พิกัดภูมิศาสตร์ :
เยอรมนี ( อังกฤษ : Germany ; เยอรมัน : Deutschland, ออกเสียง : [ ˈdɔʏtʃlant ] ( ฟังเสียง ) ดอยฺชลันฺท ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี [ e ] เป็นสหพันธ์ สาธารณรัฐแบบรัฐสภา ในภูมิภาค ยุโรปกลาง มี รัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรประมาณ 83 ล้านคน [ 11 ] ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดใน สหภาพยุโรป [ 12 ] และมากที่สุดเป็นอันดับสองในทวีป ยุโรป ( รองจาก รัสเซีย ) [ 13 ] มีเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุดคือกรุง เบอร์ลิน และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ [ 14 ] มีศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่ที่ แฟรงก์เฟิร์ต [ 15 ] และภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ รัวร์ เยอรมนีมี ระบอบการปกครอง แบบ ประชาธิปไตย เชิงเสรีภาพและ รัฐสวัสดิการ มีพรมแดนทางทิศเหนือติด ทะเลเหนือ เดนมาร์ก และ ทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติด โปแลนด์ และ เช็กเกีย ทิศใต้ติด ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติด ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และ เนเธอร์แลนด์ ชนเผ่าดั้งเดิมหลายเผ่ารวมถึง กลุ่มชนเจอร์แมนิก เข้ามาตั้งรกรากทางตอนเหนือของเยอรมนีตั้งแต่ สมัยคลาสสิก [ 16 ] ภูมิภาคที่ชื่อ เจอร์มาเนีย ได้รับการค้นพบก่อน ค.ศ. 100 และในศตวรรษที่ 10 ดินแดนของเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางของ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ [ 17 ] ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภูมิภาคทางเหนือกลายเป็นศูนย์กลางของการปฏิรูป นิกายโปรเตสแตนต์ หลังจาก สงครามนโปเลียน และ การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 1806 สมาพันธรัฐเยอรมัน ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1815 [ 18 ] ต่อมาใน ค.ศ. 1871 เยอรมนีกลายเป็น รัฐชาติ เมื่อรัฐส่วนใหญ่รวมเป็นหนึ่งเดียวใน จักรวรรดิเยอรมัน ที่ปกครองโดย ปรัสเซีย หลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ การปฏิวัติเยอรมัน ใน ค.ศ. 1918–19 จักรวรรดิเยอรมัน ถูกแทนที่ด้วย สาธารณรัฐไวมาร์ และปกครองแบบ กึ่งประธานาธิบดี การยึดอำนาจของ นาซี ใน ค.ศ. 1933 [ 19 ] นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่ม เผด็จการ ซึ่งเป็นชนวนไปสู่ สงครามโลกครั้งที่สอง และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรป [ 20 ] และเป็นช่วงที่ ฝ่ายสัมพันธมิตร เรืองอำนาจ เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ( เยอรมนีตะวันตก ) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ( เยอรมนีตะวันออก ) [ 21 ] สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และ สหภาพยุโรป ในขณะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันเป็น รัฐคอมมิวนิสต์ กลุ่มตะวันออกและเป็นสมาชิกของ กติกาสัญญาวอร์ซอ หลังจากการล่มสลายของ ลัทธิคอมมิวนิสต์ การรวมชาติเยอรมัน ทำให้อดีตรัฐเยอรมนีตะวันออกเข้าร่วมสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1990 และได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐสภาของ รัฐบาลกลาง ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารประเทศโดย นายกรัฐมนตรี นับแต่นั้นเป็นต้นมา
เยอรมนีเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นหนึ่งในชาติ มหาอำนาจ [ 22 ] [ 23 ] และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปรวมทั้งก่อตั้งสหภาพการเงินกับสมาชิกในสหภาพยุโรปอีก 17 ประเทศในชื่อ ยูโรโซน [ 24 ] และเป็นสมาชิกของ สหประชาชาติ, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, เนโท, กลุ่ม 7 [ 25 ] และ กลุ่ม 20 [ 26 ] เยอรมนีมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูง [ 27 ] โดยหากวัดจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เยอรมนีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก [ 28 ] และเป็นประเทศที่มีการนำเข้าและส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก [ 29 ] รวมทั้งมี ดัชนีการพัฒนามนุษย์ ในระดับสูง และยังเป็นประเทศที่มี แหล่งมรดกโลก มากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รวมทั้งมี สวัสดิการสังคม ที่มีคุณภาพ ระบบ สาธารณสุข ที่ครบวงจร กฎหมายสิ่งแวดล้อม ที่เข้มงวด และระบบการศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน [ 30 ]
มีหลักฐานมาตั้งแต่ยุคโบราณว่า ชื่อประเทศ “Germany” ใน ภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า “Germania” ใน ภาษาละติน โดยมีที่มาจากสมัยของ จูเลียส ซีซาร์ ซึ่งนำคำนี้มาใช้ในเรียกกลุ่มคนที่ตั้งรกรากและอาศัยอยู่แถบบริเวณตะวันออกของ แม่น้ำไรน์ [ 31 ] โดยในอดีต ภูมิภาคที่เป็นแผ่นดินของเยอรมนีรวมถึงบริเวณใกล้เคียงถูกเรียกว่า “ เจอร์มาเนีย ” ในส่วนของชื่อประเทศ “Deutschland” ใน ภาษาเยอรมัน แผลงมาจากคำว่า “Diutisciu land” ซึ่งมีความหมายว่า ดินแดนของ ชาวเยอรมัน ( The German lands ) ซึ่งมาจากภาษาเยอรมันยุคโบราณ
การค้นพบ โครงกระดูก ฟันกรามเมาเออร์ 1 ( Mauer 1 ) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว [ 32 ] เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี [ 33 ] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ “ นีแอนเดอร์ทาล “ เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมือง อุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้าง แมมมอธ และกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ [ 34 ] นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก “ ไลออนแมน ” ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ [ 35 ]
คาดการณ์ว่า กลุ่มชนเจอร์แมนิก ตั้งแต่ ยุคสัมฤทธิ์ ไปจนถึง ยุคเหล็ก ก่อนการก่อตั้ง กรุงโรม นั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของ สแกนดิเนเวีย ไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับ ชาวเคลต์ ในดินแดน กอล รวมไปถึง กลุ่มชนอิหร่าน, ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ใน ยุโรปกลาง และ ยุโรปตะวันออก [ 36 ] ต่อมา กรุงโรมภายใต้ จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่ม แม่น้ำไรน์ และ เทือกเขายูรัล ใน ค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับ อาร์มินีอุส แห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาใน ค.ศ. 100 ในช่วงที่ ตากิตุส เขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอด แม่น้ำไรน์ และ แม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ชนอลามันน์ ( Alemanni ), ชาวแฟรงก์ ( Franks ), ชาวชัตต์ ( Chatti ), ชาวแซกซอน ( Saxons ), ชาวซีกัม ( Sicambri ), และชาวเทือริง ( Thuringii ) ราว ค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน [ 37 ] ภายหลังการรุกรานของ ชาวฮัน ใน ค.ศ. 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ ค.ศ. 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่าง ๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
อาณาจักรแฟรงก์และการขยายดินแดน และถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรในปี 843 ใน ค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนา จักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาใน ค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของ จักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา [ 38 ] สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่ :
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัย พระเจ้าออทโทที่ 1 ในค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนา ราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค มีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรป
เดิมที ราชอาณาจักรปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเมื่อ จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดน ไซลีเซีย ของ ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค เกิดเป็นสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็น สงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย ที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮาพส์บวร์ค ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ตาม
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วง สงครามนโปเลียน ทำให้ในปี 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนา จักรวรรดิออสเตรีย ขึ้นมาแทน เมื่อ นโปเลียน ถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไป เกาะเอลบา ในปี 1814 ได้มีการจัด การประชุมใหญ่แห่งเวียนนา ขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวม ๆ ของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น “ สมาพันธรัฐเยอรมัน “ เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้ พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือ จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็น สงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า “ สงครามพี่น้อง ” สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม 1866 และนำไปสู่การสถาปนา “ สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ “ ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยใน สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้ พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนา จักรวรรดิเยอรมัน อย่างเป็นทางการ จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจาก ราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยใน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจน จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบ ประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดี
เมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เป็นที่มาของชื่อลำลองว่า “ สาธารณรัฐไวมาร์ ” ซึ่งตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย, ถูกจำกัดจำนวนทหารและห้ามมีอาวุธยุทโธปกรณ์สมรรถนะสูงจากผลของ สนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ พรรคกรรมกรเยอรมัน ( DAP ) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคและตัดสินใจเข้าร่วมพรรค ฮิตเลอร์ใช้พรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ของตนเองจนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค [ 39 ] ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น “ พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน “ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ พรรคนาซี ” [ 40 ] ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในปี 1929 นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเยอรมนีมาก ผู้คนนับล้านในเยอรมันตกงาน ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้หาเสียงและกวาดคะแนนนิยม ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 1932 พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน สภาไรชส์ทาค ครองที่นั่ง 230 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่าแม้นาซีจะเป็นพรรคใหญ่สุดแต่ก็ยังไม่ได้ครองเสียงข้างมาก จนกระทั่งเมื่อเกิด เหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาค ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 โดยกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพวกคอมมิวนิสต์ นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์กดดันให้ ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์ค ลงนามใน กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหว่านล้อมให้สภาลงมติอนุมัติ รัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็น “ ฟือเรอร์ “ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนีไปโดยปริยาย เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เขาได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเร่ง ฟื้นฟูแสนยานุภาพของเยอรมัน เป็นการใหญ่ ฮิตเลอร์ประกาศลดภาษีรถยนต์เป็นศูนย์และเร่งรัดให้มีการสร้างทางหลวง เอาโทบาน ทั่วประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมันเติบโตอย่างมโหฬาร เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เยอรมนีได้ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอีกครั้งและกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลกในทุกด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การแพทย์ และการทหาร เทคโนโลยีหลายอย่างของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นจากเยอรมนีในยุคนี้ อย่างไรก็ตามความรุ่งเรืองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขูดรีดแรงงานในค่ายกักกันที่มีอยู่มากมาย
ดินแดนในยึดครองของเยอรมัน
เขตอิทธิพล/รัฐหุ่นเชิดของเยอรมัน
สหภาพโซเวียต
สหราชอาณาจักรและอาณานิคม แผนที่สงครามในทวีปยุโรป ค.ศ. 1942 ในปี 1938 หลังเยอรมนีผนวกบ้านพี่เมืองน้องอย่างออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ในที่สุด ฮิตเลอร์ส่งกองทัพเข้ายึดประเทศออสเตรียและประเทศเชโกสโลวาเกียโดยไม่สนคำครหา กลิ่นของสงครามเข้าปกคลุมทั้งทวีปยุโรป สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องการเลี่ยงสงครามจึงได้จัด การประชุมมิวนิก กับเยอรมนีในเดือนกันยายน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเยอรมนีจะไม่รุกรานดินแดนใดไปมากกว่านี้และจะไม่ก่อสงคราม แต่ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต่างสั่งสมกำลังเพื่อเตรียมเข้าสู่สงคราม ในปี 1939 การบุกยึดโปแลนด์ของเยอรมนี ได้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ตามด้วยการบุกครองประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและยังทำ กติกาสัญญาไตรภาคี เป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของ ยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก “ ไรช์เยอรมัน “ ( Deutsches Reich ) เป็น “ ไรช์เยอรมันใหญ่ ” ( Großdeutsches Reich ) หลังความล้มเหลวใน ปฏิบัติการบาร์บารอสซา ที่ สหภาพโซเวียต เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อ กองทัพแดง บุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ปฏิเสธที่จะหนีออกจากกรุงเบอร์ลินและตัดสินใจยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า “ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า “ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี ” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ ประเทศเยอรมนีตะวันตก “ มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุง บ็อน และ “ ประเทศเยอรมนีตะวันออก “ มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุง เบอร์ลินตะวันออก เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม ( Social Market Economy ) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตาม แผนมาร์แชลล์ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า “ ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ ” ( Economic miracle ) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วม องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( NATO ) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ( EEC ) ในปี 1957 เยอรมนีตะวันออกเป็นรัฐใน กลุ่มตะวันออก ( Eastern Bloc ) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีใน กติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของ โปลิตบูโร แห่ง พรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี ( SED ) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก “ กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ “ หรือที่เรียกว่า “ ชตาซี “ ( Stasi ) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม [ 41 ] เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ
ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้าง กำแพงเบอร์ลิน ขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ สงครามเย็น ระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ [ 42 ] [ 43 ] การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่ง การรวมประเทศเยอรมนี ในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วย การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปีให้หลัง
กรุงเบอร์ลินได้กลายเป็นเมืองหลวงของประเทศอีกครั้ง ในขณะที่ กรุงบ็อน ได้รับสถานะเฉพาะของบุนเดสชตัดท์ ( เมืองของรัฐบาลกลาง ) ที่ยังคงรักษากระทรวงของรัฐบาลกลางบางส่วนไว้ การย้ายที่ทำการรัฐบาลแล้วเสร็จในปี 1999 และเศรษฐกิจของเยอรมนีได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การรวมประเทศ เยอรมนีมีบทบาทอย่างแข็งขันใน สหภาพยุโรป ลงนามใน สนธิสัญญามาสทริชท์ ในปี 1992 และ สนธิสัญญาลิสบอน ในปี 2007 [ 44 ] และร่วมก่อตั้งยูโรโซน [ 45 ] เยอรมนีส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพใน คาบสมุทรบอลข่าน และส่งทหารไปยัง อัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย เนโท ในการขับไล่กลุ่ม ตอลิบาน [ 46 ] ใน การเลือกตั้งปี 2005 อังเกลา แมร์เคิล สร้างประวัติศาสตร์เป็น นายกรัฐมนตรี หญิงคนแรก ต่อมา ในปี 2009 รัฐบาลเยอรมนีอนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 5 หมื่นล้านยูโร [ 47 ] นโยบายทางการเมืองที่สำคัญของเยอรมนีในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ความก้าวหน้าของการบูรณาการในยุโรป และการเปลี่ยนแปลงไปใช้ พลังงานทดแทน ( Energiewende ) มาตรการเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์ ( pronatalism ) และกลยุทธ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจเพื่อก้าวสู่ อุตสาหรรม 4.0 [ 48 ] เยอรมนีได้รับผลกระทบจาก วิกฤตการณ์ผู้ย้ายถิ่นยุโรป ในปี 2015 โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศรับผู้อพยพกว่าล้านคน และพัฒนาระบบโควตาที่แจกจ่ายผู้อพยพไปทั่วรัฐ
เยอรมนีเป็นประเทศที่อยู่ตรงยุโรปกลางทำให้เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของ ทวีปยุโรป มีพรมแดนทางทิศเหนือติด ทะเลเหนือ เดนมาร์ก และ ทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติด โปแลนด์ และ เช็กเกีย ทิศใต้ติด ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติด ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และ เนเธอร์แลนด์ และยังมีพรมแดนติดกับ ทะเลสาบโบเดิน ที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ3ในทวีปยุโรป [ 49 ] ประเทศเยอรมนีมีขนาด 357,021 ตารางกิโลเมตรโดยแบ่งเป็นพื้นดิน 349,223 ตารางกิโลเมตร และพื้นน้ำ 7,798 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ใน ทวีปยุโรป และใหญ่เป็นอันดับ 62 ของโลก [ 4 ] และด้วยพรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3,757 กิโลเมตรมีประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดใน ทวีปยุโรป [ 50 ] เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เยอรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำ [ 4 ]
ประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่มีสภาพอากาศที่อบอุ่น ฤดูหนาวมีอากาศตั้งแต่อากาศหนาวใน เทือกเขาแอลป์ ตอนใต้ไปถึงสภาพอากาศอบอุ่นและค่อนข้างเย็น โดยทั่วไปมีเมฆมากและมีปริมาณฝนจำกัด ในขณะที่ฤดูร้อนอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ร้อนทั่วไปและแห้งไปจนถึงอากาศเย็นและมีฝนตก ภาคเหนือมีลมตะวันตกพัดปกคลุมซึ่งนำอากาศชื้นจากทะเลเหนือทำให้อุณหภูมิลดลงและมีฝนเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2019 – 2020 อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนในเยอรมนีอยู่ในช่วงต่ำสุดที่ 3.3 ° C ( 37.9 ° F ) ในเดือนมกราคม 2020 จนถึงสูงสุด 19.8 ° C ( 67.6 ° F ) ในเดือนมิถุนายน 2019 [ 51 ] ปริมาณน้ำฝนรายเดือนเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 30 ลิตรต่อตารางเมตรในเดือนกุมภาพันธ์และเมษายน 2019 ถึง 125 ลิตรต่อตารางเมตรในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ชั่วโมงแสงแดดเฉลี่ยรายเดือนอยู่ระหว่าง 45 ในเดือนพฤศจิกายน 2019 ถึง 300 ในเดือนมิถุนายน 2019 [ 52 ] อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในเยอรมนีคือ 42.6 ° C เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2019 ในเมืองลินเกน และอุณหภูมิต่ำสุดคือ −37.8 ° C เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1929 ในเมืองโวห์นซาค [ 53 ] [ 54 ]
ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน ( 34 % ) ป่าไม้ ( 30.1 % ) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8 % [ 55 ] พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช, โอ๊ก และต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์, เฟิร์น, คอร์นฟลาวเวอร์, เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง, หมูป่า, แพะภูเขา, หมาจิ้งจอกแดง, แบดเจอร์ยุโรป, กระต่ายป่า และอาจมี บีเวอร์ บริเวณชายแดน ประเทศโปแลนด์ ด้วย [ 56 ] : ซึ่ง คอร์นฟลาวเวอร์ สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วย [ 57 ] เยอรมนีมี อุทยานแห่งชาติ 16 แห่ง รวมถึง เขตสงวนชีวมณฑล 17 แห่ง [ 58 ] และ สวนสัตว์ มากถึง 400 แห่ง [ 59 ] สวนสัตว์เบอร์ลิน ( Zoologischer Garten Berlin) เป็นสวนสัตว์ที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในเยอรมนี เปิดบริการมาตั้งแต่ ค.ศ. 1844 และได้รับการยอมรับให้เป็นสวนสัตว์ที่มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากที่สุดในโลก [ 60 ]
การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ ( Grundgesetz ) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า “ กฎหมายพื้นฐาน ” ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภาและ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ, โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้
ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ ( เยอรมัน : Bundesland บุนเดสลันด์ ) ในจำนวนนี้ เบอร์ลิน และ ฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ ( เยอรมัน : Stadtstaaten ชตัดท์ชตาเทิน ) ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือ เบรเมิน และ เบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น ( เยอรมัน : Flächenländer แฟลเชินแลนเดอร์ ) ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯ
ตำแหน่ง ประธานาธิบดี ( Bundespräsident ) เป็นตำแหน่ง ประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสหพันธ์ ( Bundesversammlung ) ซึ่งประกอบสมาชิกของ Bundestag และตัวแทนของแต่รัฐต่าง ๆ ในจำนวนเท่ากัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ ฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ( เยอรมัน : Bundeskanzler ; อังกฤษ : Chancellor ) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ โอลัฟ ช็อลทซ์
ประเทศเยอรมนีมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 14 กระทรวง ได้แก่
กระทรวง
ชื่อเยอรมัน
อักษรย่อ
1
กระทรวงกลาโหม
Bundesministerium der Verteidigung
BMVg
2
กระทรวงยุติธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค
Bundesministerium der Justiz und für Verbraucherschutz
BMJV
3
กระทรวงการคลัง
Bundesministerium der Finanzen
BMF
4
กระทรวงมหาดไทย
Bundesministerium des Innern
BMI
5
สำนักงานการต่างประเทศ
Auswärtiges Amt
AA
6
กระทรวงเศรษฐกิจและพลังงาน
Bundesministerium für Wirtschaft und Energie
BMWi
7
กระทรวงแรงงานและกิจการสังคม
Bundesministerium für Arbeit und Soziales
BMAS
8
กระทรวงกิจการครอบครัว ผู้สูงอายุ สตรีและเยาวชน
Bundesministerium für Familie, Senioren, Frauen und Jugend
BMFSFJ
9
กระทรวงสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ อาคารและความปลอดภัยของนิวเคลียร์
Bundesministerium für Umwelt, Naturschutz, Bau und Reaktorsicherheit
BMUB
10
กระทรวงอาหารและการเกษตร
Bundesministerium für Ernährung und Landwirtschaft
BMEL
11
กระทรวงพัฒนาการและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
Bundesministerium für wirtschaftliche Zusammenarbeit und Entwicklung
BMZ
12
กระทรวงสาธารณสุข
Bundesministerium für Gesundheit
BMG
13
กระทรวงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิตอล
Bundesministerium für Verkehr und digitale Infrastruktur
BMVI
14
กระทรวงศึกษาธิการและการวิจัย
Bundesministerium für Bildung und Forschung
BMBF
อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สภาผู้แทนราษฎร ( Bundestag ) ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ คณะมนตรีสหพันธ์ ( Bundesrat ) เป็นสภาผู้แทนรัฐทั้งสิบหกของสหพันธ์ ทำหน้าที่เป็นสภาสูง ระบบพรรคการเมืองของเยอรมนีมีเพียงสองพรรคการเมืองหลักคือ พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน ( CDU ) และ พรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี ( SPD ) โดยจนถึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมาจากเพียงสองพรรคนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีพรรคที่เล็กกว่าซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่าง พรรคประชาธิปไตยเสรี ( FDP ) และกลุ่ม พันธมิตร 90/กรีน ( Bündnis 90/Die Grünen ) ซึ่งมักเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสม
เยอรมนีมีระบบ กฎหมายแพ่ง ที่อิงกฎหมายโรมันและกฎหมายเจอร์แมนิกบางส่วน Bundesverfassungsgericht ( ศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐ ) เป็นศาลฎีกาของเยอรมันที่รับผิดชอบงานรัฐธรรมนูญ โดยมีอำนาจพิจารณาพิพากษา [ 63 ] ระบบศาลสูงสุดของเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษสำหรับคดีแพ่งและคดีอาญา ศาลอุทธรณ์สูงสุดคือศาลยุติธรรมแห่งสหพันธรัฐ ศาลอื่น ๆ ได้แก่ ศาลแรงงานแห่งสหพันธรัฐ ศาลสังคมแห่งสหพันธรัฐ ศาลการเงินแห่งสหพันธรัฐ และศาลปกครอง [ 64 ] เยอรมนีมีอัตราการฆาตกรรมต่ำ โดยมีการฆาตกรรม 1.18 ครั้งต่อ 100,000 คน ณ ปี 2016 และในปี 2018 อัตราการเกิดอาชญากรรมโดยรวมลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1992 [ 65 ]
เยอรมนีมีเครือข่ายคณะทูต 227 แห่งในต่างประเทศ [ 66 ] และรักษาความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มากกว่า 190 ประเทศ [ 67 ] เยอรมนีเป็นสมาชิกของ เนโท, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, กลุ่ม 8, กลุ่ม 20, ธนาคารโลก และ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เยอรมนีมีบทบาทที่ทรงอิทธิพลในสหภาพยุโรปตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และยังคงเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งกับฝรั่งเศสและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดมาตั้งแต่ปี 1990 เยอรมนีส่งเสริมการสร้างเครื่องมือทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงของยุโรปที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น [ 68 ] [ 69 ] รัฐบาลของเยอรมนีและสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่ใกล้ชิด [ 70 ] ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้สร้างความผูกพันระหว่างสองประเทศ นโยบายการพัฒนาของเยอรมนีเป็นเขตอิสระของนโยบายต่างประเทศ จัดทำโดยกระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธรัฐและดำเนินการโดยองค์กรที่ดำเนินการ รัฐบาลเยอรมนีมองว่านโยบายการพัฒนาเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศ เยอรมนียังเป็นชาติผู้บริจาคเงินช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในปี 2019 รองจากสหรัฐอเมริกา
ประเทศเยอรมนีกับ ประเทศฝรั่งเศส มีบทบาทเป็นผู้นำของ สหภาพยุโรป และกำลังมุ่งหน้าสู่การรวมการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศสมาชิก มาขึ้นกับสหภาพยุโรปมากขึ้น หลังจากแพ้ สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุค นาซีเยอรมนี เยอรมนีพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการทหารของประเทศอื่นมากนัก พฤติกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงในปี 1999 เมื่อเยอรมนีตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วม สงครามคอซอวอ เยอรมนีและฝรั่งเศสยังเป็นประเทศหลักที่คัดค้านการรุกราน ประเทศอิรัก ของ สหรัฐ ในปี 2003 ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังพยายามเข้าเป็นสมาชิกถาวรของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ [ 71 ] [ 72 ] เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น และ บราซิล
- การทูต
ในสมัยที่เยอรมนียังคงแยกเป็นรัฐเสรีหลายรัฐ ได้มีรัฐสำคัญอย่าง ปรัสเซีย ที่จัดตั้งจัดตั้งคณะทูตสันถวไมตรีแห่งปรัสเซียมายังสยาม โดยมีหัวหน้าคณะทูตคือ เคานท์ ซู ออยเลนบวร์ก พร้อมคณะ ซึ่งประกอบด้วย นักวิทยาศาสตร์ กับชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ โดยเดินทางมาถึงสยาม ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2405 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การเจรจาการค้าพระราชไมตรี ด้านการค้าและการเดินเรือระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2406 โดยมีเจ้าฟ้า กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งทางปรัสเซียไม่มีนโยบายล่าอาณานิคมในแถบ เอเชียอาคเนย์ การเจรจาเสร็จสิ้นและลงนามสัญญา ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2406 โดยสัญญาระบุถึงการปฏิบัติไมตรีต่อกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2422 ได้มีการตั้งสถานทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และ พ.ศ. 2431 ได้มีการเลื่อนระดับสถานกงสุลเยอรมนีขึ้นเป็นสถานอัครราชทูตเยอรมนี ณ กรุงเทพมหานคร
Read more: Sevilla FC
- การเมือง
- เศรษฐกิจและการค้า
- การท่องเที่ยว
บุนเดิสแวร์ ( Bundeswehr ) คือชื่อเรียกกองทัพปัจจุบันของเยอรมนี แบ่งออกเป็นสามเหล่าคือ กองทัพบก ( Heer ) กองทัพเรือ ( Marine ) และกองทัพอากาศ ( Luftwaffe ) กองทัพเยอรมันมีงบประมาณมากเป็นอันดับเก้าของโลก [ 73 ] ในปี 2015 งบประมาณทหารของเยอรมนีอยู่ที่ 32.9 พันล้านยูโรซึ่งคิดเป็น 1.2 % ของจีดีพีของประเทศ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของนาโต้ 2 % [ 74 ] ในปี 2015 บุนเดิสแวร์มีกองกำลังทหารถึง 178,000 นายและมีทหารอาสาอีก 9,500 นาย [ 75 ] และในปี 2001 เยอรมนียังมีการส่งทหารออกไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศด้วยซึ่งเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย [ 76 ] [ 77 ] โดยทหารผู้หญิงนั้นมีประมาณ 19,000 นายที่ประจำการอยู่ในกองทัพ และในปี 2014 ได้มีการอ้างอิงจาก SIPRI ว่าประเทศเยอรมนีมีการส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศมากเป็นอันดับ4ของโลก [ 78 ] แต่ถ้าหากไม่มีสงครามหรือการก่อการร้าย บุนเดิสแวร์จะได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ปกป้องนายกรัฐมยตรีหรือบุคคลสำคัญ [ 79 ]
บทบาทของบุนเดิสแวร์ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเยอรมนีว่ามีเพื่อปกป้องและป้องกันประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ได้วินิจฉัยบทบัญญัติดังกล่าวไว้ในปี 1994 ว่าการปกป้องในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องอาณาเขตและดินแดนของประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปฏิกิริยาหรือวิกฤติความขัดแย้งจากต่างประเทศหรือที่อื่น ๆ บนโลกที่อาจกว้างขึ้นจนอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเยอรมนีได้ ในเดือนมกราคมปี 2015 กองทัพเยอรมันมีกองกำลังประจำการอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2,370 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความสงบระหว่างประเทศรวมถึงกองกำลังของบุนเดิสแวร์เช่น ในกองทัพนาโต้ที่ปฏิบัติภารกิจใน ประเทศอิรัก, ประเทศอัฟกานิสถาน และ ประเทศอุซเบกิสถาน จำนวน 850 นาย และทหารเยอรมันใน ประเทศคอซอวอ 670 นาย และกองกำลังร่วมด้วย UNIFIL ใน ประเทศเลบานอน 120 นาย [ 80 ] จนในปี 2011 การรับราชการทหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายที่มีอายุ 18 ปี และมีหน้าที่รับราชการทหารเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นทหารสามารถเลือกเป็น Zivildienst ( การบริการประชาชน ) เป็นเวลา 6 เดือนได้ หรืออาจเป็นทหารอาสา 6 ปี หรือการบริการฉุกเฉินเช่นแผนกดับเพลิงหรือกาชาด [ 81 ] [ 82 ]
ประเทศเยอรมนีมี ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจาก สหรัฐ และ ประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมี ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2002 ถึง 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70 % ของจีดีพี รวมอุตสาหกรรม 29.1 %, 0.9 % และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ สินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของเยอรมนี ได้แก่ ยานพาหนะ เครื่องจักร สินค้าเคมี ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ยา อุปกรณ์ขนส่ง โลหะพื้นฐาน ผลิตภัณฑ์อาหาร ยางและพลาสติก เยอรมนีเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเดียวในยุโรปซึ่งมีผู้บริโภคมากกว่า 450 ล้านคน [ 83 ] ในปี 2017 เศรษฐกิจประเทศคิดเป็น 28 % ของเศรษฐกิจ ยูโรโซน ตาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เยอรมนีใช้สกุลเงินทั่วไปของยุโรปนั่นคือ ยูโร นโยบายการเงินของประเทศถูกกำหนดโดย ธนาคารกลางยุโรป ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ใน แฟรงค์เฟิร์ต [ 84 ] การวิจัยและพัฒนา เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมนี [ 85 ] [ 86 ] [ 87 ] [ 88 ] ในปี 2018 เยอรมนีอยู่ในอันดับ 4 ของโลกในแง่ของจำนวนผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมที่ได้รับการตีพิมพ์ [ 89 ] และเยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 9 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลกในปี 2019 และ 2020
เยอรมนีเป็นประเทศที่มีผู้ท่องเที่ยวเข้ามามากเป็นอันดับเก้าของโลก ณ ปี 2017 [ 90 ] โดยมีการเดินทางเข้าประเทศถึง 37.4 ล้านครั้ง เบอร์ลิน กลายเป็นเมืองปลายทางที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับสามของยุโรป [ 91 ] การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับเยอรมนีมากกว่า 105.3 พันล้านยูโรต่อจีดีพีรวมของเยอรมนี และยังส่งผลในเชิงบวกในการกระตุ้นให้มีการจ้างงานเพิ่มถึง 4.2 ล้านตำแหน่ง [ 92 ] สถานที่ยอดนิยมของเยอรมนี ได้แก่ [ 93 ] มหาวิหารโคโลญ ประตูเมืองบรันเดนบูร์ก พระราชวัง Reichstag Dresden Frauenkirche ปราสาทน็อยชวานชไตน์ ปราสาทไฮเดิลแบร์ค และสวนสนุกและรีสอร์ท Europa-Park ใกล้เมือง ไฟรบวร์คอิมไบรส์เกา เป็นรีสอร์ทสวนสนุกที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสองของยุโรป [ 94 ]
การคมนาคม และโทรคมนาคม [แก้ ]
ถนน 650,000 กิโลเมตร ราง 41,315 กิโลเมตร ลำน้ำและชายฝั่ง 7,500 กิโลเมตร ท่าอากาศยาน 58 ท่า ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 41,315 กิโลเมตร ติดระบบรถไฟฟ้า 19,857 กิโลเมตร ผู้โดยสาร 19,500 ล้านเที่ยว สินค้า 415.4 ล้านตันต่อปี รถจักร 7,734 คัน รถ DMU ( ดีเซลราง ) และ EMU ( รถไฟฟ้าราง ) 15,762 คัน
เยอรมนีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมการขนส่งในทวีปยุโรปเนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางของทวีป [ 95 ] เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันตกเส้นทางและเครือข่ายถนนของเยอรมนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศในกลุ่มที่มีเส้นทางคมนาคมที่หนาแน่นที่สุดในโลก [ 96 ] มีมอเตอร์เวย์ ออโตบาห์น ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นที่ทราบกันดีว่าถนนเส้นนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว [ 97 ] เยอรมนีได้มีการจัดตั้งเครือข่าย รถไฟความเร็วสูง ที่ชื่อ อินเตอร์ซิตี-เอ็กซ์เพรส ซึ่งจะวิ่งผ่านเมืองสำคัญ ๆ ในเยอรมันและในประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ด้วยความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง [ 98 ] ทางรถไฟของเยอรมันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีเงินสนับสนุนมากถึง 17 พันล้านยูโรในปี 2014 [ 99 ] ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต และ ท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิก และมีสายการบินที่ใหญ่ที่สุดคือ ลุฟต์ฮันซา และยังมีสนามบินอื่น ๆ อีกด้วยเช่น ท่าอากาศยานเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์ และ ท่าอากาศยานฮัมบวร์ค [ 100 ] และยังมี ท่าเรือฮัมบวร์ค ที่เป็นท่าเรือที่คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก [ 101 ]
ในปี 2015 เยอรมนีเป็นประเทศที่ใช้พลังงานมากเป็นอันดับ 7 ของโลก [ 102 ] รัฐบาลตกลงที่จะยุติ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทั้งหมดภายในปี 2021 [ 103 ] ตอบสนองความต้องการพลังงานของประเทศโดยใช้แหล่ง พลังงานหมุนเวียน 40 % [ 104 ] เยอรมนียึดมั่นใน ความตกลงปารีส และสนธิสัญญาอื่น ๆ อีกหลายฉบับที่ส่งเสริม ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการปล่อยมลพิษต่ำ และการจัดการน้ำที่ดี [ 105 ] [ 106 ] อัตรา การรีไซเคิล ในครัวเรือนของประเทศอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลกประมาณ 65 % [ 107 ] การปล่อย ก๊าซเรือนกระจก ต่อหัวของประเทศนั้นสูงเป็นอันดับ 9 ในสหภาพยุโรปในปี 2018 [ 108 ] หลายปีที่ผ่านมา นโยบายการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของเยอรมนี (Energiewende) เป็นการเคลื่อนไหวที่ได้รับการยอมรับสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยใช้วิธีการประหยัดพลังงานและพลังงานหมุนเวียน
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ใน ค.ศ. 1921. เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ มักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของ แวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค, แฮร์มัน ฟ็อน เฮ็ล์มฮ็อลทซ์, โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์, การีเอิล ดานีเอิล ฟาเรินไฮท์ และ วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901 นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นแฮร์ ฟ็อน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของ โครงการอะพอลโล งานของ ไฮน์ริช แฮทซ์ ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ internet explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์ การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2010 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18 % คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95 % ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11 % ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 % ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2009-10 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2010 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24 % และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12 %
การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6-18 ปี รวมทั้งหมด 12 ปี [ 109 ] ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับอย่างน้อย 9 ปี ( ในบางรัฐ 10 ปี ) [ 110 ] หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงานซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมนีมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนมีอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้น ประถมศึกษา เป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับ มัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่ : [ 111 ] Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป และวิชาแนะนำวิชาชีพ หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ, Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป ( Secondary General School ) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ ( Grammar School ) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะที่ต้องเรียนเต็มเวลา, Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11-13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา ( Course ) ที่ถนัดเพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และสุดท้าย Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภทเข้าด้วยกัน นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5-10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 [ 112 ] ระดับอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยของเยอรมนีจะแบ่งสถาบันออกเป็น 3 ประเภทหลัก ( จำแนกตามสาขาวิชา ) ได้แก่ [ 113 ] 1. มหาวิทยาลัยทั่วไป (Universitäten): เป็นการเรียนการสอนหลักสูตรทั่วไปเช่นเดียวกับประเภทอื่น ๆ โดยมีสาขาวิชาที่หลากหลายเช่น สังคมศาสตร์ การสื่อสาร ภาษา 2. มหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Fachhochschulen): จะเน้นไปทางการปฏิบัติและประยุกต์ใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่มีการมอบหมายงานให้ลงมือทำจริงในสถานที่จริงทั้งภายในมหาวิทยาลัยหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นไปที่สาขาวิชาสารสนเทศ, วิศวกรรมศาสตร์, เทคโนโลยี, ธุรกิจ, สังคมศาสตร์, การออกแบบ, ศึกษาศาสตร์, พยาบาลศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ 3. มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปศาสตร์ ดนตรี และภาพยนตร์ (Kunst- und Musikhochschulen): มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปศาสตร์ ดนตรี และภาพยนตร์ได้จัดสรรรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความเป็นอิสระที่สุดให้กับนักเรียนนักศึกษา ซึ่งกระบวนการเรียนที่มหาวิทยาลัยวางไว้ก็จะสามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ก่อนเข้าศึกษาผู้สมัครอาจจะต้องทำแบบทดสอบความถนัดเพื่อพิสูจน์ความสามารถทางศิลปะของตัวเองในสาขาที่เลือกเรียนก่อน วิชาที่เปิดสอนจะค่อนข้างมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วิจิตรศิลป์, การออกแบบเชิงแฟชั่น, ภาพยนตร์, ดนตรี ไปจนถึงการออกแบบเชิงกราฟิก
ระบบโรงพยาบาลของเยอรมนีที่เรียกว่า Krankenhäuser มีมาตั้งแต่ ยุคกลาง [ 114 ] และในปัจจุบัน เยอรมนีมีระบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สืบเนื่องมาจากกฎหมายทางสังคมของ Bismarck ในยุค 1880 นับตั้งแต่ทศวรรษ 1880 การปฏิรูปและข้อกำหนดต่าง ๆ ได้ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพมีความสมดุล ประชากรได้รับการคุ้มครองโดยแผนประกันสุขภาพที่กำหนดโดยกฎเกณฑ์ โดยมีเกณฑ์ที่อนุญาตให้บางกลุ่มเลือกทำสัญญาประกันสุขภาพส่วนบุคคลได้ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบบการดูแลสุขภาพของเยอรมนีได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล 77 % และทุนเอกชน 23 % ในปี 2013 และ ในปี 2014 เยอรมนีมีค่าใช้จ่ายกว่า 11.3 % ของจีดีพีทั้งหมดในการดูแลสุขภาพประชาชน [ 115 ] เยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลกในปี 2013 ในด้านอายุขัยโดยรวม โดยเพศชายที่ 77 ปี และเพศหญิงที่ 82 ปี และมีอัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดต่ำมาก ( 4 ต่อ 1,000 คน ) ในปี 2019 สาเหตุหลักของการเสียชีวิตคือ โรคหัวใจและหลอดเลือด อยู่ที่ 37 % [ 116 ] แต่ โรคอ้วน ในเยอรมนียังเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญ การศึกษาในปี 2014 พบว่าร้อยละ 52 ของประชากรชาวเยอรมันที่เป็นผู้ใหญ่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน [ 117 ]
การประกันสังคมในประเทศเยอรมนี ถือเป็นแก่นสำคัญของระบบ สังคมสงเคราะห์ [ 118 ] ค.ศ 1883 มีการตรา กฎหมาย เกี่ยวกับการประกันภัยความ เจ็บป่วย ได้ ค.ศ 1884 มีกฎหมายประกัน อุบัติเหตุ ค.ศ 1889 มีกฎหมายประกันทุพพลภาพและประกันผู้ชรา ทุกวันนี้ลูกจ้างจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ในกรณีการจ่ายเงินประกันบำนาญได้มาจากการบำรุงของนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐช่วยออกสะสมส่วนหนึ่ง อัตราเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงินรายได้หรือขึ้นอยู่กับเบี้ยประกันที่ชำระไป [ 119 ] ข้าราชการรวมทั้งผู้พิพากษาและทหารมืออาชีพรับเงินบำนาญ ตามที่กฎหมายข้ารัฐการของหน่วยงานตนกำหนด ในกรณีที่มีการเจ็บป่วย ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิได้รับค่าแรงงานเต็มอัตราเป็นเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นบริษัทประกันเจ็บป่วยจะจ่ายเงินค่าป่วยไข้ให้อีกทั้ง 72 สัปดาห์ บริษัทประกันเจ็บป่วยนี้ต้องรับภาระค่ารักษาโรคทั่วไป ค่ารักษาโรคฟัน ค่ายาและค่าโรงพยาบาล ในกรณีที่มีอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินประกันอุบัติเหตุ และบำนาญที่จ่ายจะได้รับการจ่ายให้เป็นรายปี [ 120 ] นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 1971 การประกันอุบัติเหตุตามกฎหมายได้ขยายรวมถึงนักศึกษา และนักเรียน เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่ประสบความสำเร็จในการจัดหลักประกันด้านสังคมและสุขภาพให้แก่ประชาชนด้วยระบบประกันสังคมภาคบังคับ หลักการพื้นฐานของระบบการเมืองเยอรมันคือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ( Solidarity ) การกระจายอำนาจและบทบาทหน้าที่ระหว่างหน่วยงานรัฐ ( ส่วนกลาง ภูมิภาค ) และเอกชน ( Subsidiarity ) และ การมีองค์กรร่วม ( Corporatist constitution ) ระบบสุขภาพเองก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว ระบบบริการสุขภาพของเยอรมนีนั้น ภาครัฐมีบทบาทหลักในการสร้างกรอบกฎหมายในการควบคุม ในขณะที่การดำเนินงานนั้นกระจายให้องค์กรเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ การปฏิรูปในเยอรมนีนั้นมุ่งเน้นการให้ประโยชน์กับประชาชนและสังคม การกำหนดให้มีกฎหมายประกันสุขภาพทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประกันด้านสุขภาพแบบทั่วหน้า การปฏิรูปช่วงหลังที่มุ่งเน้นการควบคุมรายจ่ายนั้นก็เป็นความพยายามในการควบคุมพฤติกรรมของผู้ให้บริการและโรงพยาบาลเป็นหลัก เพื่อควบคุมไม่ให้รายจ่ายด้านสุขภาพนั้นเพิ่มมากกว่ารายได้ของประชาชน
ประชากรในเยอรมนีกระจายตัวอยู่แตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาคนั่นคือประมาณหนึ่งในสามของประชากรได้แก่ประมาณ 25 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใน 82 เมืองใหญ่ ส่วนอีก 50.5 ล้านคนอยู่ในชุมชนและเมืองที่มีประชากรระหว่าง 2,000 ถึง 100,000 คน นอกจากนั้นอีกประมาณ 6.4 ล้านคนอาศัยอยู่ในย่านที่มีประชากรไม่เกิน 2,000 คน บริเวณผู้อพยพเข้าในเบอร์ลิน ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนี มีประชากรมากกว่า 4.3 ล้านคน ในเขตอุตสาหกรรมริมแม่น้ำไรน์ และรัวร์ ที่ซึ่งเมืองต่าง ๆ มักเหลื่อมล้ำเข้าหากัน เพราะไม่มีเส้นขีดคั่นอย่างชัดเจนนั้นมีประชากรมากว่า 11 ล้านคน กล่าวคือ 1,100 คนต่อตารางกิโลเมตร ภูมิภาคอันมีประชากรหนาแน่นดังกล่าวนี้แตกต่างจากอาณาบริเวณที่มีประชากรเบาบางมาก อาทิเช่น บริเวณอันกว้างใหญ่ของรัฐมาร์ค บรันเดนบวร์ก และเมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเฟิร์น เยอรมนีมีประชากรหนาแน่นถึง 230 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นมากแห่งหนึ่งในยุโรป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริเวณสหพันธ์ดั้งเดิม กับบริเวณอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน กล่าวคือในรัฐใหม่ของสหพันธ์ฯ และเบอร์ลินตะวันออกมีประชากรหนาแน่นถึง 140 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่รัฐของสหพันธ์ฯ เดิม มีประชากรหนาแน่นถึง 267 คนต่อตารางกิโลเมตร [ 121 ] เยอรมนีเป็นปลายทางการย้ายถิ่นฐานที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ [ 122 ] ผู้อพยพส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเยอรมนีตะวันตกโดยเฉพาะในเขตเมือง จากจำนวนผู้อยู่อาศัยในประเทศ 18.6 ล้านคน ( 22.5 % ) เป็นผู้อพยพหรือผู้ย้ายถิ่นฐานบางส่วนในปี 2016 นอกจากนี้ ในปี 2015 กองประชากรของกรมเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติระบุว่าเยอรมนีเป็นปลายทางของผู้อพยพระหว่างประเทศที่มีจำนวนสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก [ 123 ] ประมาณ 5 % หรือ 12 ล้านคนจากทั้งหมด 244 ล้านคน [ 124 ] ณ ปี 2018 เยอรมนีอยู่ในอันดับที่ 5 ในสหภาพยุโรปในแง่ของเปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพในประชากรของประเทศที่ 12.9 %
- เยอรมัน 91.5%
- ตุรกี 2.4%
- อื่น ๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโคเอเชีย เป็นกลุ่มใหญ่)
ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาประจำชาติของเยอรมนี และยังเป็นหนึ่งใน 24 ภาษาทางการของ สหภาพยุโรป และเป็นหนึ่งในสามภาษาของของ คณะกรรมาธิการยุโรป ภาษาเยอรมันเป็นภาษาแรก ๆ ที่เริ่มพูดกันอย่างแพร่หลายในสหภาพยุโรป [ 125 ] โดยมีเจ้าของภาษาประมาณ 100 ล้านคน ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้กันในเยอรมนี ได้แก่ ภาษาเดนมาร์ก ภาษาเรนนิช ภาษาเซอร์เบียน ภาษาโรมานี ภาษาฟริเซียนเหนือ และภาษาแซเทอร์ลันด์ฟรีเซียน ภาษาเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองโดยกฎบัตรยุโรปสำหรับภาษาในภูมิภาคหรือชนกลุ่มน้อยให้สามารถใช่ได้ในทวีปยุโรป นอกจากนี้ยังมีภาษาจากกลุ่มผู้อพยพที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ ตุรกี อาหรับ เคิร์ด โปแลนด์ ภาษาบอลข่าน และรัสเซีย โดยทั่วไปแล้ว ชาวเยอรมันสามารถพูดได้หลายภาษา : 67 % ของพลเมืองเยอรมันอ้างว่าสามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศอย่างน้อยหนึ่งภาษา และ 27 % สามารถสื่อสารได้อย่างน้อยสองภาษา [ 126 ]
การสำรวจสำมะโนประชากรของเยอรมันในปี 2011 แสดงให้เห็นว่า ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี โดย 66.8 % ระบุว่าตนเองเป็น คริสเตียน 31.7 % ประกาศว่าตนเองเป็น โปรเตสแตนต์ รวมทั้งสมาชิกของคริสตจักรอีแวนเจลิคัลในเยอรมนี [ 127 ] ( ซึ่งรวมถึงสหภาพลูเธอรัน ) และคริสตจักรอิสระ ( เยอรมัน : Evangelische Freikirchen ) ; 31.2 % ประกาศว่าตนเองเป็นชาว โรมันคาทอลิก และผู้นับถือ ออร์โธดอกซ์ คิดเป็น 1.3 % ตามข้อมูลจากปี 2016 คริสตจักรคาทอลิกและ คริสตจักรอีแวนเจลิคัล อ้างว่ามีสมาชิก 28.5 % และ 27.5 % ตามลำดับ [ 128 ] ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 1.9 % ของประชากรสำมะโน ( 1.52 ล้านคน ) นับถืออิสลาม ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนีและอาเลวีจาก ตุรกี แต่มีชาวชีอะห์ อามาดิยาส และนิกายอื่น ๆ จำนวนน้อย ศาสนาอื่นมีประชากรน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรเยอรมนีทั้งหมด
วัฒนธรรมในเยอรมนีถูกกำหนดโดยกระแสทางปัญญาและกระแสนิยมในยุโรป ในอดีต เยอรมนีได้รับการขนานนามว่า Das Land der Dichter und Denker (‘ดินแดนแห่งกวีและนักคิด’) เนื่องจากบทบาทหลักที่นักเขียนและนักปรัชญาของเยอรมนีในการพัฒนาความคิดแบบตะวันตก ผลสำรวจความคิดเห็นทั่วโลกของ BBC เปิดเผยว่าวัฒนธรรมของเยอรมนีมีอิทธิพลเชิงบวกมากที่สุดในโลกในปี 2013 และ 2014 [ 129 ] เยอรมนีเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องประเพณีเทศกาลพื้นบ้าน เช่น เทศกาลอ็อกโทเบอร์เฟสต์และเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งรวมถึงการประกวดการแต่งกายคริสต์มาส [ 130 ] ต้นคริสต์มาส เค้กสตอลเลน และงานรื่นเริงอื่น ๆ [ 131 ] ในปี 2016 ยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนสถานที่รวมถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ 41 รายการให้เป็นมรดกโลก วันหยุดนักขัตฤกษ์ในเยอรมนีโดยมากจะกำหนดโดยแต่ละรัฐ และทุกวันที่ 3 ตุลาคมจะถือเป็นวันชาติมาตั้งแต่ปี 1990 โดยมีการเฉลิมฉลองเป็น Tag der Deutschen Einheit [ 132 ] (German Unity Day)
งานเขียนของชาวเยอรมันมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ ยุคกลาง [ 133 ] โดยมีนักเขียนที่มีความสามารถและสร้างผลงานออกมามากมาย งานวรรณกรรมมักเขียนด้วย ภาษาเยอรมัน เป็นภาษาหลัก [ 134 ] และหลายเรื่องก็ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีเชื้อสายเยอรมันได้แก่ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ในปัจจุบันวรรณกรรมเยอรมนียังคงยึดการใช้ภาษาเยอรมันเป็นหลัก แต่ก็มีการใช้ภาษาท้องถิ่นบ้าง งานเขียนมักสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ประเทศ การทำสงคราม ความบอบช้ำหลังการพ่ายแพ้สงครามโลก และความรักวัยรุ่น นิยายแนวเสียดสีสังคมมีให้เห็นบ้างในปัจจุบันแต่ไม่มากนัก นักเขียนผู้มีอิทธิพลของศตวรรษที่ 20 ได้แก่ แกร์ฮาร์ท เฮาพท์มัน, โทมัส มันน์, แฮร์มัน เฮ็สเซอ, ไฮน์ริช เบิล และ กึนเทอร์ กรัส ตลาดหนังสือในเยอรมนีใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและจีน สัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่แฟรงก์เฟิร์ตมีความสำคัญที่สุดในโลกในแง่การค้าระหว่างประเทศ [ 135 ] โดยมีประเพณีที่ยาวนานกว่า 500 ปี [ 136 ] สัปดาห์หนังสือไลพ์ซิกก็ได้รับความนิยมเช่นกัน
สถาปัตยกรรมของเยอรมนีได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมหลายชาติตั้งแต่ ยุคโบราณ ผสมผสานเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง [ 137 ] ในศตวรรษที่ 13 ศิลปะสไตล์โกธิค และ สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ มีบทบาทหลักในงานก่อสร้าง [ 138 ] แต่หลังจากการปฏิรูป นิกายโปรเตสแตนต์ ประเทศก็เริ่มได้รับอิทธิพลของศิลปะสไตล์ ยุคเรเนสซองส์ ในศตวรรษที่ 17 เยอรมนีเริ่มมีการฟื้นฟูรูปแบบสถาปัตยกรรมในประเทศ โดยมีการประดับตกแต่งอาคารต่าง ๆ มากขึ้น เช่น วิหาร โบสถ์ ต่อมา ในศตวรรษที่ 18 ศิลปะสิ่งปลูกสร้างของอิตาลีและฝรั่งเศสในสไตล์โรโคโคมีบทบาทหลักในเยอรมนีก่อนจะลดลงตามลำดับในศตวรรษที่ 19 เมื่อลัทธิ นีโอคลาสสิค มีบทบาทในยุโรป [ 139 ] ในปัจจุบัน รูปแบบสถาปัตยกรรมในเยอรมนีแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 และ 20 เมืองใหญ่ เช่น มิวนิก หรือ เบอร์ลิน ได้พัฒนาจากเขตเทศบาลขนาดเล็กมากไปจนถึงเมืองใหญ่ระดับโลก ดังนั้นวัฒนธรรมทางสถาปัตยกรรมเมืองของเยอรมนีจึงไม่ใช่แค่ในเมืองเท่านั้น แต่ยังถูกสร้างโดยเมืองขนาดกลาง เมืองเล็กในชนบท และหมู่บ้านขนาดใหญ่อีกด้วย
ประเทศเยอรมันมีนักดนตรี คีตกวีทางดนตรี นักประพันธ์ดนตรี ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน, โยฮัน เซบัสทีอัน บัค, โยฮันเนิส บรามส์, ริชชาร์ท วากเนอร์, จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล, โรแบร์ท ชูมัน, เฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน, คาร์ล ออร์ฟ เป็นต้น ปัจจุบันเยอรมนีเป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยุโรป และอันดับ 4 ของโลก [ 141 ] ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วง สกอร์เปียนส์ กับ วง รัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวง ป็อปร็อก ที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้น
อาหารเยอรมัน แตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของ บาวาเรีย และ ชวาเบิน ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบ สวิตเซอร์แลนด์ และ ออสเตรีย [ 142 ] หมูและไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค โดยหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด และเนื้อวัวก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เยอรมนียังขึ้นชื่อในด้านการแปรรูปเนื้อสัตว์ในรูปของ ไส้กรอก และแฮม ไส้กรอกเยอรมันเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเยอรมนีผลิตไส้กรอกมากกว่า 1500 ชนิด [ 143 ] อาหารอินทรีย์ ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0 % และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก ชาวเยอรมันมีคำพูดติดปากที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารว่า : “ รับประทานอาหารเช้าเช่นจักรพรรดิ กลางวันเช่นกษัตริย์ และอาหารเย็นเหมือนขอทาน ” อาหารเช้ามักประกอบด้วยขนมปังก้อนเล็ก [ 145 ] ( Brötchen ) [ 146 ] ทา แยม หรือ น้ำผึ้ง หรือทานกับเนื้อเย็นและชีส บางครั้งมี ไข่ต้ม ธัญพืช หรือ Muesli กับนมหรือโยเกิร์ต กว่า 300 ชนิดของขนมปังมีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศ ผู้อพยพจากหลายประเทศได้นำอาหารนานาชาติมาเผยแพร่จนทำให้เกิดความนิยมอาหารต่างชาติ เช่นอาหารอิตาเลียน พิซซา และ พาสตา อาหารตุรกีและอาหรับได้แก่ Döner และ Falafel โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นอกจากร้านอาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารนานาชาติแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีน กรีก อินเดีย ไทย ญี่ปุ่นและอื่น ๆ แม้ว่าไวน์จะเป็นที่นิยมในหลายประเทศ แต่ประเทศเยอรมนีเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ประจำชาติคือ เบียร์ [ 147 ] แม้คนเยอรมันจะบริโภคเบียร์ต่อคนจะลดลง แต่ปริมาณการบริโภคเบียร์ 127 ลิตรต่อปีต่อคนในเยอรมนีก็ยังคงเป็นตัวเลขสูงที่สุดในโลก [ 148 ] ชนิดของเบียร์ในเยอรมนีได้แก่ Alt, Bock, Dunkel, Kölsch, เลเกอร์, Malzbier, Pils และ Weizenbier นอกจากนี้ น้ำแร่อัดลม และ Schorle ( ผสมกับ น้ำผลไม้ ) ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
เทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้แก่ อ็อกโทเบอร์เฟสต์ ( Oktoberfest) ณ เมือง มิวนิก โดยจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะมาร่วมเฉลิมฉลองด้วยการดื่มเบียร์และอาหารเมนูชั้นนำ [ 149 ] เช่น ขาหมู หมูย่าง และไส้กรอก และมีการ เต้นรำ ด้วยความสนุกสนาน เทศกาลอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงเช่น [ 150 ] เทศกาลคาร์นิวาล กรุงเบอร์ลิน [ 151 ] โดยจะปิดถนนกลางเมืองเพื่อเปิดโอกาสให้ขบวนพาเหรดที่ชื่อ “Karneval der Kulturen” ได้อวดความสวยงามของการแต่งกายแฟนซีสีสันฉูดฉาดเดินขบวนตามท้องถนน และเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจัดขบวนพาเหรดมาร่วมขบวนด้วย และยังมีเทศกาลวันพ่อของเยอรมนี จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม [ 152 ] จะเห็นผู้ชายในแต่ละเมืองแต่งตัวแปลก ๆ นำเบียร์ไปดื่มฉลองกันในสวนสาธารณะและมักจะดื่มกันจนเมาไม่ได้สติ นอกจากจะเป็นวันพ่อแล้ว ในภาษาเยอรมันคำว่า Mannertag หรือ Herrentag ยังมีความหมายว่า “ วันของผู้ชาย ” อีกด้วย เทศกาลนี้จึงเป็นโอกาสให้ชายชาวเยอรมันแสดงออกถึงสัญชาติญาณในตัวเองและปลดปล่อยความเครียดจากการทำงานอย่างเต็มที่
ตลาดโทรทัศน์ของเยอรมนีเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป [ 153 ] โดยมีการรับชมโทรทัศน์ประมาณ 38 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนในเยอรมนีประมาณ 90 % มีเคเบิลทีวีหรือทีวีดาวเทียมพร้อมช่องสาธารณะและช่องเชิงพาณิชย์ที่เปิดให้ชมฟรีมากมาย มีสถานีวิทยุของรัฐและเอกชนมากกว่า 300 แห่ง เครือข่ายวิทยุแห่งชาติคือ Deutschlandradio และ Deutsche Welle ตลาดหนังสือพิมพ์และนิตยสารของเยอรมนีใหญ่ที่สุดในยุโรป นิตยสารที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ADAC Motorwelt [ 154 ] และ Der Spiegel [ 155 ] เยอรมนีมีตลาดวิดีโอเกมขนาดใหญ่ [ 156 ] มีผู้เล่นมากกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ ทำยอดขายรวมทั่วประเทศได้มากกว่า 8.5 ล้านยูโรในปี 2020 [ 157 ] [ 158 ] วงการภาพยนตร์ของเยอรมนีมีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ยุโรป [ 159 ] เช่นเดียวกับฝรั่งเศสและอิตาลี ผลงานแรกของพี่น้อง Skladanowsky ถูกแสดงในปี 1895 สตูดิโอ Babelsberg ที่มีชื่อเสียงใน พ็อทซ์ดัม ก่อตั้งขึ้นในปี 1912 เป็นสตูดิโอภาพยนตร์ขนาดใหญ่แห่งแรกในโลก [ 160 ] ผู้กำกับ Fritz Lang’s ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Metropolis ( 1927 ) ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่องใหญ่เรื่องแรก [ 161 ] ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับรางวัลสำคัญได้แก่ ดีเบลชทรอมเมิล – The Tin Drum (Die Blechtrommel) [ 162 ] [ 163 ] ได้รางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 1979 [ 164 ] ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่ได้รางวัลในสาขานี้ได้แก่ Nowhere in Africa (Nirgendwo in Afrika) ในปี 2002 และ The Lives of Others (Das Leben der) Anderen) ในปี 2007 พิธีมอบรางวัล European Film Awards ประจำปีจัดขึ้นทุก ๆ ปีในกรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ European Film Academy เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน หรือที่รู้จักในชื่อ “Berlinale” ซึ่งมอบรางวัล “ หมีทองคำ ” ให้แก่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 1951 เป็นหนึ่งในเทศกาลภาพยนตร์ชั้นนำของโลก [ 165 ] [ 166 ] [ 167 ]
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ คนเยอรมัน นิยมมากที่สุด [ 168 ] [ 169 ] สมาคมฟุตบอลเยอรมัน ถือเป็นองค์กรด้านกีฬาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก [ 170 ] เยอรมนีมีลีกการแข่งขัน บุนเดิสลีกา ที่ได้รับความนิยมสูง โดยมียอดผู้ชมสูงที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ทีมชาติชุดใหญ่ของเยอรมนี ( Deutsche Fußballnationalmannschaft ) ประสบความสำเร็จสูงในการแข่งขันนานาชาติ [ 171 ] โดยชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 4 สมัย [ 172 ], ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 3 สมัย และ ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 1 สมัย เยอรมนียังเป็นชาติเดียวในโลกที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกทั้งในประเภททีมชายและทีมหญิง เยอรมนียังเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้าน กีฬาท้าความเร็ว ชั้นนำของโลก ผู้ผลิตชื่อดังอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นผู้ผลิตที่โดดเด่นในวงการมอเตอร์สปอร์ต และยังมีรถแข่งจาก พอร์เชอ ซึ่งเป็นตัวแทนรถในการชนะการแข่งขัน 24 ชั่วโมง เลอม็อง 19 ครั้ง [ 173 ] และรถของ อาวดี้ ชนะอีก 13 ครั้ง มิชชาเอล ชูมัคเคอร์ นักแข่งรถอาชีพได้สร้างสถิติมอเตอร์สปอร์ตมากมายในอาชีพของเขา โดยชนะการแข่งขัน Formula One World Drivers’ Championships ถึง 7 สมัย [ 174 ] นอกจากนี้ยังมี เซบัสทีอัน เฟ็ทเทิล ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของนักแข่ง ฟอร์มูลาวัน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล [ 175 ] กีฬาอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมได้แก่ [ 176 ] ขี่ม้า ปั่นจักรยาน ปีนเขา กอล์ฟ สกี และ เทนนิส โดยมีนักเทนนิสระดับโลกมากมาย เช่น สเตฟฟี่ กราฟ เจ้าของตำแหน่งชนะเลิศแกรนด์สแลม 22 สมัย และทำสถิติครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกยาวนานที่สุด, [ 177 ] บอริส เบกเคอร์ ผู้ชนะเลิศแกรนด์สแลม 6 สมัย, ฟิลิปป์ โคห์ลชไรเบอร์, ทอมมี แฮส และมีสองนักเทนนิสที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันได้แก่ อันเจลีค แคร์เบอร์ [ 178 ] และ อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ [ 179 ]
Read more: Lille OSC
เยอรมนีเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จใน กีฬาโอลิมปิก โดยมีจำนวนเหรียญรางวัลรวมมากที่สุดเป็นอันดับสามตลอดกาล [ 180 ] ( นับรวมทั้งเยอรมนีตะวันออกและเยอรมนีตะวันตก ) เยอรมนียังเป็นประเทศล่าสุดที่ได้เป็นเจ้าภาพกีฬา โอลิมปิกฤดูร้อน และ โอลิมปิกฤดูหนาว ภายในปีเดียวกัน ( 1936 ) [ 181 ] และเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งล่าสุดในปี1972 จัดขึ้นที่นคร มิวนิก [ 182 ]