เที่ยวเอง กวาดเรียบเมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ อเดรียติก แถมบอสเนียแอนด์เฮอร์เซโกวินา อีกประเทศ

Trip map
เข้าสู่วันที่ 5 ของทริปแล้วครับ เมื่อวานเราอยู่ในเขตประเทศอิตาลีที่เมือง Bologna ตามรีวิวนี้
อิตาลีเหมือนเดิม..เพิ่มเติมคือเมืองใหม่ ตอนที่ 4 “ Bologna ” เมืองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในยุโรป
เที่ยวฝรั่งเศสใต้ โมนาโก และอิตาลีเมืองต่างๆ ได้จากรีวิวตั้งแต่วันแรกเลยครับ
มีความชิค ริมชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน ตอนที่ 1 “ Nice ” เมืองตากอากาศชื่อดังสุดหรูของฝรั่งเศส
มีความชิค ริมชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน ตอนที่ 2 “ Monaco ” ประเทศเล็กๆ สุดหรูหราเว่อร์วัง
อิตาลีเหมือนเดิม..เพิ่มเติมคือเมืองใหม่ ตอนที่ 1 “ Cinque Terre ” หมู่บ้านริมหน้าผาแสนน่ารักแห่งลิกูเรีย
อิตาลีเหมือนเดิม..เพิ่มเติมคือเมืองใหม่ ตอนที่ 2 “ Pisa ” ซ้ำเดิม..เพิ่มเติมคือที่ใหม่
อิตาลีเหมือนเดิม..เพิ่มเติมคือเมืองใหม่ ตอนที่ 3 “ Florence ” ซ้ำเดิม..แต่ไม่เหมือนเดิม

แต่วันนี้เราจะออกนอกอิตาลีไปเที่ยวประเทศเล็กๆ ที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศอิตาลี ไม่มีทางออกทะเล นั่นก็คือ San Marino

ส่วนตอนเย็นก็จะนอนในเรือข้ามทะเลไปขึ้นฝั่งที่ประเทศโครเอเชียครับ

เริ่มกันเลยครับ จากสถานีรถไฟกลาง Bologna Centrale เราจะนั่งรถไฟไปเมือง Rimini เพื่อต่อรถบัสขึ้นเขาเข้าสู่ดินแดนประเทศซานมาริโนครับ
2
วันนี้ต้องรีบออกแต่เช้าตรู่เลย เราเลือกขึ้นรถไฟขบวน Intercity 603 ซึ่งจะออกจาก Bologna 8 โมงตรง และเดินทางถึงสถานีรถไฟ Rimini ตอน 09.08 น. เรามี Eurail Italy Pass อยู่แล้วจึงใช้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้ฟรีครับ
( ปกติ ตั๋วรถไฟ Bologna-Rimini ราคา 15.50 ยูโร ถ้าเป็นรถไฟท้องถิ่นขบวน Regionale หรือ Regionale Veloce ราคา 9.50 ยูโร )
เช็คเวลาและราคาตั๋วรถไฟได้ที่ Italy train
เดินออกไปหน้าสถานีรถไฟ ข้ามถนนไปที่ป้ายรถบัสฝั่งตรงข้ามที่เรียกว่า Rimini Stazione FF.SS.  รถบัสไป San Marino จอดรออยู่แล้ว ขึ้นรถไปจ่ายเงินค่าตั๋ว 5 ยูโรให้คนขับรถแล้วหาที่นั่งเหมาะๆ
3
09.25 น. ตรง รถบัส Bonelli Bus : Rimini-San Marino ออกเดินทาง รถบัสแวะจอดรับคนในเมืองระหว่างทางไปเรื่อยๆ จนผ่านพรมแดนเข้าสู่เขตประเทศ San Marino
เช็คตารางเวลารถบัสได้ที่ Rimini to San Marino bus
4
5
อีกแป๊บเดียวก็จอดสุดทางที่ Piazzale Calcigni ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที
6
ดูตารางรถบัสขากลับให้แน่ใจอีกที
7
เช้านี้หมอกลงจัดปกคลุมท้องฟ้าเหนือเมืองที่อยู่ข้างล่างเหมือนเรากำลังยืนอยู่เหนือหมอกเลยครับ 555
8
San Marino ( Città di San Marino ) หรือ ซาน มาริโน คือประเทศเล็กๆ ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ไม่มีทางออกทะเล มีพื้นที่ 61 ตารางกิโลเมตร มีขนาดเล็กเป็นอันดับที่ 3 ของยุโรป รองจากนครรัฐวาติกันและโมนาโก เมืองหลวงชื่อกรุง San Marino เหมือนชื่อประเทศเลยครับ
ผมเคยมาเที่ยวประเทศนี้แล้วเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนและชอบบรรยากาศป้อมกำแพงเมืองสมัยโบราณที่นี่มากๆ ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ลงตัวที่จะได้กลับมาเยือนประเทศเล็กๆ แห่งนี้อีกคราว
10
แม้กาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ผมยังจำเส้นทางเดินได้เป๊ะครับ ตัวเมืองซานมาริโนอยู่บนภูเขา Titano ( Mount Titan ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา Apennine ที่พาดผ่านประเทศอิตาลีตั้งแต่เหนือจรดใต้ จากสถานีรถบัสจึงต้องเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดของภูเขาซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของซานมาริโนครับ
เริ่มต้นที่ท่าจอดรถบัสที่ Piazzale Calcigni ( ตำแหน่ง P1 bus ในแผนที่ ) เดินขึ้นบันไดตรงร้านขายของที่ระลึกไปแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Via Piana ไปที่ Porta San Francesco ประตูเมืองโบราณ ( ถ้ามีสัมภาระหนักก็สามารถขึ้นลิฟท์ไปได้เลยครับ )
12
เข้าประตูเมืองไปแล้วเลี้ยวซ้ายเดินขึ้นทางลาดแคบๆ ของถนน Via Basilicius ก็ถึง Piazza Titano ( Piazzetta del Titano ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Museo di Stato ( State Museum ) ที่ Palazzo Pergami

14
เดินลอดโค้งประตูทางขวามือตรงตามเส้นทางผ่าน Monumento a Bartolomeo Borghesi หรือรูปปั้น Bartolomeo Borghesi ไปก็เห็น Stazione Funivia สถานีเคเบิ้ลคาร์เชื่อมต่อกับเมือง Borgo Maggiore ที่อยู่ด้านล่าง
ถ้าอยากเดินทางมายังซานมาริโนให้ได้บรรยากาศเสียวไส้นิดๆ ก็ลองใช้บริการดูได้ครับ ให้บริการทุกวัน ทุกๆ 15 นาที
ค่าขึ้นเคเบิ้ลคาร์เที่ยวเดียว ( Corsa Semplice ) ราคา 2.80 ยูโร ราคาไป-กลับ ( Andata/Ritorno ) 4.50 ยูโร
15
16
ตรงเข้าถนนทางขวาตามป้ายบอกทางไป Palazzo Pubblico เดินตามถนน Piazza della Libertà ไม่ไกลก็ถึง Piazza della Libertà ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Palazzo Pubblico ( Public Palace ) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Palazzo del Governo พระราชวังสไตล์นีโอโกธิคซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารที่ทำการกรุงซานมาริโน แต่เดิมเรียกว่าอาคารโบราณนี้ว่า Domus Magna Comunis ที่นี่มีการเปลี่ยนการ์ดที่เรียกว่า Guardia di Rocca ทุกชั่วโมงในนาทีที่ 30 ตั้งแต่ 08.30-18.30 น.
ในช่วงฤดูร้อน ( กลางเดือนพ.ค.-ก.ย. ) เปิดให้เข้าชมช่วงวันที่ 2 ม.ค.-7 มิ.ย. 09.00-17.00 น., 8 มิ.ย.-13 ก.ย. 08.00-20.00 น., 14 ก.ย.-31 ธ.ค. 09.00-17.00 น. ปิดวันที่ 1 ม.ค., 2 พ.ย. ( บ่าย ) และ 25 ธ.ค. ค่าเข้าชมราคา 3 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Palazzo Pubblico
17
เดินไปทางอาคาร Uffico Stampa ยูเทิร์นทางซ้ายมือขึ้นทางลาดไปยัง Basilica del Santo Chiesetta di San Pietro ( Basilica di San Marino ) โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1836 ตั้งอยู่ที่ Piazza Domus Plebis เปิดให้เข้าชม 11.00-17.00 น. ในฤดูร้อนเปิดถึง 18.00 น .
18
เดินย้อนกลับทางเดิมแล้วแยกซ้ายเดินตามป้ายบอกทางไป 1° Torre / Guaita เข้าถนน Contrada dei Magazzeni เดินขึ้นถนนทางซ้ายตรงตามทางลาดชันไปที่ทางเข้า La Rocca ( Prima torre ) หรือ Guaita ป้อมปราการเมืองหมายเลข 1 แห่งซานมาริโนที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บางส่วนของป้อมเคยใช้เป็นคุกมาก่อน
ป้อมเปิดให้เข้าชมช่วงวันที่ 2 ม.ค.-7 มิ.ย. 09.00-17.00 น., 8 มิ.ย.-13 ก.ย. 08.00-20.00 น., 14 ก.ย.-31 ธ.ค. 09.00-17.00 น. ปิดวันที่ 1 ม.ค., 2 พ.ย. ( บ่าย ) และ 25 ธ.ค. ค่าเข้าชมราคา 3 ยูโร, ค่าเข้าชมแบบรวม La Cesta ราคา 4.50 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit La Rocca ( Prima torre )
19
เราไม่ได้เสียตังค์เข้าไปชมด้านในป้อมครับ เดินกลับทางเดิมเลี้ยวซ้ายเข้าถนนแคบๆ ชื่อ Salita Alla Rocca ไปแป๊บนึงก็เดินตามทางเดินหินไปทางซ้ายขึ้นตามแนวกำแพงเมืองเก่าไปทางป้อมปราการที่อยู่ข้างบน แล้วลงบันไดตรงไปเรื่อยๆ จนเจอกับถนนหลักไปยังป้อมที่ 2 ที่ชื่อว่าถนน Salita Alla Cesta
20
ตรงไปอีกนิดๆ ก็ถึงทางเข้า La Cesta ( Seconda torre ) หรือ Fratta ป้อมปราการเมืองหมายเลข 2 นี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 บนจุดสูงสุดของภูเขา Titano ปัจจุบันเป็น Museum of Ancient Arms
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมช่วงวันที่ 2 ม.ค.-7 มิ.ย. 09.00-17.00 น., 8 มิ.ย.-13 ก.ย. 08.00-20.00 น., 14 ก.ย.-31 ธ.ค. 09.00-17.00 น. ปิดวันที่ 1 ม.ค., 2 พ.ย. ( บ่าย ) และ 25 ธ.ค. ค่าเข้าชมราคา 3 ยูโร, ค่าเข้าชมแบบรวม La Rocca ราคา 4.50 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit La Cesta ( Seconda torre ), visit State Museum
21
ไม่ต้องเสียเงินเข้าชมป้อมก็ได้ครับเพราะแถวนี้มีจุดชมวิวที่สามารถถ่ายภาพป้อม La Rocca ที่อยู่บนหน้าผาสูงเหนือเมือง Borgo Maggiore ข้างล่างได้อย่างชัดเจน ภาพในโปสการ์ดก็ถ่ายจากตรงนี้แหละครับ น่าเสียดายที่วันนี้หมอกหนาไปหน่อยครับ ถ้าฟ้าใสๆ นี่แจ๋วกว่านี้เยอะ
22
23
ลอดประตูทางขวามือหาทางเดินเลยต่อไปยัง Montale ( Terza torre ) ป้อมปราการเมืองหมายเลข 3 เป็นป้อมที่มีขนาดเล็กที่สุดและตั้งอยู่ไกลที่สุด ครั้งที่แล้วผมไม่ได้เดินไปครับ ครั้งนี้เลยลองเดินไปดูหน่อย ป้อม 3 เล็กจริงๆ อยู่ไกลด้วย ไม่จำเป็นต้องเดินมาก็ได้ครับ
24
25
สุดทางแล้ว เสร็จสิ้นการเดินเที่ยวชมเมืองหลวงของซานมาริโน เดินกลับทางเดิมตามถนน Salita alla Cesta ลงเขาไปจนเห็นกำแพงเมืองเก่าอยู่ข้างหน้า ตรงนี้มีร้านพิซซ่าและฮอทดอกง่ายๆ เลยแวะสั่งแฮมเบอร์เกอร์เนื้อกับเฟรนช์ฟราย ( patatine ) กินมื้อเที่ยงซะเลย
จุดที่เราอยู่ตอนนี้คือ Piazzale Cava Antica เดินเข้าประตูเมืองขึ้นถนนทางขวามือตรงไปเรื่อยๆ ตามถนน Salita Alla Rocca เส้นทางเดิม ลงทางลาดไปก็กลับถึง Piazza della Libertà อีกครั้ง ตอนนี้ท้องฟ้าดีขึ้นกว่าตอนเช้าเยอะเลยครับ

26
27
คราวนี้ก็เดินตามเส้นทางเดิมลงเขากลับออกนอกเมืองเก่าที่ประตู San Francesco ลงบันไดไปขึ้นรถบัสกลับริมินี่ทันรอบ 14.15 น. พอดีครับ ( จริงๆ แล้วถนนหรือซอกซอยแคบๆ ในซานมาริโนทะลุถึงกันเกือบหมด เดินมั่วๆ วนไปวนมาก็กลับมาที่เดิมได้และระยะทางไม่ไกลด้วยครับ )
ขากลับรถบัสขับนานกว่าขามา 5 นาที 15.10 น. เราก็กลับมาถึงหน้าสถานีรถไฟ Rimini
29
เดินไปที่ชานชาลาเพื่อรอขึ้นรถไฟด่วนขบวน Frecciabianca 9813 ไป Ancona ซึ่งจะออกเดินทางตอน 15.36 น. เราจ่ายเงินค่าจองที่นั่งเพิ่มไว้ 10 ยูโรแล้วจึงขึ้นรถไฟไปโชว์หลักฐานการจองพร้อมกับ Eurail Italy Pass ให้นายตรวจดูและนั่งรถไฟชิลล์ๆ ไม่ถึงชั่วโมง
( ปกติ ตั๋วรถไฟ Rimini – Ancona ขบวน Frecciabianca ราคา 15 ยูโร ถ้าเป็นรถไฟท้องถิ่นขบวน Regionale ตั๋วราคา 7.25 ยูโร แต่ใช้เวลานานกว่าประมาณครึ่งชั่วโมง )
เช็คเวลาและราคาตั๋วรถไฟได้ที่ www.trenitalia.com/tcom-en
30
เส้นทางรถไฟบางช่วงแล่นแทบจะติดน้ำทะเลเลยครับ 4 โมงครึ่งก็ถึง Stazione Ancona หรือสถานีรถไฟกลาง Ancona
ออกจากสถานีรถไฟ มองไปทางซ้ายก็เห็นรถเมล์สาย 20 จอดอยู่ที่ป้ายไม่ไกล
31
ลองเดินไปถามคนขับรถว่ารถคันนี้ไป Tickets Office ของบริษัทเรือเฟอร์รี่ SNAV ไปโครเอเชียใช่มั้ย ? คนขับตอบว่าใช่ เรือของทุกบริษัทเช็คอินที่เดียวกัน รถเมล์คันนี้ให้บริการรับส่งลูกค้าฟรีครับ นั่งรถ 5 นาทีก็ถึงที่เช็คอินที่เรียกว่า Agenzia Mauro Stazione Marittima box 5 (Terminal Biglietterie) หรือ Ancona Ferries Terminal อยู่ที่ถนน Via Luigi Einaudi ( รถเมล์สาย 12 ก็ไปได้เหมือนกัน )
ต้องมาเช็คอินและออกตั๋วที่นี่ก่อนนะครับ จะไปที่ท่าเรือเลยไม่ได้
32
เข้าไปในอาคารเดินไปที่เคาน์เตอร์ของบริษัท SNAV ยื่นกระดาษปรินท์อีเมลการซื้อตั๋วเฟอร์รี่ Ancona-Split ( Spalato ) ที่เราซื้อผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้ามาจากเมืองไทยแล้วในราคาคนละ 72.50 ยูโร เป็นห้องแบบ 4 Berth Cabin Without Window ไม่รวมอาหารเช้าครับ พนักงานทำการออกตั๋วให้แล้วจึงนำตั๋วนี้ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ ( จริงๆ มาซื้อที่นี่ก่อนเดินทางก็ได้แต่ราคาจะแพงขึ้นและถ้าห้องเต็มก็อาจจะต้องเลือกนอนที่ deck ซึ่งเป็นเก้าอี้ในห้องรวมใหญ่ )
33
โดยทั่วไปจะมีเรือให้บริการในวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ และบางเสาร์ ตั้งแต่กลางเม.ย.-กลางมิ.ย., ปลายก.ค.-ต้นก.ย. มีเรือบริการทุกวัน ต้นต.ค. มีเรือบริการน้อย แต่หลังจากนั้นจนถึงต้นเม.ย. ไม่มีเรือบริการ ควรเช็ควันที่มีเรือให้บริการ ราคา และซื้อตั๋วเฟอร์รี่ก่อนวันที่ต้องการเดินทางประมาณ 1-2 เดือนที่ SNAV Ferry
( สามารถเลือกซื้อตั๋วประเภทอื่นได้ เช่น แบบ D ( Deck ) ราคาประมาณเที่ยวละ 58 ยูโร, แบบ S1 ( seat ) ประมาณ 65 ยูโร, 2 Berth Cabin Without Window ประมาณ 76 ยูโร )
ในเส้นทางนี้มีเรือเฟอร์รี่ของบริษัทอื่นให้บริการเช่นกัน คือ
บริษัท Blue Line International ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทร่วมกับ SNAV
เช็คเวลาและราคาเรือได้ที่ Blue Line Ferry
34
บริษัท Jadrolinija มีเรือบริการวันจันทร์และศุกร์ตั้งแต่ต้นพ.ย.-มี.ค., กลางมี.ค.-กลางก.ค. มีเรือบริการวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ กลางก.ค.-ต้นก.ย. มีเรือบริการวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ และบางเสาร์หรืออาทิตย์ ต้นก.ย.-ต.ค. มีเรือบริการวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ ราคาตั๋วเรือโดยประมาณคือ แบบ Deck ราคาเที่ยวละ 280 HRK ( 166+passenger tax 114 HRK ), แบบ Seat ( AS ) ราคาเที่ยวละ 303 HRK ( 189+passenger tax 114 HRK ), แบบ Berth in 4-berth outside cabin shower+WC ( 4A ) เฉพาะเพศเดียวกัน ราคาเที่ยวละ 504 HRK ( 390+passenger tax 114 HRK ), แบบ Berth in 2-berth inside cabin shower+WC ( 2AB ) เฉพาะเพศเดียวกัน ราคาเที่ยวละ 649 HRK ( 535+passenger tax 114 HRK ) ตั๋วไป-กลับได้รับส่วนลด 20 % แต่ละวันราคาไม่เท่ากัน
เช็คเวลาและราคาเรือได้ที่ Jadrolinija Ferry
เรือ Marko Polo ของบริษัท Jadrolinija จะออกเดินทางในเวลา 19.45 น. และเดินทางถึงท่าเรือ Split 7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ใช้เวลาเดินทาง 11 ชั่วโมง 15 นาที
35
หลังจากได้ตั๋วเฟอร์รี่เรียบร้อยก็ออกไปรอรถเมล์สาย 20 ที่ป้ายเดิม
36
นั่งรถฟรีต่อไปที่ Porto di Ancona หรือท่าเรือ Ancona ลงที่ Dock 11
( ถ้าจะเข้าศูนย์กลางเมืองให้นั่งรถเมล์สาย 1/3, 1/4 จากสถานีรถไฟกลาง 2 ป้ายไปลงที่ Piazzale Kennedy ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือราว 600 เมตร )
37
ตอนนั้นยังผ่านตม.ไปขึ้นเรือไม่ได้ คนยืนออรอคิวตรวจพาสปอร์ตอยู่เพียบเลยครับ เราเลยแว้บเข้าไปเดินเล่นในเมืองนิดหน่อย อันคอน่าเป็นเมืองท่าเรือพาณิชย์ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวครับ ที่เที่ยวก็เป็นพวกโบสถ์เก่าแก่ มีโบสถ์ใหญ่อยู่บนยอดเขาด้วย ในตัวเมืองไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
จากหน้าท่าเรือ ข้ามถนนเดินตรงเข้าประตูเมืองไปก็ถึง Piazza Santa Maria ที่ตั้งของ Chiesa di Santa Maria della Piazza โบสถ์สไตล์โรมาเนสก์ที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 และ 12
38
มองไปทางซ้ายก็เห็นโบสถ์หลังคาโดมที่เรียกว่า Basilica Cattedrale Metropolitana di San Ciriaco  ( Duomo di Ancona ) หรือ Ancona Cathedral อยู่บนยอดเขา
39
อย่างที่บอกไปครับว่าเมืองนี้ไม่มีอะไรเที่ยว คนที่มาอันคอน่าก็เพื่อมาขึ้นเรือข้ามไปโครเอเชียกันทั้งนั้น
เดินออกประตูเมืองไปหาซื้อของกินขึ้นไปกินเป็นมื้อเย็นบนเรือดีกว่าเพราะรู้อยู่แล้วว่าอาหารบนเรือแพงมาก ตรงข้ามท่าเรือมีร้าน Romcaffè อยู่ เลยแวะซื้อพิซซ่าห่อร้อนๆ ขึ้นไปกินบนเรือซะเลย
40
แล้วก็เดินไปที่ Dock 11 ของท่าเรือ 6 โมงครึ่ง ด่านตม.เปิดให้เข้าไปตรวจพาสปอร์ตและเดินไปขึ้นเรือ ( เกทปิดตอน 2 ทุ่มนะครับ ต้องมาที่เรือให้ทัน )
41
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องวีซ่าเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับ เนื่องจากประเทศโครเอเชียยังไม่ได้เป็นประเทศในกลุ่มเชงเก้น ดังนั้นผู้ที่ถือพาสปอร์ทไทยที่ต้องการเดินทางเข้าโครเอเชียจึงต้องมีวีซ่าโครเอเชีย
ขั้นตอนการยื่นใบสมัครขอวีซ่าโครเอเชียที่ How to apply Croatia Visa
อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีวีซ่าเชงเก้นประเภทท่องเที่ยว ( Type C ) ทั้ง Two Entries และ multiple Entries ที่ยังไม่หมดอายุสามารถเดินทางเข้าประเทศโครเอเชียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าโครเอชีย และเดินทางเข้า-ออกกี่ครั้งก็ได้ด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Croatia Visa exemption
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องยื่นขอวีซ่าเชงเก้นจากสถานทูตอิตาลีโดยให้ได้วีซ่าแบบ Multiple Entries เพื่อให้สามารถเดินทางเข้าโครเอเชียและบอสเนียฯ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าของแต่ละประเทศ ( บอสเนียฯ ต้องมีวีซ่าเชงเก้น Multiple Entries และอยู่ในประเทศได้ไม่เกิน 5 วัน ) และต้องวางแผนเดินทางเข้าประเทศในกลุ่มเชงเก้นคืออิตาลีเป็นประเทศแรกก่อน ส่วนขากลับเมืองไทยก็ต้องเดินทางเข้าประเทศในกลุ่มเชงเก้นคือสโลวีเนียอีกครั้งเพื่อจะได้เข้าเกณฑ์การขอวีซ่าแบบเดินทางเข้า-ออกประเทศเชงเก้นสองครั้งหรือหลายครั้ง ( Two Entries หรือ Multiple Entries ) ครับ
เช็คอินที่รีเซ็ปต์ชั่นได้คีย์การ์ดแล้วก็เข้าไปเก็บของ
42
แล้วค่อยออกไปเดินสำรวจรอบๆ เรือ หามุมถ่ายรูปจนขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือถ่ายรูปย้อนกลับไปที่ตัวเมืองตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตก
43
44
คืนนี้รีบนอนครับเพราะเรือจะถึง Split ตอน 7 โมงเช้า ต้องตื่นก่อนเรือถึงท่าประมาณ 1 ชั่วโมง และบนเรือไม่มี WiFi ให้เล่นอินเตอร์เน็ตด้วย ไม่รู้จะทำอะไร นอนดีกว่า 555

20.15 น. เรือ SNAV Cruise Ferry แล่นออกจากท่าเรือ Ancona เราจะนอนค้างคืนบนเรือข้ามทะเลอเดรียติกไปโผล่ที่ประเทศโครเอเชียพรุ่งนี้เช้าเลย เจอกันอีกทีที่ Split ราตรีสวัสดิ์ครับ
45
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต