สำหรับเรื่องราวทางครอบครัวของ คริสเตียโน โรนัลโด นั้นตั้งอยู่ที่ย่านกิงตาดูฟัลเชา เขตอังดูอังตอนีอูของเมืองฟุงชาล เป็นเขตที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่คนยากคนจนอาศัยอยู่กันเป็นจำนวนมาก Ronaldo ได้เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ พออายุได้ 6 ขวบ เขาก็ได้เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังกับทีมชุดใหญ่ของ อังดูริญญา ( Andorinha ) จากการชักชวนของญาติที่อยู่ในทีมนี้
โรนัลโด ได้มีโอกาสลงเล่นฟุตบอลในนามของเยาวชนของอังดูริญญา ( Andorinha ) ได้อยู่ 2 ปี ก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่กับทีม นาซีอูนัล ในปี ค.ศ. 1977 และได้มีการทำสัญญากับสโมสรยักษ์ใหญ่ สปอร์ติงลิสบอน เป็นทีมที่มีชื่อเสียงในประเทศโปรตุเกสทีมหนึ่ง แต่ทว่า โรนัลโด้ ได้ถูกพิจารณาให้ย้ายไปอยู่กับทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จากคนซื้อตัวที่มีชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในราคา 12.24 ล้านปอนด์ และทำให้ โรนัลโด้ได้แชมป์เอฟเอคัพ เป็นรางวัลแรกอันทรงเกียรติของเป็นของตัวเอง ในปี 2003
ช่วงที่เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพให้กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
คริสเตียโน โรนัลโด เข้าสู่เส้นทางการเป้นนักฟุตบอลอาชีพในปี 1997 ให้กับทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในชุดเยาวชน และต่อมาในปี 2001 เขาได้เข้าสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ ซึ่งตอนนั้น โรนัลโด มีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น เมื่อโรนัลโดได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เป็นนัดแรก เขาก็สามารถทำประตูได้ถึง 2 ประตูที่พบกับทีมโมไรเรนส์ และในขณะเดียวกัน โรนัลโดยังได้ติดทีมชาติโปรตุเกสในชุดที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปี อีกด้วย ซึ่งเป็นรายการศึกชิงแชมป์ยุโรป
หลังจากที่เขาเสร็จภารกิจในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป U-17 ชื่อของ Cristiano Ronaldo ก็ได้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างของโลกกีฬาลูกหนัง จนทำให้เขาในตอนนั้นมีแมวมองและกุนซือจากลีคชั้นนำของยุโรปต่างๆ มากมายจับตามองเขาอยู่ เนื่องจากในช่วงนั้น โรนัลโด คือดาวรุ่งพุ่งแรงออร่าจับมากที่สุดในวงการฟุตบอลของประเทศโปรตุเกสที่ไม่มีใครเทียบได้เลยก็ว่าได้ และหนึ่งในกุนซือที่ว่ามานั้นก็คือ เชราร์ด อุลลิเย่ร์ ที่สมัยนั้นคุมทีม “ ลิเวอร์พูล ” ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ จนในภายหลังเขาก็ได้ล้มเลิกความตั้งใจในการล่าลายเซ็นของเจ้าหนูวัย 17 ปี รายนี้ไปอย่างน่าเสียดาย โดยให้เหตุผลว่า คริสเคียโน่ โรนัลโด ยังดูเด็กเกินไป แต่ด้วยความสามารถที่มาพร้อมกับพรสวรรค์และทักษะที่เต็มเปี่ยม ทำให้โรนัลโด เป็นนักฟุตบอลที่เก่งเกินวัย
คริสเคียโน่ โรนัลโด้ กับการแจ้งเกิดกับทีม ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังจากนั้น 2 ปี ต่อมา ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นของยอดดาวรุ่ง แห่ง ลิสบอน ก็ได้ไปแตะตาของ สุดยอดกุนซือของทีม ปีศาจแดง “ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ” อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เป็นผู้จัดการทีมในยุคนั้น ซึ่ง ณ ตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้พาทีมของเขาไปเตะอุ่นเครื่องกับทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนเปิดฤดูกาล 2003/2004 ในนัดนั้น โรนัลโด ในวัย 19 ปีได้ตอนรับการมาเยือนของยอดทีมจากอังกฤษด้วยการเผาเครื่องจนทำให้ทีมปีศาจแดงในยุคนั้นไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว แถมยังถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้ไปถึง 3-1 ทำให้ยยอดกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องรีบทำการดึงตัวเจ้าหนุ่มดาวรุ่งไฟแรงวัย 19 ปี คนนี้มาร่วมทัพทันที ด้วยค่าตัว 12.21 ล้านปอนด์ มาสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้รับมอบหมายให้ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ซึ่งเป็นเสื้อที่ได้รับการส่งต่อจาดยอดนักเตะจาก เดวิด เบ็คแฮม ที่ได้ทำการอำลาไปสจากถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และไปร่วมทัพกับ รีล มาดริด สำหรับเสื้อหมายเลข 7 ของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหมายเลขที่เป็นอาถรรพ์ที่ทำให้ผู้สวมใสแจ้งเกิดหรือดับได้อย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับโรนัลโด้ ที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ของ แมนยูฯ ทำให้เขาที่พึ่งย้ายเขามาเป็นนักเตะคนใหม่ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการได้รับความสนใจจากบรรดาแฟนบอล แต่สิ่งที่มาพร้อมกับชื่อเสียงนั้นก้คือแรงกดดันอย่างมหาศาล ท่ามกลางความคาดหวังของสาวก “ Red Devil ” ที่อยากให้เขามีฝีเท้าเก่งเท่ากับหรือมากกว่าผู้ที่สวมใส่คนก่อน จนทำให้ โรนัลโด้นั้น ขอเปลี่ยนเสื้อเป็นหมายเลข 28 ตามเดิมเป็นเลขที่เขาเคยสวมใส่ในสมัยที่อยู่กับทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากการปฏิเสธของทางสโมสร เนื่องจากทุกคนต่างมองเห็นว่า Cristiano Ronaldo คือนักเตะที่เหมาะสมแล้วกับการได้สืบทอดตำนานเสื้อหมายเลข 7 ต่อจาก David Robert Joseph Beckham ต่อไปในอนาคต
การลงสนามครั้งแรกในเวที พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
Ronaldo ได้ลงสนามครั้วงแรกบนเวทีของ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เกมแรกกับ ปีศาจแดง ในวันที่ 16 สิงหาคม 2003 เป็นเกมที่เดินทางไปถล่ม โบลตัน วันเดอเรอร์ส ไปถึง 4-0 เขาได้สัมผัสสนามในนาทีที่ 60 แทน นิคกี้ บัตต์ และในฤดูกาลเดียวกันนั้น เป็นนัดที่แมนยูพบกับแอสตัน วิลล่า ทำให้โรนัลโด ต้องโดนใบแดงครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา จากการที่เขาไปเตะบอลทิ้งทั้งๆ ที่กรรมการได้ทำการเป่าหยุดเกมไปแล้ว ทำให้เขาต้องโดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงออกจากสนามไป ก่อนที่จะปิดฤดูกาลแรกของเขากับแมนยู โรนัลโด ได้รับเลือกเป็น 11 ตัวจริง นัดชิงแชมป์ FA Cup กับสโมสร มิลล์วอลล์ เขาสามารถทำสกอร์ไปได้ 1 ประตู และมีส่วนช่วยให้แมนยูคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองด้วยสกอร์ 3-0 จบฤดูกาลแรก เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด “ Sir Matt Busby Player of the Year ” ประจำฤดูกาล 2003/2004 อีกด้วย
ต่อมาในฤดูกาลที่ 2 ของ ปี 2004/2005 โรนัลโด ที่เล่นให้กับแมนยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีเท่ากับปีแรกที่เขาได้เข้ามา ตลอดทั้งฤดูกาลที่ได้ลงเล่นไป 50 นัด โรนัลโด้ทำประตูไปได้เพียง 9 ประตู เท่านั้นในฤดูกาลนี้เองที่ทำให้ โรนัลโด ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องของสไตล์การเล่น ที่มักจะชอบเลี้ยงบอลและชอบโชว์ทักษะการหลอกบอลกับคู่ต่อสู้มากเกินไป จนทำให้จังหวะของการเล่นเป็นทีมเวิร์คไม่ดีเท่าที่ควรหรือบางครั้งก็เป็นการทำลายจังหวะของทีมตัวเองไปในตัว และก่อนที่ท้ายฤดูกาล ทีมปีศาจแดงได้มีโอกาสเข้าไปชิงดำกับ ทีม ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล แต่ในนัดดังกล่าวพวกเขาก็พ่ายแพ้ให้กับ สโมสร อาร์เซน่อล จากการที่ทั้ง 2 ทีมเสมอในเกมกันที่ 0-0 ก่อนที่จะมาดวลจุดโทษตัดสิน สุดท้ายแมนยูพ่ายไป 5-4 เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ
ประกาศความเป็นสุดยอดนักเตะให้คนในโลกลูกหนังได้รู้จักกับ Cristiano Ronaldo
ในฤดูกาล 2007/2008 คือซีซั่นที่ โรนัลโด ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของตนเองให้โลกได้รับรู้ ด้วยการทำประตูไปได้มากถึง 42 ประตู จากการลงสนามเพียง 49 นัดเท่านั้น แถมยังได้พาทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ คือ ถ้วยลีกสูงสุดของอังกฤษอย่าง พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 10 ของสโมสร และถ้วยบิ๊กเอียร์ แชมป์ใหญ่ที่สุดแห่งยุโรป อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สามารถคว่ำเชลซีลงได้จากการดวลจุดโทษ เอาชนะไป 6 ประตูต่อ 5 ก่อนจะส่งให้ คริสเตียโน โรนัลโด คว้ารางวัลบัลลงดอร์และรางวัลรองเท้าทองคำไปครองได้สำเร็จ
จากความสามารถและความสำเร็จของ CR7 ทำให้ทางทีมราชันชุดขาวอย่าง เรอัล มาดริด ที่กระหายแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นอย่างมากและกำลังมองหานักเตะระดับโลกมาช่วยยกระดับทีม ภายใต้ชื่อโปรเจค กาลาติกอส 2 ที่เป้นการรวบรวมเหล่าบรรดานัดเตะที่มีฝีเท้าระดับโลกเข้ามาไว้ในทีมเดียวกัน นับได้ว่าเป็นการสร้างทีมที่รวมนัดเตะที่มีชื่อเสียงสุดยิ่งใหญ่ และนั้นทำให้ คริสเคียโน่ โรนัลโด้ คือเป้าหมายแรกของการรวมทีม เรอัล มาดริด ก่อนที่จะเริ่มโปรเจคนี้ ในเวลานั้นทางด้านประธานของเรอัล มาดริด ที่มีนามว่า ฟลอเรนติโน เปเรซ ได้ทุ่มเงินมหาศาลนับว่าเป็นสถิติโลกในเวลานั้นก็ว่าได้โดยจำนวนเงินที่มากถึง 100 ล้านปอนด์ ( 6,300 ล้านบาท ) เพื่อใช้ในการที่จะคว้าตัวของยอดนักเตะ CR7 อย่าง โรนัลโด้ มาร่วมทัพ ก่อนที่ทาง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะทำการเบรกการซื้อตัวนี้ไว้และขอให้ โรนัลโด อยู่ช่วยทีมก่อนอีก 1 ปี
คริสเคียโน่ โรนัลโด้ กับ ราชันชุดขาว
ต้องบอกก่อนเลยว่า ลา ลีกา สเปน จะมีเพียงแค่ 2 ทีมเท่านั้นที่มักจะสลับกันเป็นใหญ่กันอยู่เสมอนั้นก็คือทีม เรอัล มาดริด และ ทีม บาร์เซโลน่า และการมาของ Cristiano Ronaldo แน่นอนว่าต้องทำให้ทีม “ เจ้าบุญทุ่ม ” อย่าง บาร์เซโลน่า ต้องหนาวๆ ร้อนๆ อย่างแน่นอน โรนัลโด้ ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กับทีม เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกในเวลานั้นสูงถึง 80 ล้านปอนด์ ด้วยสัญญา 6 ปี การมาของ คริสเคียโน่ โรนัลโด สร้างความฮือฮาอย่างมากในวงการฟุตบอลเพราะไม่ใช่แค่เพียงบรรดาสาวกราชันชุดขาวเท่านั้น แต่เขายังได้สร้างกระแสที่น่าตกใจไปทั่วทุกมุมโลก จากการที่มีแฟนบอลเข้ามารับชมและให้การต้อนรับเขามากถึง 80000 คน ซึ่งเขาไม่ได้สวมเสื้อเบอร์ 7 อย่างที่คุ้นเคยกับตอนที่อยู่กับแมนยู แต่เขากับได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 ภายใต้ชื้อใหม่ว่า CR9
เพียงแค่ฤดูกาลแรกของปี 2009/2010 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ สามารถโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมและร้อนแรงด้วยการทำประตูไปถึง 33 ประตูจากการลงสนามเพียง 35 นัด ซึ่งเขาสามารถครองรางวัลดาวซัลโวสูงสุด ของ ลา ลีกา ได้ในทันที ตั้งแต่ที่เขาได้ย้ายเข้ามาในซีซั่นแรก แต่ด้านของความสำเร็จของสโมสรกลับตรงกันข้ามเนื่องจากทีมเรอัล มาดริด ได้แค่ อันดับ 2 ในลีก ส่วนรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ที่ประธานเปเรซคาดหวังเอาไว้ว่าจะต้องเอามาครอบครองให้ได้ ก็ทำได้เพียงอยู่ที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น และบอลถ้วยอย่าง โกปา เดล เรย์ ก็ดันย่ำแย่ไม่แพ้กันถูกหยุดที่รอบ 32 ทีมสุดท้ายอีกด้วย
ต่อมาในฤดูกาลที่ 2 ภายใต้การคุมทัพของโค้ชคนใหม่อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์มากความสามารถแถมยังเป็นคนโปรตุเกสเช่นเดียวกันกับเขา ที่ก่อนหน้านี้ก็พึ่งจะพาทีม อินเตอร์ มิลาน เถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า มาหมาดๆ เนื่องจากทีม มาดริด คาดหวังที่จะกลับไปยิ่งใหญ่บนเวทียุโรปอีกครั้ง ขณะเดียวกัน โรนัลโด ก็ได้กลับมาใส่เสื้อหมายเลข 7 เหมือนกับตอนที่ค้าแข้งอยู่กับทีมแมนยู หลังการอำลาทีมของ ราอูล กอนซาเลซ ทำให้ชื่อเขาถูกเปลี่ยนและเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี นั้นก็คือ “ CR7 ” ในฤดูกาลนี้ ซีอาร์เซเว่น ยังคงรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นของตนเองได้เป็นอย่างดี จากการทำประตูได้มากถึงถึง 53 ประตู จากการเล่นลง 54 นัด ส่วนในด้านความสำเร็จของสโมสรก็ดีขึ้นตามมานิดหน่อย ด้วยการคว้าแชมป์บอลถ้วยอย่าง โกปา เดล เรย์ และเขาเป็นคนทำประตูชัยและเป็นประตูเดียวในเกมนี้ในนาทีที่ 103 ส่งผลให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์และเป็นแชมป์แรกของเขากับราชันชุดขาวได้สำเร็จ แต่สำหรับยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ถ้วยที่มาดริดต้องการมากที่สุด พวกเขาทำได้เพียงผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น
สำหรับฤดูกาลสุดท้ายระหว่าง โซเซ่ มูรินโญ่กับโรนัลโด
การเดินทางมาถึงในฤดูกาลที่ 4 ของปี 2012/2013 ของ CR7 ที่เกิดความกดดันอย่างมหาศาลเนื่องจากเขาไม่สามารถพาทีมไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก ได้สักที โดยการเกิดโปรเจค กาลาติกอส รุ่น 2 มาแล้ว 3 ฤดูกาล แต่เขาก็ทำได้เพียงแชมป์ลีก ลา ลีกา 2011/2012 กับ โกปา เดล เรย์ อย่างละ 1 แชมป์ติดไม้ติดมือมาเท่านั้น
สำหรับฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ปั่นป่วนสุดๆ หลังนักเตะภายในทีมเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเอง โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ทางด้าน CR7 ก็ไม่กินเส้นกับ กับมูรินโญ่ อีกด้วย หลังจากกรณีที่โรนัลโดไม่ยอมเล่นตามแผนที่วางเอาไว้ และบ่อยครั้งที่เขาชอบถูกมูรินโญ่วิพากษ์วิจารณ์การเล่นของตนออกสื่อ ทำให้นักเตะ CR7 เกิดความไม่พอใจ และที่เลวร้ายมากที่สุด จนจบฤดูกาลเรอัล มาดริด ไม่มีโทรฟี่อะไรติดไม้ติดมือเลยสักรายการเดียว นับว่าเป็นฟางเส้นสุดท้าย ก่อนที่จะทำให้ มูรินโญ่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในที่สุด
การมาของ อัลเชลอตติ กับ เรอัล มาดริด
จากความกระหายแชมป์ที่สะสมมานานจนทำให้ทีมราขันชุดขาวทนไม่ไหว ในฤดูกาลนี้ 2013/2014 พวกเขาได้ทำการดึงตัวกุนซือมากฝีมืออย่าง อัลเชลอตติ มาคุมทีม เพื่อความหวังที่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าให้ได้สำเร็จได้สักที และนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดถูก เนื่องจากกุนซือคนเก่งคนนี้ได้บรรดาลเจ้าแห่งยุโรปได้สมดั่งใจ และที่สำคัญ CR7 ยังได้ลงสนามครบ 200 เกมกับ เรอัล มาดริด อีกด้วย แถมยังได้เป็นดับเบิ้ลแชมป์ครั้งแรกของเขากับเรอัล มาดริด ที่ได้ทั้ง ยูฟ่า และ โกปา เดล เรย์ จบฤดูกาล กัปตันทีมชาติโปรตุเกส ( โรนัลโด ) ทำประตูคนเดียวไปได้มากถึง 51 ประตู ลงสนาม 47 นัด จบฤดูกาล โรนัลโด ตัดสินใจฝากชีวิตไว้กับราชันชุดขาว ด้วยการขยายสัญญาเพิ่มอีก 4 ปี รับค่าเหนื่อยรับมหาศาลถึง 17 ล้านยูโรต่อปี
โรนัลโด กับการเป็นเจ้ายุโรปของทีมราชันชุดขาว การันตีด้วย บัลลงดอร์ 4 สมัย
นับจากมาเป็นเวลา 3 ปี โรนัลโด้ ได้พาทีม เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูฟ่า ได้อีก 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 2015/2016, 2016/2017, 2017/2018 และเขายังได้สร้าง สถิติมากมายนับไม่ถ้วน และหนึ่งในรางวัลสุดยิ่งใหญ่นั้นก็คือรางวัล บัลลงดอร์ ที่ได้มาเพิ่มอีกถึง 4 สมัย โดยรวมทั้งหมดแล้ว คริสเคียโน่ โรนัลโด ได้รับรางวัล บัลลงดอร์มาแล้วทั้งหมด 5 สมัย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นสุดยอดนักเตะที่มีรางวัลการันตีมากมายเพียงใด แต่ในภายหลังการฟอร์มการเล่นของ CR7 ก็เริ่มตกจนถูกบรรดาแฟนบอลของทีมตัวเองโห่ไล่และกล่าวโทษอยู่เสมอ จนในที่สุดเขาได้ตัดสินใจหยุดการค้าแข่งกับ เรอัล มาดริด และย้ายเข้าสู่ เซเรีย อา อิตาลี ในทีม ม้าลาย ยูเวนตุส ในปี 2018 และเริ่มความท้าทายใหม่ในชีวิตการค้าแข้งของเขา
คริสเตียโน่ โรนัลโด ได้รับใช้ชาติด้วยการลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสนัดแรก ปี 2003 ที่ต้องพบกับทีมชาติ คาชัคสถาน ในเดือนสิงหาคม ทำให้หลังจากนั้น เขาก็ได้ลงเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 5 ทัวร์นาเมนต์ ได้แก่ ยูโร 2004 ฟุบอลโลก 2006 ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 ยูโร 2012 โดยประตูแรกที่ทำได้ในนามทีมชาติโปรตุเกสเกิดขึ้นในปี 2004 เป็นนัดเปิดสนามที่ต้องพบกับ ทีมชาติกรีช ซึ่งเขาเป็นคนสำคัญมากที่ได้นำทีมเข้าไปแข่งในรอบชิงชนะเลิศ
โรนัลโด้ ได้รับบทบาทในการลงเล่นให้กับทีมชาติด้วยการเป็นตัวจริงมากขึ้น ซึ่งในปี 2008 โรนัลโด ได้เป็นกัปตันทีมให้กับทีมชาติโปรตุเกสเป็นครั้งแรก และได้พาทีมเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ โรนัลโด สามารถยิงไปได้ 3 ประตู ของการแข่งทัวร์นาเมนต์นี้ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2012 คริสเคียโน่ โรนัลโด ได้ลงเล่นครบ 100 นัด ให้กับทีมชาติโปรตุเกส ทำให้เขากลายเป็นนักเตะ 1 ใน 3 ที่ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติของโปรตุเกส เกิน 100 นัด อีกด้วย
การมาของโรนัลโดกับทีมยูเวนตุส
โรนัลโด้ ได้ย้ายเข้ามาสู่ถิ่น กัลโช่ เซเรีย อา ในวัย 33 ปี ด้วยค่าตัวมหาศาลเกิดกว่าที่ใครๆ จะคาดคิดไว้ว่า นักเตะในวัยที่ขึ้นเลข 3 แล้วจะมีค่าตัวสูงถึงขนาดนี้ แต่ชายที่มีชื่อว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่า ทีมม้าลายยูเวนตุส ลงทุนยอดควักเงินสูงถึง 100 ล้านปอนด์ เพื่อที่จะได้นักเตะวัย 33 จอมสังหารประตูคนนี้มาร่วมทัพ จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ “ โรนัลโด้เอฟเฟ็กต์ ” เป็นเหตุการณ์ที่ใช่ว่าจะมีนักเตะคนไหนทำได้แบบนี้มากก่อน ด้วยวัยขนาดนี้ ค่าตัวขนาดนี้ แต่เขาก็ได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลยูเวนตุสเป้นอย่างดีแถมยังชื่นชมดีลนักเตะคนนี้มากเป็นพิเศษอีกด้วย สำหรับทางด้าน CR7 คนนี้ได้เปิดเผยว่าเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายมาอยู่ทีมนี้เป็นเพราะเขาต้องการที่จะหาความท้าทายๆ ใหม่ๆ บนเวทีใน อิตาลี และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเขาหลงรักแฟนบอลยูเวนตุสมากๆ อีกด้วย
จากข่าวลืออันหนาหูสำหรับบรรดาแฟนบอลทั้งหลายก็มีความเชื่อว่า แท้จริงแล้วการที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายออกมาจาก เรอัล มาดริด เป็นเพราะประธานสโมสรของทีมอย่าง ฟลอเรนติโน เปเรซ ที่ไม่ค่อยจะปลื้มในตัว โรนัลโด้ สักเท่าไหร่นัก เนื่องจากนักเตะ CR7 คนนี้ดูมีอิทธิพลต่อทีมมากเกินไปในหลายๆ เรื่อง และอีกอย่าง เปเรซ ชื่นชอบ เกเร็ธ เบล ที่เป็นลูกรักมากกว่า ที่ดูได้จากการที่ โรนัลโด้ ได้ย้ายออกจากทีมไปแล้ว แต่เขากลับไม่ได้มีการจัดแมตอำลาแต่อย่างไร แม้กระทั่งการกล่าวอำลาแฟนบอลราชันชุดขาวก็ไม่มีอีกด้วย
สำหรับยอดนักเตะ CR7 คนนี้ยังสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยการทำลายสถิติมากมายกับทีมขาวดำม้าลายยูเวนตุส ไม่ว่าจะเป็นสถิตินักฟุตบอลคนแรกที่ลงเล่นชนะในศึกยูฟ่าแชมป์เปี่ยนลีก 100 นัด หรือ สถิติ 10 ประตู หลังลงเล่นไปเพียง 14 นัดแรก แถมยังพาทีมม้าลายได้แชมป์แรกกับตนเองเมื่อ มกราคม ปี 2018เป็น แชมป์ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ที่สามารถการเอาชนะทีม เอซี มิลาน ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่จะได้แชมป์ เซเรียอา อิตาลี แชมป์ลีกสูงสุดอีก 1 สมัย ตามมาติดๆ ทำให้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นนักเตะคนแรกที่แชมป์ลีกสูงสุด ของ อังกฤษ, สเปน และ อิตาลี จบฤดูกาลแรก ด้วยสถิติ 21 ประตู 8 แอสซิส
ฤดูกาลที่ 2 บนเวที กัลโช่ เซเรีย อา ในปี 2019-2020
ถึงตอนนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ได้เดินทางมาถึงฤดูกาลที่ 2 กับ ยูเวนตุส แล้ว แถมในฤดูกาลนี้เขายังสามารถคงฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่องด้วยการพาทีม ม้าลาย คว้าแชมป์เซเรียอา อิตาลี แชมป์ลีกสูงสุดอีก 1 สมัยติดต่อกัน
เกียรติประวัติ
เกียรติประวัติกับสโมสร
โรนัลโดกับลิโอเนล เมสซี, ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
-พรีเมียร์ลีก : 2006–07, 2007–08, 2008–09
-เอฟเอคัพ : 2003–04
-ลีกคัพ : 2005–06, 2008–09
-เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ : 2007
-ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
-ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2008
เรอัลมาดริด
– ลาลิกา : 2011–12, 2016–17
– โกปาเดลเรย์ : 2010–11, 2013-2014
-ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา : 2012, 2017
-ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2013-14, 2015–16, 2016–17
-ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก : 2014, 2017
ยูเวนตุส
-เซเรียอา : 2018–19
-เซเรียอา : 2019–20
-ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา : 2018
เกียรติประวัติทีมชาติ
ทีมชาติโปรตุเกส
-ฟุตบอลโลก : อันดับที่ 4 : 2006
-ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : รองชนะเลิศ : 2004
-ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : ชนะเลิศ : 2016
-ยูฟ่าเนชันส์ลีก : ชนะเลิศ : 2018–19
เกียรติประวัติส่วนตัว
-ทีมชาติยอดเยี่ยมในศึกยูโร : 2004, 2012
-บราโวอะวอร์ด : 2004
-นักฟุตบอลดาวรุ่งในฟีฟ่าโปรประจำปี : 2004, 2005
-นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2006–07
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีของเซอร์แมตต์ บัสบี : 2003–04, 2006–07, 2007–08
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
-นักเตะยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
-นักเตะยอดเยี่ยมจากนักข่าวของพีเอฟเอ : 2006–07, 2007–08
-นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลพรีเมียร์ลีก : 2006–07, 2007–08
-นักเตะยอดเยี่ยมประจำปีพรีเมียร์ลีก : November 2006, December 2006, January 2008, March 2008
-พรีเมียร์ลีกโกลเดนบูต : 2007–08
-บาร์คลีส์เมริตอะวอร์ด : 2007–08
-ดาวซัลโวของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
-กองหน้ายอดเยี่ยมของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2007–08
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำสโมสรในยูฟ่า : 2007–08
-ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ลูกบอลสีเงิน : 2008
-แมนออฟเดอะแมตช์ประจำปี 2008 : Czech Republic vs Portugal
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป : 2008
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี : 2008
-นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ( ฟีฟ่าโปร ) : 2008
-Onze five hundred ’ Or : 2008
-World Soccer Player of the year : 2008
-PFA Premier League Team of the class : 2005–06, 2006–07, 2007–08, 2008–09
-FIFA Puskás Award : 2009
-European Golden shoe : 2007–08, 2010–11
-CNID Best Portuguese Athlete Abroad : 2007, 2008, 2009, 2011
-ทีมแห่งปีของยูฟ่า : 2003–04, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2009–10, 2010–11
-ฟีฟ่า ฟิฟโปร เวิลด์ : 2007, 2008, 2009, 2010, 2011
-แมนออฟเดอแมตช์ฟุตบอลโลกปี 2010 : Côte d ’ Ivoire five Portugal, Portugal vs Korea DPR, Portugal v Brazil
-ดาวซัลโวประจำลาลิกา : 2010–11
-ดาวซัลโวโกปาเดลเรย์ : 2010–11
-Trofeo Alfredo Di Stéfano : 2011–12
-European Sports Magazines : 2006–07, 2007–08, 2010–11, 2011–12
Read more: Theo Hernandez
-แมนออฟเดอะแมตช์ปี 2012 : Portugal volt Netherlands, Czech Republic vs Portugal
-ดาวซัลโวประจำปี 2012 : 2012
อ้างอิงข้อมูลจาก
hypertext transfer protocol : //th.wikipedia.org/wiki/คริสเตียโน_โรนัลโด