเพลงสามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 1 ได้ทั้งประเทศอังกฤษและอเมริกา
6. I’m the One by DJ Khaled featuring Justin Bieber, Quavo, Chance The Rapper, and Lil Wayne
แนวเพลง
Hip hop และ pop-rap
ค่ายเพลง
We the Best และ Epic
ผู้แต่งเพลง
Khaled Khaled, Justin Bieber, Quavious Marshall, Chancelor Bennett, Dwayne Carter, Jr.Jason Boyd,
Robert Brackins III, Nicholas Balding และ David Park
โปรดิวเซอร์
DJ Khaled และ Nic Nac
เพลงในปี
2017
I ’ m the One ถือเป็นการร่วมงานที่ลงตัวมากครับเลยทีเดียวครับ เพราะด้วย DJ Khaled ที่กำลังมาแรงและทำเพลงได้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ รวมไปถึงการดึงตัวแรปเปอร์ที่กำลังมาแรงในช่วงนั้นอย่าง Quavo, Chance The Rapper, และ Lil Wayne อีกทั้งการดึง Justin Bieber เข้ามาเพิ่มความเป็น Pop ลงไปก็ทำให้เพลงมีความนุ่มลื่นขึ้น เปรียบเสมือนกับอาหารที่มีความเปรี้ยวและเค็ม เพียงแค่เติมหวานเข้าไปอีกหน่อยก็กลายเป็นอาหารรวมกลอมกล่อม พร้อมเสิร์ฟแฟนเพลงให้ฟังชนิดที่เรียกว่าติดหูและวนเพลย์ลิสกลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถือเป็นเพลงไม่ว่าคุณจะชอบ Hip hop หรือ Pop ก็สามารถฟังกันได้แบบไม่น่าเบื่อ
7. Stuck With U by Ariana Grande and Justin Bieber
แนวเพลง
R&B
ค่ายเพลง
Silent Records Ventures, Def Jam และ Republic
ผู้แต่งเพลง
Ariana Grande, Justin Bieber, Whitney Phillips, Nick Kobe, Skyler Stonestreet, Gian Stone, Freddy Wexler
และ Scooter Braun
โปรดิวเซอร์
Gian Stone และ Ariana Grande
เพลงในปี
2020
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของผู้คนที่จะต้องพบเจอกับโรคโควิดระบาด เพลงนี้ทำให้หลายคนมีกำลังใจและหันมาใช้เวลากับคนที่รักในช่วงการกักตัวมากขึ้น เพราะการที่จะผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ ไม่ใช่เพียงแค่เม็ดเงินในการซื้อปัจจัย 4 เท่านั้น แต่ความรักของคนรอบข้างถือเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อหาเพลงที่เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนั้น ผนวกเข้ากับนักร้องดีว่าเสียงดีในยุคนี้อย่าง Ariana Grande รวมไปถึงหนุ่มเสียงเพราะอย่าง Justin Bieber ที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้ดีจนกินใจคนฟัง แน่นอนว่าเพลงนี้ก็ได้ประดับบารมีของทั้งคู่เข้าให้สูงไปอีกขั้น ด้วยการทำสถิติเพลงเปิดตัวอันดับ 1 ไปได้อย่างสวยงาม
8. Beauty and a Beat (featuring Nicki Minaj)
แนวเพลง
EDM, electropop และ dubstep
ค่ายเพลง
Island, RBMG และ Schoolboy
ผู้แต่งเพลง
Max Martin, Anton Zaslavski, Savan Kotecha และ Onika Maraj
โปรดิวเซอร์
Max Martin และ Zedd
เพลงในปี
2012
เพลง Beauty and a Beat เป็นเพลงตั้งแต่ในช่วงที่จัสตินมีอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีเพลงนี้ผมยกให้เป็นเพลงขึ้นหิ้งของจัสตินอีกเพลง เพราะด้วยเมโลดี้ จังหวะเพลง EDM ที่ตอนนั้นยังค่อนข้างใหม่ อีกทั้งการโปรดิวเซอร์และผู้แต่งเพลงมือทองอย่าง Max Martin มาช่วยจัดเรียงส่วนผสมของเพลงให้เข้ากันได้อย่างไร้ที่ติ ที่สำคัญที่สุดเลยคือการนำ Nicki Minaj เข้ามาเพิ่มความแซ่บในเพลง ยกระดับเพลงนี้ออกมาให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าในด้านชาร์ตเพลงของ Beauty and a Beat จะไม่แตะอันดับ 1 ของชาร์ต แต่เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งงานคุณภาพที่ประดับขึ้นหิ้งได้แบบสมศักด์ศรี
9. Baby (featuring Ludacris)
แนวเพลง
uptempo R&B, Dance pop และ Hip hop
ค่ายเพลง
Island และ RBMG
ผู้แต่งเพลง
Justin Bieber, Christopher, “Tricky” Stewart, Terius Nash, Christopher Bridges และ Christina Milian
โปรดิวเซอร์
Tricky Stewart และ The-Dream
เพลงในปี
2010
อีกหนึ่งเพลงที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นคือ ‘ Baby ’ เพราะเพลงนี้เปรียบเสมือนกับการเปิดประตูให้กับจัสติน บีเบอร์ ได้เข้ามาในวงการได้อย่างเต็มตัว และทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ถ้าพูดตามเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้วเพลงนี้อาจไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ในหลายสำนัก อย่างไรก็ดีสำหรับผมแล้ว เพลงนี้นั้นน่าสนใจในเรื่องของการใช้ดนตรี Pop แบบแท้จริง ซึ่งเมื่อดนตรีเบลนเข้ากับเสียงของจัสตินในขณะนั้นแล้วมันดูลงตัวเป็นอย่างยิ่ง จะบอกว่าเป็นมาสเตอร์พีชได้ก็ไม่ผิดครับ
10. Sorry
แนวเพลง
Dancehall pop, tropical house และ moombahton
ค่ายเพลง
Def Jam
ผู้แต่งเพลง
Justin Bieber, Julia Michaels, Justin Tranter, Sonny Moore และ Michael Tucker
โปรดิวเซอร์
Skrillex และ BloodPop
เพลงในปี
2015
Sorry เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ประสบความสำเร็จของจัสติน เพราะเพลงนี้สามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ได้ถึง 3 สัปดาห์ โดยเพลงนี้จะเด่นในเรื่องของบีทที่มีความสนใจ ถึงแม้เนื้อหาเพลงจะออกไปแนวขอโทษอดีตคนรักอย่าง Selena Gomez แต่การโปรดิวซ์ให้เพลงมีความสนุกแนว Dancehall ก็ไม่ได้ทำให้เพลงดูขัดหูกับเนื้อหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยกความดีความชอบให้แก่ Skrillex และ BloodPop ที่ช่วยจัสตินให้เพลงออกมากลมกล่อมได้ขณะนี้ อีกทั้งยังไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมอัลบั้ม Purpose ถึงได้เข้าชิงรางวัล Grammy สาขาใหญ่ได้อย่างภาคภูมิ