คำว่า “ เอลฟ์ ” ใน ภาษาอังกฤษ มาจาก ภาษาอังกฤษเก่า ว่า ælf ( บ้างเรียกว่า ylf ) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z ภาษา นอร์สโบราณ ว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษ ยุคกลาง นับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven ( ภาษาอังกฤษเก่าว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja ) แต่รากคำดั้งเดิมยิ่งกว่านั้นน่าจะมาจากคำในภาษาตระกูล โปรโต-อินโด-ยูโรเปียน คือ *albh- ซึ่งมีความหมายว่า “ ขาว ” อันเป็นรากเดียวกันกับคำใน ภาษาละติน albus ที่แปลว่า “ ขาว ” [ 1 ] อย่างไรก็ดีมีอีกทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า คำนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับ Rbhus นายช่างนักพยากรณ์ในตำนานเก่าแก่ของ อินเดีย ( ดู พจนานุกรมของออกซฟอร์ด ) แนวคิดนี้ดูหนักแน่นกว่ารากคำในภาษาละตินมาก
คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ ใน ภาษากลุ่มเจอร์แมนิก นอกเหนือจาก ภาษาอังกฤษ มีดังนี้
- เจอร์แมนิกเหนือ
- นอร์สโบราณ : álfr พหูพจน์ álfar
- ไอซ์แลนด์ : álfar, álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
- เดนมาร์ก : Elver, elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
- นอร์เวย์ : alv, alven, alver, alvene / alvefolket
- สวีเดน : alfer, alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
- เจอร์แมนิกตะวันตก
- ดัตช์ : elf, elfen, elven, alven
- เยอรมัน : Elf (ชาย), Elfe (หญิง), Elfen “fairies”, Elb (ชาย, พหูพจน์ Elbe หรือ Elben) [2] เป็นคำสร้างขึ้นใหม่ ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ “incubus” (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp พหูพจน์ *alpî หรือ *elpî)
- โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)
ใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับแปลภาษาไทย ใช้คำว่า “ พราย ” สำหรับความหมายของ เอลฟ์ ซึ่งทำให้เกิดนิยามใหม่สำหรับความหมายของ “ พราย ” นอกเหนือจากความหมายแต่เดิมที่หมายถึง ผีจำพวกหนึ่ง ( มักใช้กับผีผู้หญิงตายทั้งกลม )
เรื่องของเอลฟ์ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในตำนานปรัมปราของพวก นอร์ส ใน ปกรณัมนอร์สโบราณ เรียกพวกเอลฟ์ว่า อัลฟาร์ ( álfar ) อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีหลักฐานที่เก่าแก่กว่าหรือหลักฐานในยุคเดียวกันกับพวกนอร์ส แต่ชื่อ อัลฟาร์ ก็มีความเกี่ยวพันอยู่อย่างมากใน นิทานพื้นบ้าน หลายแห่งจนอาจเชื่อได้ว่า เอลฟ์ เป็นที่รู้จักอยู่ทั่วไปนานแล้วในหมู่ชนเผ่าเยอรมัน ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่เพียงในหมู่สแกนดิเนเวียนโบราณเท่านั้น ไม่มีแหล่งข้อมูลใดอธิบายได้ชัดเจนว่าเอลฟ์คืออะไร แต่พวกเอลฟ์ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเดียวกันกับมนุษย์ มีพลังอำนาจมากและสวยงามมาก มีมนุษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้รับยกย่องให้เป็นเอลฟ์หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เช่น กษัตริย์ โอลาฟ เกย์สตัด-เอลฟ์ ( Olaf Geirstad-Elf ) หรือ วีรบุรุษนาม โวลุนด์ ( Völundr ) ก็ถูกกล่าวขานว่าเป็น “ ผู้เป็นใหญ่แห่งเอลฟ์ ” ( vísi álfa ) หรือว่าเป็น “ หนึ่งในหมู่เอลฟ์ ” ( álfa ljóði ) ดังปรากฏในบทกวี Völundarkviða ซึ่งในวรรณกรรมร้อยแก้วยุคหลังระบุว่าเขาเป็นโอรสของกษัตริย์แห่ง “ ฟินนาร์ ” ( Finnar ) อันเป็นพลเมืองแถบขั้วโลกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีเวทมนตร์ ( หมายถึงพวก ซามี ( Sami ) ) ในมหากาพย์ไทเดรค ราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่งต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้นเมื่อพบว่าคนรักของนางเป็นเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ในมหากาพย์ Hrolf Kraki กษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ เฮลกิ ( Helgi ) ขืนใจนางเอลฟ์ตนหนึ่งจนตั้งครรภ์ นางเอลฟ์ผู้นี้กล่าวกันว่าคลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็นสตรีที่สวยงามที่สุดเท่าที่คนเคยพบ สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์น่าจะเริ่มต้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ในตำนาน นอร์สโบราณ นี้เอง ราชินีชาวมนุษย์ผู้มีคนรักเป็นเอลฟ์ให้กำเนิดวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ Högni ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดานามว่า สกุลด์ ( Skuld ) ภายหลังได้วิวาห์กับ Hjörvard ซึ่งเป็นผู้สังหาร Hrólfr Kraki ในมหากาพย์ Hrolf Kraki เล่าว่า สกุลด์ผู้เป็นลูกครึ่งเอลฟ์มีอำนาจวิเศษทางเวทมนตร์ และไม่มีใครสามารถเอาชนะในการศึกกับนางได้เลย เมื่อนักรบคนใดของนางถูกสังหาร นางจะเสกให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป หนทางเดียวที่จะเอาชนะนางได้คือต้องจับตัวนางเสียก่อนที่นางจะเรียกรวมกองทัพของนางได้ ซึ่งรวมถึงกองทัพเอลฟ์ด้วย [ 3 ] ในมหากาพย์ Heimskringla และมหากาพย์ ธอร์สไตน์ (Thorstein) มีการบันทึกลำดับสันตติวงศ์ของกษัตริย์ผู้ครอง อัล์ฟเฮม ดินแดนซึ่งสอดคล้องกับแคว้น Bohuslän ในสวีเดนกับแคว้น Østfold ในนอร์เวย์ กษัตริย์เหล่านี้สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์ จึงกล่าวกันว่าเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้มีชื่อว่า แกนดัล์ฟ ( Gandalf ) [ 5 ] นักประวัติศาสตร์ และนักเทววิทยาชาว ไอซ์แลนด์ ชื่อ Snorri Sturluson เรียกพวก คนแคระ ( dvergar ) ว่า “ เอลฟ์มืด ” ( dark-elves : dökkálfar ) หรือ “ เอลฟ์ดำ ” ( black-elves : svartálfar ) สิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อในยุคกลางของสแกนดิเนเวียนหรือไม่ยังไม่แน่ชัด [ 1 ] แต่เขาเรียกพวกเอลฟ์อื่นๆ ว่า เอลฟ์สว่าง ( light-elves : ljósálfar ) ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเอลฟ์กับเทพเฟรย์ ( Freyr ) ผู้เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ Snorri บรรยายความแตกต่างของพวกเอลฟ์ไว้ว่า
“มีที่แห่งหนึ่งบนนั้น [ในห้วงเวหา] เรียกชื่อว่า นิวาสเอลฟ์ (Elf Home หรือ Álfheimr อัล์ฟเฮม) ผองชนผู้อาศัยอยู่ที่นั่นเรียกว่า เอลฟ์สว่าง (light elves: Ljósálfar) ส่วนพวกเอลฟ์มืด (dark elves: Dökkálfar) อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก พวกเขามีร่างปรากฏไม่เหมือนกัน ทั้งมีความจริงแท้แตกต่างกันยิ่งกว่า เอลฟ์สว่างมีร่างปรากฏสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่พวกเอลฟ์มืดนั้นดำสนิทยิ่งกว่าห้วงเหว” [ 6 ]
Älvalek “เอลฟ์เริงระบำ” ภาพวาดของออกัสต์ มัลสตรอม ในปี ค.ศ. 1866 “ เอลฟ์เริงระบำ ” ภาพวาดของออกัสต์ มัลสตรอม ในปี ค.ศ. 1866 ในนิทานพื้นบ้านของชาว สแกนดิเนเวีย ซึ่งได้ผสมผสานกลืนไปกับตำนานปรัมปราของนอร์สกับตำนานของชาว คริสเตียน เรียกชื่อ “ เอลฟ์ ” ออกไปต่างๆ กัน กล่าวคือ elver ใน ภาษาเดนมาร์ก alv ใน ภาษานอร์เวย์ alv หรือ alva ใน ภาษาสวีเดน ( คำแรกใช้เรียกเอลฟ์ชาย คำหลังใช้เรียกเอลฟ์หญิง ) แต่คำเรียกของชาวนอร์เวย์มักไม่ใคร่พบเห็นในตำนานพื้นบ้านเท่าใดนัก หากพวกเขาต้องการเอ่ยถึงก็มักใช้คำอื่นคือ huldrefolk หรือ vetter ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ขุดรูอาศัยอยู่ใต้พิภพ คล้ายคลึงกับพวก คนแคระ ในตำนานนอร์สมากกว่าพวกเอลฟ์ หากเทียบกับตำนาน ไอซ์แลนด์ จะเปรียบได้กับชาว huldufólk ( ชนผู้ซ่อนตัว ) เอลฟ์ในตำนานของ เดนมาร์ก และ สวีเดน จะแตกต่างไปจากพวก vetter ทั้ง ๆ ที่ดินแดนของพวกเขาประชิดแทบเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนภูตตัวเล็กมีปีกเหมือนแมลงในตำนานของชาว บริเตน จะเรียกว่า “ älvor ” ในคำสวีเดนยุคใหม่ หรือ “ alfer ” ในภาษาเดนมาร์ก ชาว “ alf ” ปรากฏในเทพนิยายเรื่องหนึ่งของ เอช. ซี. แอนเดอร์เซน นักเขียนชาวเดนมาร์ก เรื่อง เอลฟ์แห่งกุหลาบ (The Elf of the Rose) โดยที่เขามีตัวเล็กมากจนสามารถใช้ดอกกุหลาบเป็นบ้านได้ อีกทั้งยังมีปีกซึ่ง “ ยาวจากไหล่จดปลายเท้า ” ทว่าแอนเดอร์เซนยังได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับเอลฟ์อีกเรื่องหนึ่งคือ The Elfin Hill เอลฟ์ในเรื่องนี้กลับไปคล้ายคลึงกับเอลฟ์ในนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ของเดนมาร์ก คือเป็นสตรีผู้สวยงาม อาศัยอยู่ตามเนินเขาและภูผา สามารถเต้นรำกับชายหนุ่มจนกระทั่งเขาสิ้นชีวิต หากมองพวกนางจากด้านหลังจะเห็นเพียงความว่างเปล่า เช่นเดียวกับ ฮุลดรา (huldra) ในตำนานของนอร์เวย์และสวีเดน
Read more: Clint Barton (Marvel Cinematic Universe)
เอลฟ์ในตำนานนอร์สซึ่งปรากฏร่องรอยอยู่ในลำนำพื้นบ้านส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญิง อาศัยอยู่ตามป่าเขาหรือหมู่หิน älvor ของชาวสวีเดน ( เอกพจน์เรียก älva ) เป็นเหล่าเด็กหญิงผู้งดงามจนน่าตื่นตะลึง อาศัยอยู่ในป่ากับกษัตริย์เอลฟ์ พวกนี้มีอายุยืนยาวมากและมักรื่นเริงไร้แก่นสาร ภาพวาดของพวกเอลฟ์มักเป็นภาพชนสวยงามผมสีอ่อน สวมเสื้อผ้าสีขาว แต่ก็ดุร้ายเกรี้ยวกราดหากถูกบุกรุก ( เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในลำนำพื้นบ้านของสแกนดิเนเวีย ) ในนิทาน พวกเขามักรับบทเป็นวิญญาณแห่งความเจ็บป่วย เรียกว่า älvablåst ( สายลมแห่งเอลฟ์ ) ซึ่งปกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่มักเกิดเหตุขึ้นเสมอหากพวกเขาถูกทำให้ขุ่นเคือง สามารถรักษาได้โดยใช้แรงลมต้าน Skålgropar ที่สร้างจากเครื่องเป่าลม พบในงานสลักโบราณของสแกนดิเนเวีย ในยุคเก่าแก่เรียกกันว่า älvkvarnar หรือ เครื่องสีของเอลฟ์ ( elven mills ) ซึ่งสื่อถึงความเชื่อของพวกเขา มนุษย์อาจเอาอกเอาใจพวกเอลฟ์ได้โดยการเสนอสิ่งของที่พวกเขาชื่นชอบ ( ส่วนมากมักเป็นเนย ) โดยวางเอาไว้ในเครื่องสีของเอลฟ์ สิ่งนี้อาจเป็นกำเนิดของวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในหมู่นอร์สโบราณ ที่เรียกว่า álfablót หากมนุษย์เฝ้ามองการเริงระบำของพวกเอลฟ์ เขาจะรู้สึกว่าตนกำลังแลดูการเต้นรำนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงเวลาได้ล่วงผ่านไปนานหลายปี ( ปรากฏการณ์ทางเวลานี้มีปรากฏในวรรณกรรมของ โทลคีน เรื่อง ซิลมาริลลิออน เมื่อ ธิงโกล เฝ้าดูเทพี เมลิอัน นอกจากนี้ยังปรากฏในตำนานของ ไอริช เกี่ยวกับ sídhe ด้วย ) ลำนำบทหนึ่งในช่วงปลายของ ยุคกลาง เล่าเรื่องเกี่ยวกับ Olaf Liljekrans เขาได้รับเชิญจากราชินีเอลฟ์ให้เต้นรำด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเข้าร่วมการเต้นรำนั้น ขณะนั้นเขากำลังเดินทางกลับบ้านเพื่อไปสู่งานวิวาห์ของตน ราชินีเสนอของขวัญให้แก่เขา แต่เขาก็ปฏิเสธอีก นางจึงขู่จะฆ่าเขาหากเขาไม่ยอมเข้าร่วม เขาขี่ม้าหนีไป แต่ก็ตายหลังจากนั้นด้วยโรคร้ายที่ราชินีส่งตามหลังเขามา เจ้าสาวผู้อ่อนเยาว์ของเขาก็เสียชีวิตตามไปด้วยหัวใจแหลกสลาย [ 7 ]
เอลฟ์ ในภาษาแซกซอนโบราณเรียก alf เยอรมันยุคกลางชั้นสูงเรียก alb หรือ alp ( พหูพจน์ elbe, elber ) ส่วนในภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alb ( ตามที่ปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ) [ 8 ] เอลฟ์ดั้งเดิมในตำนานเยอรมันยุคคนเถื่อนนอกศาสนา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ส่องสว่างอาศัยอยู่บนสวรรค์ ทั้งนี้อาจหมายรวมถึงพวกเอลฟ์มืดและคนแคระที่อาศัยอยู่ใต้พิภพด้วย ( ดังที่เข้าใจว่าคล้ายคลึงกับพวก álfr ในตำนานนอร์สโบราณ ) ในลำนำพื้นบ้านหลังยุคคริสเตียน เริ่มมีการพรรณนาถึงพวกเอลฟ์ว่าเป็นกลุ่มชนซุกซนชอบเล่นแผลงๆ นำความเจ็บป่วยมายังผู้คนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงนำเอาฝันร้ายมาใส่ผู้นิทราด้วย คำใน ภาษาเยอรมัน ที่หมายถึงฝันร้าย คือ Albtraum มีความหมายตรงตัวว่า “ ฝันของเอลฟ์ ” คำเก่าแก่กว่านั้นคือ Albdruck มีความหมายว่า “ แรงกดของเอลฟ์ ” เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ฝันร้ายเกิดจากการที่เอลฟ์มานั่งทับอยู่บนทรวงอกของผู้ฝัน ความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ในตำนานเยอรมนี้สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับความเชื่ออย่างหนึ่งใน ตำนานสแกนดิเนเวีย เกี่ยวกับ มารา คือจิตภูตสตรีผู้ร้ายกาจที่บันดาลให้เกิดฝันร้าย นอกจากนี้ยังคล้ายคลึงกับตำนานว่าด้วย incubus และ succubus ด้วย [ 1 ] กษัตริย์เอลฟ์มีปรากฏอยู่ในตำนานค่อนข้างน้อย ไม่เหมือนเหล่าเอลฟ์สตรีผู้มีอำนาจมากมายดังในตำนานของเดนมาร์กและสวีเดน มหากาพย์ ยุคกลางของเยอรมันเรื่องหนึ่งชื่อ นีเบอลุงเงินลีท ( Nibelungenlied ) มีตัวละครเอกตัวหนึ่งเป็นคนแคระนามว่า อัลเบอริช คำนี้มีความหมายตรงตัวแปลว่า “ กษัตริย์เอลฟ์ผู้ทรงอำนาจ ” ความสับสนปนเประหว่างเอลฟ์กับคนแคระนี้มีปรากฏสืบต่อมาอยู่ในจารึกเอ็ดดา ( Edda ) ด้วย ชื่อของตัวละครนี้ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Alberon ในเวลาต่อมาได้ปรากฏใน วรรณกรรม อังกฤษ ในชื่อ Oberon ในฐานะกษัตริย์แห่งเอลฟ์และภูตทั้งหลายในบทละครเรื่อง ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน ของ เชกสเปียร์ ใน เทพนิยาย ของ พี่น้องตระกูลกริมม์ เรื่องแรก คือ Die Wichtelmänner ตัวเอกซึ่งมีชื่อเดียวกับชื่อเรื่องเป็นหุ่นเปลือยสองตัวซึ่งทำงานช่วยช่างทำรองเท้า เมื่อช่างให้รางวัลแก่พวกเขาเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กๆ พวกเขาก็ดีใจมาก แล้ววิ่งหนีหายไปไม่มีใครพบอีกเลย Wichtelmänner เป็นภูตเล็กๆ ชนิดหนึ่งทำนองเดียวกับ คนแคระ kobold และ elf แต่เมื่อบทประพันธ์ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ กลับมีชื่อเรื่องว่า เอลฟ์กับช่างทำรองเท้า ( The Elves and the Shoemaker ) แนวคิดนี้ยังได้สะท้อนต่อมาอยู่ในวรรณกรรมของ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในลักษณะของ เอลฟ์ประจำบ้าน
Poor little birdie teased ภาพวาดโดย ริชาร์ด ดอยล์ นักวาดภาพยุควิคตอเรีย แสดงให้เห็นมุมมองความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ในลำนำพื้นบ้านของอังกฤษ เป็นสิ่งมีชีวิตในป่าคล้ายมนุษย์ร่างเล็กจิ๋ว ภาพวาดโดย ริชาร์ด ดอยล์ นักวาดภาพยุควิคตอเรีย แสดงให้เห็นมุมมองความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ในลำนำพื้นบ้านของอังกฤษ เป็นสิ่งมีชีวิตในป่าคล้ายมนุษย์ร่างเล็กจิ๋ว คำว่า เอลฟ์ (elf) เป็นคำ ภาษาอังกฤษ ใหม่ ซึ่งนำมาจาก ภาษาอังกฤษเก่า ว่า ælf ( พหูพจน์ ælfe ) คำนี้มาสู่บริเตนได้โดยผ่านชาวแองโกล-แซกซอน [ 1 ] ยังมีคำที่หมายถึง นางพรายน้ำ ( nymph ) ใน ตำนานกรีก และ โรมัน ที่แปลมาโดยปราชญ์ชาวแองโกลแซกซอนว่า ælf และเพี้ยนเสียงไปเป็นคำต่างๆ [ 1 ] มีเหตุผลเพียงพอที่จะสันนิษฐานได้ว่า เอลฟ์ของ แองโกลแซกซอน น่าจะคล้ายคลึงกับเอลฟ์ในตำนาน นอร์สโบราณ กล่าวคือ มีลักษณะเหมือนมนุษย์ รูปร่างสูงใหญ่เหมือนอย่างมนุษย์ มักมีผู้นำเป็นหญิง สามารถให้ความช่วยเหลือหรือทำอันตรายแก่มนุษย์ที่ประสบกับพวกเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง æsir กับ álfar ที่พบในจารึกเอ็ดดา เป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงงานเขียนเรื่อง Wið færstice ในตำนานอังกฤษโบราณ รวมถึงเป็นที่มาของคำว่า os และ ælf ในชื่อ ภาษาแองโกลแซกซอน ด้วย ( เช่น Oswald หรือ Ælfric ) [ 1 ] ในแง่ของความงดงามของเอลฟ์ใน ตำนานนอร์ส มีคำในภาษาอังกฤษเก่าบางคำ เช่น ælfsciene ( “ งามดั่งเอลฟ์ ” ) สำหรับใช้ในการบรรยายความงามอันยั่วยวนของสตรีบางคนในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เช่นในบทกวีอังกฤษโบราณเรื่อง Judith และ Genesis A เป็นต้น [ 1 ] ในชุมชนหลายแห่งตลอดทั่วอังกฤษมักมีความเชื่อต่อพวกเอลฟ์ว่าเป็นพวกที่สวยงามและชอบช่วยเหลือคน แต่ในส่วนของแองโกลแซกซอนแล้ว พวกเอลฟ์เป็นเหมือนกับปีศาจ ตัวอย่างดังเช่นที่ปรากฏในบทกวีเรื่อง เบวูล์ฟ บรรทัดที่ 112 ในอีกทางหนึ่ง oaf ซึ่งเป็นคำที่เพี้ยนมาจาก elf เชื่อว่ามีความหมายเดิมสื่อถึงความลุ่มหลงงมงายอันเกิดจากเวทมนตร์มายาของพวกเอลฟ์ เรื่องของเอลฟ์ปรากฏอยู่มากมายในบทลำนำดั้งเดิมของ อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ รวมถึงนิทานพื้นบ้านทั้งหลาย โดยมากเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปยัง เอลป์เฮม ( Elphame หรือ Elfland แดนเอลฟ์ คำเดียวกันกับ อัล์ฟเฮม ( Álfheim ) ในตำนานนอร์ส ) ดินแดนลี้ลับที่น่าหวาดหวั่น บางครั้งภาพวาดของเอลฟ์จะเป็นโครงร่างแสงสว่าง เช่นราชินีแห่งเอลป์เฮมในบทลำนำ Thomas the Rhymer กระนั้นก็มีตัวอย่างมากมายที่เอลฟ์เป็นตัวละครอันแสนชั่วร้าย มักเป็นขโมยหรือฆาตกร เช่นใน Tale of Childe Rowland หรือลำนำ Lady Isabel and the Elf-Knight ซึ่งอัศวินเอลฟ์ลักพาตัวอิซาเบลไปเพื่อสังหารเสีย เอลฟ์ในบทลำนำเหล่านี้มักเป็นเพศชาย มีเอลฟ์หญิงแต่เพียงคนเดียวคือราชินีแห่งแดนเอลฟ์ที่ปรากฏในลำนำ Thomas the Rhymer เท่านั้น แต่ในบรรดาตำนานทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เอลฟ์เป็นภูตพรายร่างเล็กจิ๋ว นิทานพื้นบ้านของอังกฤษในช่วงต้นยุคใหม่นี้เองที่เริ่มวาดภาพเอลฟ์เป็นผองชนตัวเล็กๆ ผู้ว่องไวและซุกซน แม้จะไม่ใช่ปีศาจแต่ก็มักสร้างความรำคาญแก่มนุษย์หรือขัดขวางกิจธุระให้เสียหาย บางครั้งเล่ากันว่าพวกเอลฟ์สามารถหายตัวได้ ตำนานในลักษณะนี้ เอลฟ์มีความคล้ายคลึงกับพวกภูตมากขึ้น ในเวลาต่อมา คำว่า เอลฟ์ และ ภูต เริ่มนำมาใช้แทนความหมายของจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติในหลายๆ รูปแบบ ดังเช่น พัค ฮอบกอบลิน โรบิน กู้ดเฟลโลว์ และอื่นๆ คำเหล่านี้และคำใกล้เคียงในหมู่ภาษายูโรเปียนอื่นๆ ก็ไม่ได้สื่อความหมายถึงชนเผ่าในตำนานพื้นบ้าน
Read more: Wikipedia
พวกเอลฟ์ คือ คนชนิดหนึ่งที่มีใบหูแหลมและยาวมาก และมีตัวเตี้ย พวกเอลฟ์ จะทำของขวัญให้ซานต้าเพื่อไปแจกเด็กๆในวันคริสมาส พวกเอลฟ์ต้องทำงานหนักในนคริสต์มาส เพื่อแจกของขวัญให้แก่เด็ก
ชื่อที่มีคำว่าเอลฟ์ในราชวงค์พระเจ้าแผ่นดิน
หมายเหตุ คำที่ขึ้นว่าอัล, เอ็ด, แอมีความหมายทำนองว่า เหนือฟ้า หรือ เจ้าฟ้า ถ้าเป็นพระเจ้าเอ็ดวี เขียนเป็นไทยได้ว่า พระเจ้าฟ้าวีแห่งอังกฤษ ต่างจากเจ้าฟ้าชายหรือเจ้าฟ้าหญิง ที่มีพระยศฐาเป็นลูก พระเจ้าเอลฟ์เวียร์ดแห่งเวสเซกซ์ เขียนเป็นไทยได้ว่า พระเจ้าป่าเวียร์ดแห่งเวสเซกซ์ ป่าเป็นสิ่งที่ลี้ลับและทรงพระอำนาจยิ่ง กว้างใหญ่ครองคลุมทุกพื้นที่บนแผ่นดิน