ท่องเที่ยวในประเทศอิตาลี

ท่องเที่ยวในประเทศอิตาลี

ประเทศอิตาลีเป็นอีกหนึ่งประเทศในยุโรปที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานและมั่งคั่งไปด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ ตั้งแต่สมัยโบราณ ประเทศอิตาลีถือเป็นประเทศที่มีอิทธิพลมากต่อการพัฒนาทางวัฒนธรรมและสังคมของประเทศต่างๆในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์ของจักวรรดิโรมัน ( Roman Empire ) ซึ่งปกครองภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนี่ยนมานานหลายศตวรรษตั้งแต่สมัยกรีกโบราณก็มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์โลก อีกทั้งยังมีศิลปินและนักปราชญ์ชื่อดังระดับโลกมากมายอย่าง เลโอนาร์โด ดา วินชี ( Leonardo da Vinci ) และไมเคิลแองเจโล ( Michelangelo ) เป็นต้นที่เป็นชาวอิตาลี และนอกจากนั้นแล้วก็ยังมีประเทศเล็กๆอย่างนครรัฐวาติกัน ( Vatican City ) ที่ตั้งอยู่ในกรุงโรมที่ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของนิกายคาทอลิกอีกด้วย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในประเทศอิตาลีต่างดำดิ่งลึกลงไปในศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมต่างๆ หากแต่ว่านั่นไม่ใช่จุดหมายเดียวแต่ยังมีอีกจุดหมายหนึ่งก็คืออาหารอิตาเลียนนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า พาสต้า หรือขนมหวานชนิดต่างๆ กาแฟ เจลาโต้ ต่างก็นำพาความตื่นเต้นมาให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้ตัว

ภาษาท้องถิ่น: ภาษาอิตาเลียน ( italian )
พื้นที่: 301,338 ตารางกิโลเมตร
ศาสนา: นิกายคาทอลิกกว่า 85 %
สกุลเงิน: ยูโร ( EUR ) สัญลักษณ์ €
กระแสไฟฟ้า: 220V

เที่ยวที่ไหนดีในอิตาลี?

เที่ยวที่ไหนดีในอิตาลี?

ประเทศอิตาลีในแต่ละพื้นที่และภูมิภาคมีความแตกต่างกันในลักษณะของสถาปัตกรรมและสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ต่างก็เป็นที่โปรดปรานสำหรับนักท่องเที่ยวไปเสียหมด ถ้าหากคุณต้องการที่จะสำรวจประเทศอิตาลีทั้งเมืองใหญ่อย่างกรุงโรม ฟลอเรนซ์ เวนิส และเมืองเล็กๆอีกมากมาย บอกได้เลยว่าจะต้องเตรียมวันหยุดเอาไว้เยอะๆแล้วแพ็คกระเป๋าออกเดินทางกันเลย
1) โรม (ROME): โคลอสเซียม ( Colosseum ), โรมันฟอรัม ( Roman Forum ), เนินเขาปาลาติเน ( Palatine Hill ), จัตุรัสเวเนเซีย ( Piazza Venezia ), จัตุรัสคัมปิโดลยิโอ ( Piazza Campidoglio ), น้ำพุเทรวี่ ( Trevi Fountain ), มหาวิหารแพนธีออน ( Pantheon ), จัตุรัสนาโวนา ( Piazza Navona ), ปราสาทซันตันเจโล ( Castel Sant’Angelo ), ประติมากรรมปากแห่งสัจจะ ( The Mouth of Truth ), บันไดสเปน ( spanish Steps ), จัตุรัสโปโปโล ( Piazza del Popolo ), ถนนช้อปปิ้ง Via dei Condotti, ถนนช้อปปิ้ง Via del Corso และนครรัฐวาติกัน ( Vatican City )
1-2) นอกเมืองโรม: ออร์เวียโต ( Orvieto ), ซิวิตา บันโญเรจิโอ ( Civita di Bagnoregio ), วิลล่าดิเอสเต้ เมืองทิโวลี ( Villa d’Este, Tivoli ), เซียน่า ( Siena ) และอัสซีซี ( Assisi )
2) ฟลอเรนซ์ (FLORENCE): มหาวิหารดูโอโม่ ( Duomo di Firenze ), หอศิลป์ Uffizi Gallery, พิพิธภัณฑ์ Accademia Museum, รูปปั้นเดวิด ( David Statue ), สะพาน Vecchio, จัตุรัส Repubblica ( Piazza della Repubblica ), ตลาดเครื่องหนัง ( Florence Leather Market ), ตลาด The San Lorenzo Market ( Mercato Centrale ), โบสถ์ Santa Maria Novella, จัตุรัสไมเคิลแองเจโล ( Piazzale Michelangelo ) และโบสถ์ San Lorenzo
3) เวนิส (VENICE): แกรนด์คาแนล ( Grand Canal ), จัตุรัสซานมาร์โค ( Piazza San Marco ), มหาวิหารซานมาร์โค ( Saint Mark ‘s Basilica ), สะพาน Rialto, ตลาดปลา Rialto ( Rialto Fish Market ), พระราชวังดอจ์ด ( Doge ‘s Palace ), สะพานถอนหายใจ ( Bridge of Sighs ), มหาวิหาร Santa Maria della Salute, พิพิธภัณฑ์ Accademia Museum, โบสภ์ San Giorgio Magazzore, เกาะมูราโน่ ( Murano ) และเกาะบูราโน่ ( Burano )
4) มิลาน (MILAN): ​มหาวิหารดูโอโม่ ( Duomo di Milano ), โรงโอเปร่า La Scala ( La Scala Opera House ), ห้างสรรพสินค้า Galleria Vittorio Emanuele II, ถนนช้อปปิ้ง Monte Napoleone, หอศิลป์ Pinacoteca di Brera, ปราสาทซฟอร์ซ่า ( Sforza Castle ), โบสถ์ Santa Maria delle Grazie, The Naviglio Grande Canal, ซุ้มประตู Arch of Peace ( Arco della Pace ) และทะเลสาบโคโม่ ( Lake Como )
5) เวโรน่า (VERONA): เวโรนาอารีน่า ( Arena di Verona ), จัตุรัสบรา ( Piazza Bra ), จัตุรัส Erbe ( Piazza della Erbe ), จัตุรัสซินญอเรีย ( Piazza della Signoria ), บ้านจูเลียต ( Casa di Giulietta / Juliet ‘s House ), โบสถ์ Santa Anastasia, สะพาน Pietra, เมือง Castel San Pietro และสะพาน Castelvecchio
6) อิตาลีตอนใต้: เนเปิลส์ ( Naples ), ซอร์เรนโต ( Sorrento ), เกาะคาปรี ( Capri ), อนาคาปรี ( Anacapri ), ปอมเปอี ( Pompeii ) และอามาลฟี ( Amalfi )
7) หมู่บ้านชิวเควเทเร (CINQUE TERRE): หมู่บ้านชาวประมงมรกดโลกประกอบไปด้วยหมู่บ้าน 5 หมู่บ้านด้วยกันคือ Riomaggiore, Manarola, Corniglia, Vernazza และ Monterosso

อิตาลีช่วงไหนน่าเที่ยวบ้าง?

อิตาลีช่วงไหนน่าเที่ยวบ้าง?

ฤดูหนาวที่เย็นสบายและไม่หนาวจนเกินไป: เดือนธันวาคมถึงมีนาคม
ในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ 4℃ และสูงสุดที่ 13℃ ซึ่งถือว่าเป็นอากาศที่กำลังเย็นสบายและไม่หนาวจนเกินไป และถ้าหากคุณเดินทางลงไปทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี อากาศก็จะเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามอุณภูมิเฉลี่ยในหนึ่งวันนั้นค่อนข้างที่จะแปรปรวน แนะนำว่าให้ติดเสื้อโค้ตหรือเสื้อกันหนาวสำหรับในตอนเช้าและตอนกลางคืนที่อากาศมักจะหนาวเย็นกว่าช่วงอื่นๆของวัน นอกจากนั้นยังมีฝนตกอยู่บ้างเรื่อยๆ จึงควรที่จะพกร่มติดตัวเอาไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน

อากาศอุ่นๆเหมาะแก่การเดินเที่ยวกลางแจ้ง: เดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 
อุณหภูมิเฉลี่ยในหนึ่งวันนั้นก็ยังค่อนข้างที่จะแปรปรวนอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว โดยอุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ 9-11℃ และสูงสุดที่ 20℃ พกเสื้อคลุมหรือเสื้อแจ็คเก็ตเก๋ๆสักตัวและผ้าพันคอสักผืน เผื่อเอาไว้ในช่วงเช้าและช่วงเย็นที่พระอาทิตย์บอกลาลับขอบฟ้าไปแล้ว นอกจากนั้นก็อาจจะยังมีฝนตกบ้างเล็กน้อยในช่วง 2 เดือนนี้ พกร่มติดตัวเอาไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน

ซัมเมอร์ที่อากาศร้อนแรง: เดือนมิถุนายนถึงกันยายน 
คนไทยคงจะคุ้นเคยกับอากาศร้อนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ช่วงซัมเมอร์ที่ประเทศอิตาลีนี้ออกจะเย็นกว่าที่ประเทศไทยสักหน่อย โดยอุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ 16-18℃ และสูงสุดที่ 26-29℃ แต่ถึงอย่างนั้น แดดที่ประเทศอิตาลีนั้นค่อนข้างแรง แนะนำให้พกหมวก แว่นกันแดด และร่มกันแดดเอาไว้เพื่อบรรเทาอากาศร้อน อย่าลืมพกครีมกันแดดและน้ำดื่มติดตัวเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันแสงแดดและเติมความสดชื่นระหว่างการท่องเที่ยว

ลมเย็นสบายพัดกลับมาอีกครั้งหลังซัมเมอร์: เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน
ช่วงปลายซัมเมอร์ อากาศที่ร้อนระอุได้บรรเทาลงแล้ว เหลือเอาไว้เพียงลมเย็นๆต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิระหว่างวันต่ำลง อากาศเย็นสบายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ควรที่จะมีเสื้อคลุมหรือเสื้อแจ็คเก็ตติดตัวเอาไว้เผื่ออากาศหนาว และร่มเผื่อเอาไว้ในวันที่ฝนตก

งบประมาณในการท่องเที่ยวอิตาลี

งบประมาณในการท่องเที่ยวอิตาลี

โดยทั่วไปแล้ว ค่าครองชีพที่ประเทศอิตาลีนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศอื่นๆในยุโรป คุณสามารถรับประทานพิซซ่าหรือพาสต้าตามร้านอาหารต่างๆได้ในราคาที่ค่อนข้างถูกหรือไม่แพงจนเกินไป กาแฟและเจลาโต้สามารถหารับประทานได้ทั่วไปในราคาที่ถูก แต่ถ้าหากเป็นในเรื่องของค่าเข้าพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็อาจจะมีราคาที่ต้องพิจารณากันอีกที อย่างไรก็ตามตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมักจะมีส่วนลดสำหรับนักเรียนเสมอ ใครที่ยังถือบัตรนักเรียนอยู่ก็อย่าลืมนำติดตัวมาด้วยเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวไปในตัว โดยค่าใช้จ่ายต่อวันในการท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลีจะอยู่ที่ประมาณ 80€ ต่อคน ไม่รวมค่าที่พัก

กินอะไรดีเมื่อไปเยือนอิตาลี?

กินอะไรดีเมื่อไปเยือนอิตาลี?

อาหารอิตาเลียนก็เป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักอาหารอิตาเลียนเลยก็ว่าได้ เหล่าซอสต่างๆ เครื่องเทศเครื่องปรุงที่ถูกนำมาใช้ประกอบอาหารนั้นต่างก็มีหลากหลายชนิด ทำให้อาหารของแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป อาหารอิตาเลียนไล่ไปตั้งแต่ จานเรียกน้ำย่อย จานหลัก ขนมหวาน และเครื่องดื่ม ทั้งหมดที่กล่าวมาเหล่านี้บอกได้เลยว่าคุ้มค่าที่จะลองรับประทานทั้งสิ้น ลองไปดูกันว่าอาหารอิตาเลียนที่ห้ามพลาดนั้นมีอะไรบ้าง
1) CARBONARA:  พาสต้าครีมซอสที่มีส่วนประกอบหลักเป็นไข่แดงและชีส เป็นพาสต้าซอสเบสิคที่ใครได้ลองแล้วก็จะต้องติดใจไปตามๆกัน
2) AMATRICIANA:  ตัวแทนของพาสต้าที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบหลักของตัวซอสบวกกับเบค่อนและกระเทียม รับประทานคู่กับเส้นสปาเกตตี้ โดยเจ้าพาสต้า Amatriciana นี้มีต้นกำเนิดมาจากเมืองอามาตริเช ( Amatrice )
3) PIZZA: คงไม่มีใครไม่รู้จักพิซซ่าเป็นแน่แท้ เรียกได้ว่าพิซซ่านั้นเป็นอาหารประจำชาติของประเทศอิตาลีเลยก็ว่าได้ และอย่างน้อยๆแล้วจะต้องไปลองลิ้มชิมรสพิซซ่าที่ประเทศอิตาลีสักครั้งเมื่อไปถึง พิซซ่าที่ประเทศอิตาลีนั้นถูกปรุงรสอย่างพิถีพิถันและนำเข้าไปอบในเตาอบพิซซ่าที่ให้ความหอมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเตาอบธรรมดา พิซซ่าที่ประเทศอิตาลีจะมีเอกลักษณ์ส่วนตัวนั่นก็คือแป้งที่บางนุ่ม ไม่หนาจนเกินไป ราคาพิซซ่าโดยทั่วไปที่ประเทศอิตาลีนั้นเริ่มต้นที่ 3€ เท่านั้น
4) LASAGNA:  ลาซานญ่าเป็นอาหารจากทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี มีส่วนประกอบของแป้งพาสต้าแบบแผ่นแทนที่จะเป็นแบบเส้น วางทับซ้อนลงไปกับชีสและซอสเนื้อหรือซอสรากู ( Racu ) และถึงแม้ว่าลาซานญ่าจะถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในประเภทของพาสต้า หากแต่ว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสมีความแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
5) PROSCIUTTO & MELON:  คำว่า “ โพรชูตโต้ ” แปลว่าแฮมในภาษาอิตาลี และคนอิตาลีมักจะนิยมนำมารับประทานคู่กับเมล่อนสด แฮมที่นิยมนำมารับประทานคู่กันกับเมล่อนคือพาร์มาแฮม อาจจะฟังดูไม่เข้ากันเพราะแฮมนั้นมีรสเค็มในขณะที่เมล่อนนั้นมีรสหวาน อย่างไรก็ตาม มันกลับเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ สามารถหารับประทานได้ทั่วไปตามร้านอาหารหรือจะไปซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตมารับประทานเองก็ได้
6) RISOTTO:  ถ้าหากรับประทานอาหารจำพวกแป้งอย่างพิซซ่าหรือพาสต้าจนเบื่อแล้ว มาลองริซอตโต้กันบ้าง ริซอตโต้เป็นอาหารจานข้าวสไตล์อิตาเลียนที่ถูกนำไปปรุงกับวัตถุดิบต่างๆอย่างเช่นมะเขือเทศหรือเห็ดทรัฟเฟิลเป็นต้น รับประทานเป็นอาหารจานเดี่ยว
7) GNOCCHI: ยอกกี้คือแป้งและมันฝรั่งที่ถูกนำมาปั้นเป็นรูปทรงที่สวยงาม เสิร์ฟพร้อมกับซอสชนิดต่างๆอย่างเช่นซอสมะเขือเทสหรือซอสชีส ยอกกี้จะมีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างเหนียวหนุบและมีรสชาติที่หวานมัน
8) ARANCINI:  อารันชินีเป็นอาหารที่เหมาะจะรับประทานเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง หารับประทานได้ตามร้านอาหารเล็กๆที่ขายพิซซ่าแยกเป็นชิ้น ส่วนประกอบหลักของอารันชินีคือข้าว ชีสมอสซาเรลล่า และมะเขือเทศ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีหลากหลายส่วนผสมที่ถูกปรับเปลี่ยนให้มีลูกเล่นและมีรสชาติที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น
9) T-BONE STEAK: ถ้าหากคุณกำลังจะเดินทางไปเที่ยวที่เมืองฟลอเรนซ์ ( Florence ) คุณจะต้องไปรับประทานสเต็กเนื้อทีโบน โดยทั่วไปแล้วสเต็กเนื้อทีโบนที่นี่จะขายกันเป็นกิโล สเต็กเนื้อ 1 กิโลจะเสิร์ฟสำหรับ 2 ที่ ตัวเนื้อถูกปรุงรสอย่างพิถีพิถันและให้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากสเต็กเนื้อทั่วไปในยุโรป ในส่วนของราคาก็จะแตกต่างกันออกไป เริ่มต้นที่ตั้งแต่ 40-70€ ขึ้นอยู่กับชนิดและคุณภาพของเนื้อ และร้านอาหาร
10) GELATO:  ขนมหวานที่พลาดไม่ได้เลยเด็ดขาด ! คือเจลาโต้หรือไอศกรีมของประเทศอิตาลีนั่นเอง ในวันที่อากาศร้อนระอุ ดับร้อนด้วยเจลาโต้ที่ทั้งเย็นชื่นใจและให้รสชาติที่สดชื่น ปลุกให้คุณตื่นขึ้นมาจากความร้อนในซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึงนี้ ร้านเจลาโต้นั้นมีให้เห็นทั่วไปตามตัวเมือง แต่ละร้านมักจะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป ร้านเจลาโต้ 3 ร้านชื่อดังในกรุงโรมที่ต้องไปโดนได้แก่ Passeig, Giolitti และ Old Bridge
11) CANNOLI:  คาโนลีคือขนมหวานท้องถิ่นจากเมืองซิซิลี ( Sicily ) เป็นขนมรูปทรงกระบอกทำมาจากแป้งบางกรอบ ตรงกลางสอดไส้หลากหลายอย่างเช่น ครีม ชีสริคอตต้า หรือผลไม้ชนิดต่างๆ มีหลายขนาดและหลายรสชาติให้เลือกรับประทาน
12) TOMATO CAPRESE SALAD: สลัดคาเปรเซ่นี้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยที่นิยมรับประทานกันทั่วทั้งประเทศอิตาลี เป็นอาหารที่แสนจะเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และทุกๆร้านอาหารจะต้องมีเมนูนี้ติดเอาไว้ สลัดคาเปรเซ่ประกอบไปด้วยมะเขือเทศ ชีสมอสซาเรลล่า น้ำมันมะกอก ใบโหระพาอิตาลี และซอสบัลซามิก

การเดินทางในอิตาลี

การเดินทางในอิตาลี

ประเทศอิตาลีมีระบบรถไฟที่ค่อนข้างทั่วถึง ทุกๆเมืองถูกเชื่อมต่อกันด้วยรถไฟแม้กระทั่งเมืองเล็กๆ จึงทำให้การท่องเที่ยวในประเทศอิตาลีเป็นเรื่องง่ายและไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม รถไฟในประเทศอิตาลีนั้นยังไม่ตรงต่อเวลาเท่าไรนัก มักจะมีการดีเลย์เกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นเหตุให้ต้องคอยเช็คตารางรถไฟบ่อยๆ สำหรับใครที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศอิตาลีโดยใช้รถไฟเป็นยานพาหนะหลัก คุณสามารถซื้อบัตร Eurail Italy Pass เพื่อเดินทางได้ หากแต่ว่าสำหรับรถไฟความเร็วสูงจะต้องมีการสำรองที่นั่งล่วงหน้าทุกครั้งก่อนเดินทางและการสำรองที่นั่งล่วงหน้ามีค่าใช้จ่ายที่นั่งละ 10€

1) การเดินทางไปยังเมืองอื่นๆในอิตาลี
รถไฟ:  บริษัทรถไฟที่ให้บริการในประเทศอิตาลีมีอยู่ 2 เจ้าหลักได้แก่ Trenitalia และ Italo ก่อนทำการสำรองที่นั่งควรลองเช็คและเปรียบเทียบราคาระหว่าง 2 เจ้านี้ดูก่อนเพราะว่าทั้ง 2 เจ้านี้มักจะมีราคาและตารางเวลาที่แตกต่างกันเล็กน้อย
รถบัส:  สำหรับใครที่มีเวลามากหน่อยหรือคิดว่าการเดินทางด้วยรถไฟนั้นราคาสูงเกินไป สามารถเดินทางด้วยรถบัสได้อย่าง Eurolines หรือ FlixBus ได้

2) การเดินทางในกรุงโรม
ในเมืองหลวงอย่างกรุงโรม ขนส่งสาธารณะนั้นมีทั้งรถบัส รถแทรม และรถไฟใต้ดิน อย่างไรก็ตาม รถบัสนั้นมักจะมาไม่ค่อยตรงต่อเวลาสักเท่าไร สำหรับใครที่มีตารางการท่องเที่ยวที่ค่อนข้างแน่น แนะนำว่าให้เดินทางด้วยรถไฟใต้ดินหรือรถแทรมจะดีที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงโรมส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากทำให้การเดินทางนั้นค่อนข้างสะดวก ตั๋วรถ 1 เที่ยวสามารถใช้ได้ไม่จำกัดครั้งภายในเวลา 100 นาที ตั๋วรถสามารถหาซื้อได้ตามสถานีรถ ร้านขายของตามถนน หรือ Tabacchi และอย่าลืมที่จะ validate ตั๋วที่เครื่องทุกครั้งที่ออกเดินทาง มิเช่นนั้นอาจจะถูกปรับได้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วพบเห็น
ตั๋วสำหรับ 1 เที่ยว: ราคาอยู่ที่ 1.50€ ต่อ 1 ใบ สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งรถบัส รถแทรม และรถไฟใต้ดิน ภายในเวลา 100 นาทีหลังจาก validate ตั๋วแล้ว
ตั๋วสำหรับ 1, 2 และ 7 วัน: ราคาอยู่ที่ 7€, 12.50€ และ 24€ ตามลำดับ สามารถใช้เดินทางได้ในทุกรูปแบบไม่กำจัดจำนวนครั้งภายในเวลาที่กำหนด

การเดินทางจากสนามบินโรมไปยังใจกลางเมือง
รถบัสสนามบิน (สนามบิน Fiumicino): รถบัสสนามบิน Fiumicino จะวิ่งทุกๆ 30 นาทีระหว่างสนามบินและสถานีรถไฟ Termini นอกจากนั้นแล้วยังมีรถบัสสนามบินบริษัทอื่นๆที่ให้บริการ โดยท่ัวไปแล้วราคาจะอยู่ที่ 6€ และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีในการเดินทาง และถ้าหากคุณต้องการเดินทางจากสถานีรถไฟ Termini ไปยังสนามบิน คุณสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือไปซื้อกับคนขับรถเลยก็ได้ หากแต่ว่าในช่วงไฮซีซั่น แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าเนื่องจากความต้องการมีมากอาจจะทำให้ที่นั่งบนรถบัสไม่เพียงพอ และควรไปถึงที่ท่ารถบัสล่วงหน้าก่อนเวลารถออกสักหน่อย ถ้าหากไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าและที่นั่งบนรถบัสไม่พอ ลองเปลี่ยนไปเดินทางด้วยรถไฟดู

รถไฟ (สนามบิน Fiumicino): รถไฟความเร็วสูง Leonardo Express นำคุณเดินทางจากสนามบิน Fiumicino ไปยังใจกลางเมืองภายใน 30 นาที ราคาอยู่ที่คนละ 14€ ต่อเที่ยว อย่างไรก็ตามคุณสามารถเดินทางด้วยรถไฟปกติได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ราคา 8€
รถบัสสนามบิน (สนามบิน Ciampino): รถบัสสนามบิน Ciampino วิ่งระหว่างสนามบินและสถานีรถไฟ Termini ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ราคาอยู่ที่คนละ 4€

3) การเดินทางในเมืองฟลอเรนซ์
ขนส่งสาธารณะในเมืองฟลอเรนซ์ ( Florence ) ประกอบไปด้วยรถบัสและรถแทรม สามารถหาซื้อตั๋วรถได้ตามร้าน Tabacchi หรือสถานีรถต่างๆ และอย่าลืม validate ตั๋วทุกครั้งที่เดินทาง
ตั๋วสำหรับ 1 เที่ยว: ตั๋ว 1 เที่ยวสามารถใช้ได้ไม่จำกัดครั้งภายใน 90 นาที ราคาอยู่ที่คนละ 1.50€ ถ้าซื้อตามสถานีรถ แต่ถ้าหากไปซื้อบนรถบัสราคาจะอยู่ที่คนละ 2.50€ เลยทีเดียว
ตั๋วสำหรับ 10 เที่ยว: ถ้าคิดว่าจะต้องเดินทางบ่อยๆ สามารถซื้อตั๋วแบบ 10 เที่ยวได้ในราคาที่ถูกลง โดยราคาตั๋ว 10 เที่ยวจะอยู่ที่ 14€ เฉลี่ยเที่ยวละ 1.40€

การเดินทางจากสนามบินฟลอเรนซ์ไปยังใจกลางเมือง
รถบัสสนามบิน: รถบัสสนามบินวิ่งทุกๆ 30 นาที ราคาอยู่ที่คนละ 6€ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยสถานีรถบัสจะอยู่ตรงประตูทางออกจากสนามบิน
แท็กซี่:  ในกรณีที่เดินทางไปถึงในช่วงดึก คุณสามารถเดินทางเข้าไปยังใจกลางเมืองได้ด้วยรถแท็กซี่ โดยจะมีราคากำหนดเอาไว้แล้ว อยู่ที่เที่ยวละ 22€ ในวันหยุดราคาจะขึ้นเป็น 24€ และถ้าหากใช้บริการหลังเวลา 22:00 เป็นต้นไปราคาจะอยู่ที่ 25.30€ ถ้าหากคุณมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ คุณจะต้องจ่ายค่าบรรทุกกระเป๋าเดินทางใบละ 1€

4) การเดินทางในเวนิส
ที่เมืองเวนิส ( Venice ) เกาะชื่อดังของประเทศอิตาลีไม่ได้มีขนส่งสาธารณะที่เป็นรถอย่างกรุงโรมหรือเมืองฟลอเรนซ์ หากแต่ว่ามีเรือสาธารณะหรือเรือเมล์ ( Water Bus ) เข้ามาแทนที่ อีกทั้งยังมีเรือแท็กซี่ที่เรียกว่า Vaporetto อีกด้วย คุณสามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานีรถไฟ Santa Lucia Central, ท่าเรือ Vaporetto หรือท่าเรืออื่นๆบนเกาะ หรือแม้กระทั่งที่ร้าน Tabacchi และเหมือนรถบัสและรถไฟใต้ดินทั่วไปที่คุณต้อง validate ตั๋วทุกครั้งที่เดินทาง มิเช่นนั้นจะถือว่าคุณเดินทางแบบผิดกฎหมาย สำหรับใครที่ถือบัตร Rolling Venice Card คุณสามารถซื้อตั๋ว Vaporetto ในราคาโปรโมชั่นได้
ตั๋วสำหรับ 1 เที่ยว: ราคาอยู่ที่คนละ 7.50€ ใช้ได้ภายใน 72 นาที หากแต่ว่าสามารถใช้ได้แค่กับเรือ 1 ลำเท่านั้น ไม่สามารถใช้ตั๋วใบเดียวกันเพื่อเปลี่ยนไปขึ้นเรืออีกลำได้ ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในเวลา 72 นาทีก็ตาม เพราะฉะนั้น ถ้าคุณต้องการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะมูราโน่ ( Murano ) และเกาะบูราโน่ ( Burano ) แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วแบบ 24 ชั่วโมงจะดีกว่า
ตั๋ว 24, 48 และ 72 ชั่วโมง: ราคาอยู่ที่ 20€, 30€ และ 40€ ตามลำดับ สามารถใช้เดินทางได้ในทุกรูปแบบไม่กำจัดจำนวนครั้งภายในเวลาที่กำหนด
การเดินทางไปเกาะมูราโน่ (MURANO): นั่งเรือสาธารณะเบอร์ 3 จากสถานี Ferrovia ตั้งอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟ Santa Lucia Central ไปยังสถานี Venier ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
การเดินทางไปเกาะบูราโน่ (BURANO): นั่งเรือสาธารณะเบอร์ 3 จากสถานี Ferrovia ไปยังสถานี Murano Faro หลังจากนั้นต่อเรือสาธารณะเบอร์ 12 ไปยังสถานี Burano หรืออีกทางหนึ่งก็คือเดินจากสถานีรถไฟ Santa Lucia Central ไปยังสถานี Fondamente Nove ใช้เวลาประมาณ 25 นาที และนั่งเรือสาธารณะเบอร์ 12 ไปยังสถานี Burano ใช้เวลาประมาณ 50 นาที

ตั๋ว บัตรเดินทาง และส่วนลดต่างๆในอิตาลี

ตั๋ว บัตรเดินทาง และส่วนลดต่างๆในอิตาลี

สำหรับนักเรียนที่เดินทางท่องเที่ยว อย่าลืมถือบัตรนักเรียนแบบ International Student Card ติดตัวมาด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศอิตาลีนั้นมีส่วนลดสำหรับนักเรียนที่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป แต่ก็ควรนำติดตัวมาด้วยในกรณีที่สถานที่นั้นๆมีส่วนลดสำหรับนักเรียนหรือในกรณีที่คุณจะเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆ สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ว่ามีส่วนลดสำหรับนักเรียนหรือไม่ก่อนทำการซื้อตั๋ว และด้วยความที่ประเทศอิตาลีนั้นเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในช่วงไฮซีซั่น เวลาในการต่อคิวซื้อตั๋วหรือเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอาจจะต้องใช้เวลานาน แนะนำว่าให้ทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าโดยอาจจะมีค่าธรรมเนียมในการจองล่วงหน้าที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม และใครที่ตารางเที่ยวค่อนข้างแน่นและมีเวลาไม่มากนักก็ควรที่จะซื้อตั๋วล่วงหน้าเอาไว้เช่นกัน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แต่ถ้าใครจะเดินทางมาเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น สามารถมาซื้อตั๋วได้เลยที่หน้างาน
ROME PASS: บัตร Rome Pass นี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมาเที่ยวกรุงโรมและต้องการที่จะเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างเช่นโคลอสเซียม พิพิธภัณฑ์ และนิทรรศการศิลปะต่างๆ หากแต่ว่าบัตร Rome Pass นี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับพิพิธภัณฑ์วาติกัน ( Vatican Museum ) ได้ โดยเจ้าบัตรนี้สามารถให้คุณเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆได้ฟรีหรือในราคาที่ถูกลง อีกทั้งยังสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกรูปแบบโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในเวลาที่กำหนดอีกด้วย บัตร Rome Pass นี้มีทั้งหมด 2 แบบด้วยกันนั่นก็คือแบบ 48 และ 72 ชั่วโมง
สำหรับแบบ 48 ชั่วโมง ราคาจะอยู่ที่ 28€ คุณสามารถเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวได้ฟรี 1 ที่โดยไม่ต้องต่อคิว ( โคลอสเซียม, โรมันฟอรัม หรือเนินเขาปาลาติเน ) สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆสามารถซื้อตั๋วได้โดยมีส่วนลด 50 % สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกรูปแบบโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในเวลา 48 ชั่วโมง
ในขณะที่บัตร 72 ชั่วโมงนั้น ราคาจะอยู่ที่ 38.50€ สามารถเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวได้ฟรี 2 ที่โดยไม่ต้องต่อคิว สามารถซื้อตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆได้โดยมีส่วนลด 50 % และสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทุกรูปแบบโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในเวลา 72 ชั่วโมง
บัตร Rome Pass จะเริ่มนับเวลาในครั้งแรกที่คุณใช้ ไม่ว่าจะเป็นกับขนส่งสาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยว หรือพิพิธภัณฑ์ คุณสามารถซื้อบัตร Rome Pass ได้ที่ Tourist Information Center หรือร้าน Tabacchi หรือซื้อล่วงหน้าออนไลน์และไปรับบัตรที่ Tourist Information Center เมื่อเดินทางมาถึงที่กรุงโรม
ROLLING VENICE CARD: ด้วยบัตร Rolling Venice Card คุณสามารถซื้อตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเวนิสได้ในราคาโปรโมชั่น สามารถใช้ได้ในบุคคลที่อายุต่ำกว่า 29 ปีและมีราคาเพียง 6€ เท่านั้น สำหรับใครที่ไม่ได้วางแผนว่าจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวมากมายก็ควรจะมีบัตรนี้ติดตัวเอาไว้ เพราะเจ้าบัตรนี้มีส่วนลดมากมายไม่ใช่แค่เพียงตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น

สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในอิตาลี

สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในอิตาลี

ประเทศอิตาลีใช้สกุลเงินเดียวกันกับประเทศอื่นๆในยุโรป นั่นก็คือ EUR ( € ) หรือยูโร นับว่าค่อนข้างสะดวกสบายเลยทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้ยุ่งยากเมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป อย่างไรก็ตามควรที่จะแลกเงินไปให้เพียงพอต่อการท่องเที่ยวเพราะเค้าน์เตอร์แลกเงินทั่วไปตามเมืองต่างๆอาจจะมีค่าธรรมเนียมที่สูงเกินจริง

ของที่ระลึกน่าซื้อจากอิตาลี

ของที่ระลึกน่าซื้อจากอิตาลี

1) BIALETTI MOKA POT:  โมก้าพอทนี้คือหม้อต้มกาแฟที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารัก เป็นของที่ชาวอิตาเลียนจะต้องมีติดบ้านเอาไว้ทุกบ้าน เจ้าโมก้าพอทของ Bialetti นี้มีดีไซน์ที่น่ารักน่าสะสม อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าที่เมืองไทยเป็นอย่างมาก
2) ITALY WINE:  นอกจากอาหารแล้ว ประเทศอิตาลียังมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของไวน์ โดยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพันธุ์องุ่นกว่า 2,200 ชนิดที่ปลูกอยู่ที่ประเทศอิตาลี
3) LIMONCELLO: เครื่องดื่มนี้เป็นหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อคุณไปเยือนทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี Limoncello นี้คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีส่วนผสมของเลม่อนเป็นหลักโดยทั่วไปจะใช้พันธุ์ Sorrento Lemon เจ้าเหล้ามะนาวนี้มีดีกรีที่สูงและค่อนข้างแรง ผู้คนนิยมดื่มกันในปริมาณที่น้อย ถ้าหากใครติดใจสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตโดยแต่ละแบรนด์ก็จะมีรูปร่างของขวดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นรูปแผนที่ประเทศอิตาลีหรือรูปผลเลม่อน
4) ILLY & LAVAZZA COFFEE: ประเทศอิตาลีมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องกาแฟเป็นอย่างมาก โดยมี Illy และ Lavazza เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆของประเทศ คุณสามารถหาซื้อเมล็ดกาแฟ เครื่องทำกาแฟ แก้วกาแฟ และอุปกรณ์การดื่มและทำกาแฟอีกมากมายได้ตามร้านกาแฟของ Illy และ Lavazza ที่มีอยู่ทั่วเมือง อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆอีกด้วย
5) BALSAMIC VINEGAR: ไม่ว่าจะเป็นการทำหรือรับประทานอาหารจานเรียกน้ำย่อยนั้น ชาวอิตาเลียนมักจะใช้น้ำส้มสายชูบัลซามิกคู่กันเสมอ เพราะฉะนั้นน้ำส้มสายชูบัลซามิกในประเทศอิตาลีจึงมีให้เลือกหลากหลายชนิด หลากหลายแบรนด์ และมีราคาที่ถูก
6) TRUFFLE OIL & SALT:  เห็ดทรัฟเฟิลจากแคว้นปีเยมอนเต ( Piemonte ) ถือว่าเป็นเห็ดทรัฟเฟิลที่มีคุณภาพดีที่สุด คุณจึงสามารถหาซื้อเกลือทรัฟเฟิลหรือน้ำมันทรัฟเฟิลได้อย่างง่ายดายในราคาที่ถูกกว่าที่อื่น
7) POCKET COFFEE CHOCOLATE:  ช็อกโกแลตอาจจะฟังดูเป็นของฝากทั่วๆไป หากแต่ว่าเจ้าช็อกโกแลตจากประเทศอิตาลีนั้นจะเป็นช็อกโกแลตที่สอดไส้กาแฟเอสเพรสโซ่อันเข้มข้นเอาไว้ด้านใน และถึงแม้ว่าความหวานของช็อกโกแลตถูกความขมจากกาแฟตัดรสชาติ แต่ก็ยังมีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี
8) MARVIS TOOTHPASTE:  ยาสีฟันแบรนด์ Marvis นี้เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ Chanel ของวงการยาสีฟันเลยก็ว่าได้ ความหรูดูแพงนั้นมีมาตั้งแต่ตัวแพ็คเกจ อีกทั้งยังมีรสชาติที่หลากหลาย ทำมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ผสมสีสังเคราะห์ เหมาะจะซื้อเป็นของฝากให้คนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
9) SANTA MARIA NOVELLA:  Santa Maria Novella เป็นแบรนด์เครื่อสำอางที่มีประวัติความเป็นมากว่า 400 ปี ร้านตั้งอยู่ข้างๆโบสถ์ Santa Maria Novella โดยในสมัยก่อน นักบวชที่อาศัยอยู่ที่โบสถ์นี้ใช้สมุนไพรและดอกไม้ในการทำยา หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาจนเกิดเป็นแบรนด์นี้ขึ้นมา แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่คนอิตาลีนิยมชมชอบกัน มีมอยส์เจอไรเซอร์และ Regeneration Cream เป็นสินค้าขายดีของแบรนด์
10) MARTET COSMETICS: มีเครื่องสำอางราคาประหยัดอีกมากมายที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปในราคาที่ไม่ถึง 5€ หนึ่งในนั้นคือ Roberts Rose Water, Roberts Rose Cream และ Cera di Cupra Cream ที่เป็นที่นิยมและน่าซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านไปมากที่สุด
11) KIKO COSMETICS: Kiko เป็นแบรนด์เครื่องสำอางของประเทศอิตาลีที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกแบรนด์หนึ่ง ทั้งจากสีสันที่สดใส อีกทั้งยังมีให้เลือกหลากหลายชนิด นอกจากนั้นยังมีราคาที่ถูกแสนถูก เหมาะที่จะซื้อไปใช้เองและซื้อไปฝากคนที่คุณรักอีกด้วย
12) LEATHER GOODS:  เหล่าเครื่องหนังจากประเทศอิตาลีเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วโลก ตลาดเครื่องหนังมีอยู่มากมายทั่วทุกเมือง ไม่ว่าจะเป็นที่ฟลอเรนซ์หรือกรุงโรม เป็นสินค้าเครื่องหนังที่ได่คุณภาพและมีราคาที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก

การขอคืนภาษี (TAX REFUND) ในอิตาลี

การขอคืนภาษี (TAX REFUND) ในอิตาลี

ที่ประเทศอิตาลี การจะขอการคืนภาษีหรือ Tax Refund ได้นั้นคุณจะต้องไม่เป็นพลเมืองของทวีปยุโรปและจะต้องเดินทางออกจากประเทศอิตาลีภายใน 3 เดือนหลังจากซื้อสินค้า และจะต้องซื้อสินค้ารวมในราคา 154.95€ ขึ้นไป ต้องมีอายุมากกว่า 16 ปีและเดินทางมาท่องเที่ยวยุโรปในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ในบางครั้ง เจ้าหน้าที่อาจจะมีการขอตรวจสินค้าที่ซื้อมาจึงต้องเตรียมพร้อมแสดงสินค้าแก่เจ้าหน้าที่เสมอ
เมื่อได้รับแบบฟอร์มประกอบการขอ Tax Refund จากร้านค้าแล้ว ให้คุณกรอกแบบฟอร์มให้ครบถ้วนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปกรอกที่สนามบิน
ถ้าหากประเทศอิตาลีเป็นประเทศสุดท้ายก่อนที่คุณจะเดินทางออกจากทวีปยุโรป ให้คุณทำ Tax Refund ที่สนามบินประเทศอิตาลี แต่ถ้าหากคุณกำลังจะเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป ให้คุณทำ Tax Refund ที่ประเทศสุดท้ายก่อนที่คุณจะเดินทางออกจากทวีปยุโรป ในกรณีที่คุณจะเดินทางออกจากทวีปยุโรปจากประเทศอิตาลีแต่จำเป็นต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศอื่นในยุโรป คุณสามารถทำ Tax Refund ที่ประเทศอิตาลีได้เลย
ที่สนาบิน คุณควรที่จะทำ Tax Refund ก่อนที่จะเช็คอินและโหลดกระเป๋า เพราะถ้าหากคุณโหลดกระเป๋าไปก่อนแล้วแต่เจ้าหน้าที่ต้องการให้คุณแสดงสินค้าที่คุณซื้อมา อาจจะเป็นเรื่องยุ่งเอาที่คุณไม่สามารถแสดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ได้ บางสนามบินอาจจะมีการแบ่งแยกเค้าน์เตอร์ของแต่ละบริษัท Tax Refund เอาไว้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นควรที่จะตรวจสอบให้เรียบร้อยว่าเค้าน์เตอร์ของบริษัทไหนอยู่ที่ไหนเพื่อวางแผนเวลาที่ต้องใช้เพื่อต่อคิว ถ้าหากคุณจำเป็นต้องทำ Tax Refund กับหลายบริษัท แนะนำว่าควรที่จะเดินทางมาถึงสนามบินล่วงหน้าก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง
ในกรณีที่คุณต้องทำ Tax Refund จากสินค้าที่ซื้อมาจากประเทศอื่นๆในยุโรป ให้คุณนำแบบฟอร์มไปรับตราประทับจากเจ้าหน้าที่แล้วหย่อนลงตู้ที่มีเตรียมเอาให้ไว้ได้เลย ในกรณีที่คุณได้รับมาเพียงใบเสร็จรับเงิน ให้สอบถามเจ้าหน้าที่ดูว่าจะต้องนำไปหย่อนตู้หรือไม่
การขอ Tax Refund นั้นมีทั้งหมด 2 ทางหลักๆด้วยกันนั่นก็คือการขอคืนเป็นเงินสดที่ซึ่งสามารถรับเงินคืนได้เลยที่สนามบินหรือขอเงินคืนเข้าบัตรเครดิตซึ่งจะใช้เวลานานกว่าประมาณ 1 เดือน ในกรณีที่ต้องการรับเงินคืนเป็นเงินสด จะมีค่าธรรมเนียมต่อ 1 ใบเสร็จที่ต้องจ่ายทำให้เงินที่ได้รับคืนมามีเปอร์เซ็นต์ที่ลดลงจากที่ควรจะได้ และในกรณีที่คุณเดินทางไปถึงที่สนามบินในช่วงดึกหรือเช้ามืด คุณจะสามารถรับเงินคืนเข้าบัตรเครดิตได้ทางเดียวเท่านั้น

มารยาทเบื้องต้นและการให้ทิปในอิตาลี

มารยาทเบื้องต้นและการให้ทิปในอิตาลี 

ที่ประเทศอิตาลีไม่มีธรรมเนียมการให้ทิปในร้านอาหาร หากแต่ว่าค่าบริการนั้นได้รวมไปแล้วในบิล ในบางครั้งร้านอาหารจะมีค่า “ Cortado ” หรือค่าโต๊ะที่จะต้องจ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม คนท้องถิ่นยังมีการให้ทิปอยู่บ้างตามโอกาสและความเหมาะสม

เคล็ดลับในการท่องเที่ยวอิตาลี 

เคล็ดลับในการท่องเที่ยวอิตาลี

ประเทศอิตาลีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องจำนวนมิจฉาชีพที่ล้นเมือง คุณควรที่จะต้องระมัดระวังตัวและทรัพย์สินของคุณเอาไว้ตลอดเวลา สะพายกระเป๋าเอาไว้ที่ด้านหน้า หรือถ้าหากเป็นกระเป๋าเป้ที่ต้องสะพายด้านหลัง แนะนำว่าให้แยกกระเป๋าเล็กอีกหนึ่งใบมาสะพายด้านหน้าเพื่อเก็บพาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าเอาไว้กับตัว นอกจากนั้นแล้ว การเก็บของมีค่าเอาไว้ที่โรงแรมนั้นก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป มีข่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งว่าของมีค่าที่เก็บเอาไว้ที่โรงแรมหายไป เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้พกพาสปอร์ต กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา หรือถ้าหากจำเป็นจะต้องเก็บของมีค่าเอาไว้ที่โรงแรมจริงๆ แนะนำว่าให้แขวนป้ายว่าไม่ต้องการทำความสะอาดเอาไว้ที่หน้าห้องก่อนออกเดินทาง
ในเมืองฟลอเรนซ์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะไม่ทันระวังตัวเพราะกำลังตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตและความสวยงามของมหาวิหารดูโอโม่อยู่ อาจจะทำให้เดินเซไปเหยียบผลงานศิลปะของศิลปินที่นำภาพวาดของตนมาวางขายได้ และแน่นอนว่าศิลปินเหล่านี้จะบังคับให้คุณจ่ายค่าเสียหายอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นควรจะต้องระวังให้ดี
ตามขนส่งสาธารณะ อาจจะมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาทำเป็นคุยกับคุณหรือพยายามยืนขวางทาง ทำให้คุณไม่ทันระวังของมีค่า มิจฉาชีพจะใช้ช่วงเวลาที่คุณเผลอฉกเอาของมีค่าของคุณไป ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆอีกมากมาย มิจฉาชีพเหล่านี้มีจะมีเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
ในประเทศอิตาลีนี้ใช้กระแสไฟฟ้าที่ 220V และตัวปลั๊กมีลักษณะที่ค่อนข้างเล็กกว่าประเทศอื่นๆ อย่าลืมพกอแดปเตอร์ติดตัวไปด้วย
ประเทศอิตาลีสามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้ ถ้าหากไม่คุ้นชินก็สามารถไปหาซื้อน้ำจากซุปเปอร์มาเก็ตได้

ประเทศอิตาลีต้องการที่จะบำรุงรักษาความเก่าแก่และความคลาสสิคเอาไว้ จึงทำให้ถนนหนทางนั้นยังเป็นหินก้อนเล็กๆที่นำมาเรียงกันอยู่ เวลาเดินจึงทำให้เมื่อเท้าได้ง่ายดาย แนะนำว่าให้เตรียมรองเท้าเดินสบายและพื้นที่หนาหน่อยเพื่อป้องกันความเมื่อยล้า
ห้องน้ำสาธารณะนั้นหาได้ค่อนข้างยากในประเทศอิตาลีและตามร้านคาเฟ่เล็กๆมักจะไม่มีห้องน้ำให้บริการ จึงควรที่จะเข้าห้องน้ำเตรียมตัวเอาไว้ในทุกครั้งที่มีโอกาส และตามสถานีรถไฟจะมีห้องน้ำให้บริการอยู่โดยจะต้องจ่ายเงินครั้งละ 1€