“ ในอีกฟากฝั่งของกำแพงคือมหาสมุทร …และถัดออกไปจากมหาสมุทร …คือเสรีภาพ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันเคยเชื่อ …แต่ฉันคิดผิด – เป็นศัตรูต่างหากที่อยู่ถัดออกไป – ทั้งหมดเป็นไปตามที่ฉันเห็นในความทรงจำของพ่อ – ถ้าเราฆ่าศัตรูที่อยู่ที่นั่นทั้งหมด พวกเราก็จะเป็นอิสระใช่ไหม ? ”เอเร็น เยเกอร์
จิตในปรัชญาของเฮเกล
‘ จิต ’ ( Spirit/Mind ) หรือ Geist ในภาษาเยอรมัน เป็นหัวใจสำคัญในระบบปรัชญาของเฮเกล ( Hegel ) [ 1 ] สำหรับเฮเกลนั้น ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากการไล่ตามสำนึกแห่งเสรีภาพ เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องพัฒนาการของจิต [ 2 ] กล่าวคือ เสรีภาพจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำพาให้จิตหลุดออกจากกรงขังแห่งข้อจำกัด ไปสู่การบรรลุจิตขั้นสัมบูรณ์ในท้ายที่สุด
สำหรับเฮเกล จิตยังอยู่ในฐานะเป็นความคิด ( Idea ) อันจะเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ( History ) สภาพความเป็นจริง ( Reality ) ตลอดจนถึงความจริง ( Truth ) กล่าวอย่างง่ายคือ จิตจะเป็นตัวผลักดันให้มนุษยชาติก้าวไปข้างหน้า
หากว่ากันตามวิภาษวิธีแบบเฮเกล ( Hegelian dialectic ) จิตไม่ใช่เพียงแค่สิ่งนามธรรม แต่ยังเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกด้วย [ 3 ] สำหรับเฮเกลแล้ว สัตตะ/การมีอยู่ ( being ) และความคิดนั้นเหมือนกัน เพราะจิตไม่ได้มีอยู่แค่ในระดับความคิดเท่านั้น แต่ยังดำรงอยู่ในโลกระดับความเป็นอยู่ ( existential ) [ 4 ] ตามนัยนี้ สิ่งที่อยู่ภายในยังเป็นวัตถุที่อยู่ภายนอกด้วยในเวลาเดียวกัน
ข้อเสนอในระบบปรัชญาของเฮเกลเป็นการแก้ปัญหาของคานท์เทียน ( Kantian Problem ) ที่ไม่สามารถบรรลุความจริงสัมบูรณ์ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องตัวกลาง ( medium ) [ 5 ] เช่น เมื่อมนุษย์เข้าถึงสรรพสิ่งได้ด้วยความรู้ ความรู้จึงเป็นตัวกลาง/ตัวเชื่อมในการเข้าหาสรรพสิ่ง ซึ่งตัวความรู้เองก็ไม่ใช่สรรพสิ่งนั้น และเมื่อสรรพสิ่งมีการดำรงอยู่ได้ในตัวมันเอง ( noumenon ) คำอธิบายผ่านความรู้หรือตัวกลางจึงพร้อมเสมอที่จะบิดเบือนและสร้างความเข้าใจผิดต่อสรรพสิ่งนั้นไป
กล่าวได้ว่า ถ้าความจริงของคานท์เป็นเสมือนพระเจ้าที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าถึงได้ ( จากปัญหาเรื่องตัวกลาง ) ข้อเสนอของเฮเกลก็เป็นการดึงพระเจ้าลงมาจากสรวงสวรรค์ และทำให้มนุษย์เข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับมันได้ ส่งผลให้ไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือตัวมันเอง ( nothing beyond itself ) ความเป็นจริงจึงสามารถรับรู้ได้โดยตรงและรู้ได้ด้วยตัวเองผ่านจิต เฮเกลเรียกสภาวะที่จิตรู้ตัวว่ามันถูกก่อรูปจากตัวเอง ว่าเป็น ‘ ความรู้สัมบูรณ์ ’ ( absolute cognition ) [ 6 ]
พระเจ้าของเฮเกลจึงไม่ได้ดำรงอยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์ แต่ดำรงอยู่ในโลกปรากฏการณ์ตรงหน้า และเป็นทั้งส่วนที่อยู่ทั้งในตัวมนุษย์และธรรมชาติ ตลอดจนในทางกลับกัน ( frailty versa ) เมื่อพระเจ้าและมนุษย์ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในโลกนี้ พระเจ้าจึงดำรงอยู่ในมนุษย์ และมนุษย์ดำรงอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าของเฮเกลจึงไม่ทำให้จิตวิญญาณ ( person ) ของมนุษย์เกิดความแปลกแยก ( alienation ) [ 7 ] เหมือนกับที่เป็นในคริสต์ศาสนาหรือปรัชญาของคานท์ ที่วางให้พระเจ้าอยู่นอกเหนือโลกการรับรู้ของมนุษย์ ทั้งหมดนี้เหมือนกับในการ์ตูนเรื่อง Attack on Titan ที่เอเร็นสามารถเข้าถึงพลังของไททันได้อย่างสมบูรณ์ ดังจะกล่าวต่อไป
สำหรับเฮเกลแล้ว จิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายในและอยู่สำหรับตัวมันเอง ( in and for itself ) เป็นเหตุผลในตัวเอง ( being-for-self ) สิ่งที่อยู่ภายในจิต คือ ความรู้และประวัติศาสตร์โลก ( คล้ายกับพลังของไททันก่อกำเนิด ) โดยจิตพร้อมเสมอที่จะเปลี่ยนผ่านในตัวเอง และเพื่อตัวมันเอง ไปยังระดับที่สูงขึ้นอีกต่อไป ( future higher degree ) [ 8 ] เมื่อทุกอย่างพัฒนาถึงขีดสุดแล้ว จะเกิดเป็นจิตสากล ( universal joint spirit )
ในทัศนะของ อองรี เลอแฟบร์ ( Henri Lefebvre ) เห็นว่า สำหรับเฮเกลนั้น การที่เหตุผล ( ที่อยู่ในตัวมันเอง ) จะทำงานได้ จำเป็นต้องมีรัฐคอยกำกับ เพราะรัฐเป็นจุดสูงสุดของเหตุผล ( และประวัติศาสตร์ ) และ “ เป็น ‘ ซับเจ็คต์ ’ สัมบูรณ์ในทางปรัชญาที่เหตุผลก่อรูปขึ้นมา โดยที่เหตุผลในตัวมันเองก็เป็นการก่อรูปของความคิด ( Idea ) ” [ 9 ] เมื่อเกิดรัฐซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเหตุผลแล้ว ก็เท่ากับเป็นการมาถึงของจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ ( The goal of History ) [ 10 ] โดยที่รัฐแบบเฮเกลจะมีการผลิตในตัวมันเอง คงอยู่ได้ด้วยตนเอง และออกกฎระเบียบโดยตนเอง หรือที่เลอแฟบร์เรียกว่าเป็นเอกเทศอย่างสมบูรณ์แบบ ( arrant autonomism ) [ 11 ] ในแง่นี้ รัฐจึงไม่แตกต่างอะไรกับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นสาเหตุในตัวมันเอง ( lawsuit sui ) ในแง่ที่ว่ามันไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นที่จะมาให้กำเนิด หรือเพื่อมายืนยันการดำรงอยู่ของมัน
จิต (แบบเฮเกล) ใน Attack on Titan
จิตของเฮเกลเป็นสภาวะที่ดำรงอยู่ทั้งภายในและภายนอก มันกลืนกินกัน ( mesh ) จนเกิดเป็นความจริงรูปธรรม ( Concrete Truth ) [ 12 ] ในขณะที่ความรู้สึกภายใน ( inner spirit ) เป็นแกนกลางสำคัญของ Attack on Titan [ 13 ] ความรู้สึกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกรัก โกรธแค้น เกลียดชัง กลัวตาย ศรัทธา หรือการโหยหาเสรีภาพ ล้วนเป็นส่วนในการขับเคลื่อนตัวละครหลักทุกตัวในเรื่องนี้ อันจะนำไปสู่การสร้างความจริงตามวิถีทางของตัวละครแต่ละตัว
เมื่อเป็นเรื่องของความรู้สึกภายในก็ยากที่จะแยกออกจากจิต จิตในฐานะที่มีส่วนหนึ่งดำรงอยู่ภายใน จึงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญใน Attack on Titan โดยในตอน ‘ OVA ’ จะเห็นว่า เอลเซ่ ลัง สมาชิกหน่วยสำรวจที่ 34 ได้พบเข้ากับไททันตัวหนึ่ง และหลังจากถูกมันกินส่วนหัวไป ไททันตัวนั้นกลับนำร่างของเอลเซ่ไปเก็บไว้ในโพรงต้นไม้ อาจเพื่อพูดคุย ไม่ก็เคารพบูชา ทั้งนี้ เมื่อสืบต่อไปแล้วจะได้ข้อมูลว่า เมื่อครั้งไททันตัวนั้นยังเป็นคนอยู่ มันเป็นหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ลัทธิความเชื่อหนึ่ง ( ที่มียูมิลอ้างเป็นเจ้าลัทธิ ) [ 14 ] ในแง่นี้สันนิษฐานได้ว่า แม้ร่างกายของคนจะถูกทำให้แปรเปลี่ยนไปเมื่อได้กลายเป็นไททัน แต่จิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตที่แรงกล้า อย่างจิตของผู้ที่มีความเชื่อในลัทธิหนึ่งๆ จิตของคนเป็นแม่ ( แม่ของคอนนี่ที่กลายเป็นไททัน พูดกับคอนนี่ตอนกลับไปบ้านเกิด ) หรือจิตของความเป็นมนุษย์ ( อันเป็นเหตุผลให้ไททันต้องคอยกินคน เพราะมันต้องการที่จะกินคนที่ครอบครองพลังไททันเพื่อจะได้กลับไปเป็นมนุษย์ ) [ 15 ] หรือแม้กระทั่งจิตของการเป็นทาสก็ยังคงตามติดไปแม้จะได้กลายเป็นไททันแล้ว ( จิตของทาสที่ชัดที่สุดคือ ยูมิล ฟริทซ์ ที่แม้จะมีพลังไททัน แต่ก็ยังกระทำตัวเป็นทาส กระโดดเข้ารับหอกแทนราชา หรือแม้จะตายไปอยู่ในโลกกระแสธาร ( path ) แล้ว ยูมิลก็ยังคงรับคำสั่งของเอเร็นอยู่ดี )
ยูมิล ฟริทซ์ การส่งต่อพลังไททันที่วิ่งเข้าหาความเป็นองค์รวมเสมือนหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าก็มีความเป็นวิภาษวิธีอย่างมาก เนื่องจากพลังของไททันประกอบไปด้วยประวัติศาสตร์/ความทรงจำ ( ที่เป็นเรื่องนามธรรม ) และพละกำลัง/ตัวตน ( ที่เป็นเรื่องรูปธรรม ) ซึ่งประสานกลืนกินกัน จนกลายเป็นความจริงรูปธรรมขึ้นมา โดยความทรงจำและตัวตนที่ได้รับการส่งต่อมาพร้อมพลังนี้ จะกลายมาเป็นสิ่งที่กำหนดตัวตนของผู้ที่ได้รับพลังมาอย่างมีเอกภาพ วิธีคิดดังกล่าวได้ถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนผ่านปากของ เอเร็น เยเกอร์ ในมังงะตอนที่ 112
การสังเคราะห์ของสองสิ่งที่ไม่ได้ทำลายสภาวะเดิมของทั้งสองสิ่ง แต่ยังคงรักษาสภาวะบางส่วนขององค์ประกอบเดิมไว้ และยกระดับไปอยู่ในสวาวะใหม่นี้ เป็นสิ่งที่เฮเกลเรียกว่า Aufheben
กระบวนการ Aufheben ยังชัดมากใน EP.44 Season 3 ชื่อตอน ‘ Wish ’ ที่ให้ข้อมูลจากปากคำของ ร็อด เรสส์ พ่อของฮิสตอเรีย ( Historia ) ว่าการส่งผ่านพลังไททันก่อกำเนิด ( The Founding Titan ) ของราชวงศ์ “ เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงความทรงจำของมวลมนุษย์ และทำให้พวกเขาลืมอดีตไปอย่างสิ้นเชิง ” และยังเสริมอีกว่า “ มนุษย์ที่เหลือจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับโลกเมื่อศตวรรษที่ผ่านมาหลงเหลืออยู่เลย ” โดยความทรงจำซึ่งหายไปนั้นจะไปบรรจุอยู่ในไททันก่อกำเนิด
ทั้งนี้ เงื่อนไขในการเข้าถึงพลังของไททันก่อกำเนิด หรือความทรงจำนี้ คือ จะมีแค่เพียงผู้มีสายเลือดราชวงศ์เท่านั้นที่จะเข้าถึงประวัติศาสตร์โลกนี้ได้ และต่อให้ผู้มีสายเลือดราชวงศ์ถือครองพลังไททันก่อกำเนิดได้ แต่เจตจำนงที่ต้องการให้โลกถูกปกครองโดยไททันของกษัตริย์องค์แรก ก็ยังคงครอบงำผู้ถือครองรุ่นหลังๆ อยู่ดี
ทั้งหมดนี้สะท้อนความเป็นประวัติศาสตร์นิยม ( Historicism ) ในปรัชญาของเฮเกล ที่เน้นการพัฒนาที่เป็นเส้นตรง ( unilinear ) และเป็นประวัติศาสตร์ที่มีเป้าหมาย ( telos ) อยู่แล้วในอนาคต อันจะเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวต่างๆ ของปัจจุบันและอดีต ส่งผลให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องตายตัวและถูกกำหนดไว้ก่อนแล้ว การถูกกำหนดอย่างตายตัวไว้ก่อนแล้วยังสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน อย่างน้อยๆ ในเรื่องอายุขัยของผู้ครอบครองพลังไททัน ที่จะมีอายุขัยเพียง 13 ปี นับแต่ได้รับพลังไป หรือจะเป็นการรับรู้อนาคตล่วงหน้า ( ผ่านความทรงจำของผู้ที่จะมารับพลังในรุ่นถัดไป ) ของไททันจู่โจม ในการรู้ได้อย่างแน่นอนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หรือรู้ว่าเวลาใดที่ความตายจะมาถึง หมายความว่า อนาคตเป็นเรื่องตายตัว และยากจะเปลี่ยนแปลง ( ชื่อตอนที่ 1 ของซีรีส์ที่ว่า ‘ To You, 2000 Years from now ’ จึงน่าจะมีนัยยะสำคัญบางประการ เพราะอย่างน้อยที่สุด มังงะตอนที่ 122 ก็ใช้ชื่อว่า ‘ From You, 2,000 Years Ago ’ )
ไททันใน Attack on Titan และไททันของเฮเกล
เยเลน่า สมาชิกกลุ่ม Anti-Marleyan Volunteers กล่าวถึง ซีค เยเกอร์ ผู้ครอบครองพลังไททันสัตว์ป่า ในมังงะตอนที่ 106 ( เทียบเท่าอนิเมะ season 5 EP.68 ) ชื่อตอน ‘ Brave Volunteers ’ ว่า “ มาเลย์ได้พรากบ้านของพวกเราไป และเกณฑ์พวกเราเป็นทหาร – พวกเราจวนจะหมดหวังที่จะเอาคืน จนกระทั่งเราได้พบเขา ไททันที่คนทั้งโลกหวาดกลัว และต่างพากันเรียกว่าปีศาจ – แต่ฉันกลับเห็นต่างออกไปโดยสิ้นเชิง [ ฉันมองเห็นเขาเป็น ] ‘ พระเจ้า ’ – เขาเข้ามาในยามที่เราไร้อำนาจและแสดงให้เห็นถึงความหวัง ”
- มังงะตอนที่ 106
- มังงะตอนที่ 116
เยเลน่ายังได้ยืนยันความคิดข้างต้น ในมังงะตอนที่ 116 ผ่านการกล่าวถึงซีคและเอเร็น เยเกอร์ [ 16 ] สองพี่น้องต่างมารดา ผู้ครอบครองพลังไททันว่า “ พี่น้องคู่นี้จะถูกพูดถึงในฐานะหมุดหมายในอีกพันๆ ปีข้างหน้า เหมือนกับที่ทุกวันนี้เราพูดถึงพระเจ้ายุคโบราณ – และแม้ว่าทั้งคู่จะตายไปแล้ว พวกเขาก็จะยังแผดแสงราวกับดวงอาทิตย์ – [ พวกเขาจะ ] เป็นผู้กอบกู้ซึ่งสาดส่องนำทางสว่างให้แก่มนุษยชาติ ”
สองกรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะอันสูงส่งของผู้ครอบครองพลังไททันในสายตาของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ( โดยยังอาจพิจารณาไปถึงกรณีของ ร็อด เรสส์ ที่เห็นว่าการครอบครองพลังไททันจะทำให้ผู้ครอบครองมีสถานะไม่ต่างกับพระเจ้าได้อีกด้วย )
คำพรรณนาดังกล่าวของเยเลน่า คล้ายกับสิ่งที่เฮเกลกล่าวถึง นโปเลียน โบนาปาร์ต ( Napoléon Bonaparte ) เมื่อครั้งกองทัพของนโปเลียนเข้ายึดเมืองเยนา ( Jena ) ที่เขาอาศัยอยู่ในขณะนั้น เฮเกลเห็นว่าการปรากฏตัวของนโปเลียนเป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ‘ ในรอบร้อยปีพันปี ’ โดยเฮเกลได้บรรยายไว้ในจดหมายที่ส่งถึงมิตรสหายนาม Niethammer ว่า “ ข้าพเจ้าได้ประจักษ์กับองค์จักรพรรดิ – ผู้เป็นจิตวิญญาณแห่งโลกนี้ – ควบม้าออกลาดตระเวนไปทั่วเมือง มันช่างเป็นความรู้สึกสุดแสนวิเศษอย่างแท้จริงที่ได้เห็นปัจเจกคนหนึ่ง ผู้เป็นจุดศูนย์รวมหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง นั่งคร่อมอยู่บนหลังม้า เหยียดขยายไปทุกสารทิศทั่วโลก และพิชิตมัน ” [ 17 ] ในแง่นี้ คงไม่เกินเลยไปหากจะกล่าวว่า สำหรับเฮเกล นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่มีสถานะไม่ต่างอะไรกับไททันที่ผู้คนทั้งโลกหวาดกลัว และต่างพากันเรียกขานว่าเป็นปีศาจ
John D. Caputo ( จอห์น ดี. คาปูโต ) กล่าวถึงความชื่นชมที่เฮเกลมีต่อนโปเลียนว่า “ สำหรับเฮเกลแล้ว สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า ( God ) ในศาสนาได้ลงมายังผืนโลก ดำรงอยู่ในกาลเทศะ และกำลังขี่ควบม้าอยู่ ” [ 18 ] กล่าวคือ นโปเลียนเป็นรูปธรรมสำคัญของ ‘ จิต ’ โดย “ จิตของเฮเกล หมายถึง การที่ปัจเจกแต่ละคนไม่ได้เป็นหน่วยแยกขาดออกจากกัน หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของส่วนที่ใหญ่กว่า [ สิ่งที่เฮเกลเรียกว่า ] Zeitgeist หรือจิตแห่งยุคสมัยนั้น เป็นพลังที่รองรับอยู่ข้างใต้ หรือไม่ก็เป็นพลังงานทางประวัติศาสตร์ที่กระตุ้นให้มันขับเคลื่อนไปข้างหน้า ” [ 19 ]
อย่างไรก็ดี สำหรับเฮเกล นโปเลียนก็ไม่ใช่พระเจ้า หากแต่เป็นเพียงการเผยตัวอย่างเป็นรูปธรรมของพระเจ้าหรือจิต ( อาจเปรียบได้กับพระเยซูในคริสต์ศาสนา ) เป็นเพียงแค่ ‘ วีรบุรุษทางประวัติศาสตร์ ’ ( historic champion ) จากการที่เขาได้ลงมือสร้างประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้อย่างแจ้งชัดว่าประวัติศาสตร์ที่เขาสร้างนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร [ 20 ] กล่าวคือ นโปเลียนเป็นได้อย่างมากก็แค่มนุษย์กึ่งเทพ ( demigod ) ไม่ใช่พระเจ้า เขาเป็นเพียงหุ่นเชิดทางประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็เป็นเครื่องมือของจิตสัมบูรณ์ ( Absolute liveliness ) [ 21 ]
ภาพจำลองเหตุการณ์เฮเกลและนโปเลียนในเมืองเยนา (ทั้งนี้ ในความเป็นจริงทั้งคู่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันแต่อย่างใด) ในขณะที่เรื่องราวใน Attack on Titan ดูจะเป็นเรื่องเล่า ( fabrication ) ปรัชญาของเฮเกลที่อาจสมบูรณ์แบบมากกว่าเรื่องราวในยุคร่วมสมัยของเฮเกลเสียอีก เพราะ Attack on Titan ไม่ได้เพียงแสดงให้เห็นเฉพาะแต่วีรบุรุษทางประวัติศาสตร์ที่เป็นหุ่นเชิดของจิต เหมือนอย่างในกรณีของนโปเลียนเพียงเท่านั้น แต่กลับแสดงให้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งกับจิตสัมบูรณ์ ในกรณีของเอเร็นอีกด้วย
เอเร็นในฐานะผู้ครอบครองทั้งพลังไททันก่อกำเนิดซึ่งมีพลังในการเข้าถึงอดีต และไททันจู่โจมที่มีพลังในการเข้าถึงอนาคต อีกทั้งยังสามารถควบคุมมันได้แม้ไม่ได้มีสายเลือดราชวงศ์ ทำให้ ‘ ดูเหมือน ’ ว่าเป็นการเข้าถึงจิตสัมบูรณ์แบบเฮเกลที่อยู่เหนือกาลเวลา หนำซ้ำ เอเร็นยังเป็นตัวละครที่โหยหาเสรีภาพมาตั้งแต่ต้น ในทำนองเดียวกับที่เฮเกลเห็นว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นการไล่ตามสำนึกแห่งเสรีภาพดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
สังคมที่มีเหตุผล ( rational number community ) เป็นสังคมแบบที่เฮเกลวาดฝันไว้ โดยที่จะต้องมีผู้ถืออำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ( ultimate decisiveness ) ผ่านการใช้เหตุผลอย่างเสรี ด้วยเหตุนี้ ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ( Constitutional monarchy ) จึงเป็นสิ่งที่เฮเกลเห็นว่าเหมาะสม [ 22 ] ทั้งนี้ เอเร็น เยเกอร์ ผู้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตสัมบูรณ์สามารถถูกนับเป็นกษัตริย์ได้หรือไม่ ?
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร การเป็นกษัตริย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เอเร็นโหยหา ‘ เสรีภาพ ’ ต่างหากที่เป็น สำหรับเฮเกลแล้ว เสรีภาพไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในเรื่องการเมือง แต่เสรีภาพคือการเลือกได้อย่างเสรีในทุกๆ เรื่องโดยปราศจากการบังคับ ไม่ว่าจากผู้อื่น ธรรมชาติ หรือสภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่งการเลือกนี้จะต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลตามหลักสากล [ 23 ] ทั้งนี้ การทำลายล้างมนุษยชาติของเอเร็นเป็นการกระทำที่เป็นไปตามเหตุผลหรือไม่ ? มันเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากตัวเอเร็นเอง หรือเป็นสิ่งที่เกิดจากเจตจำนงของผู้ครอบครองพลังไททันรุ่นก่อนๆ ? และถึงที่สุดแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือไม่ หากข้อสันนิษฐานที่ว่าการทำลายล้างมนุษยชาติของเอเร็นเกิดจากเจตจำนงของผู้ครอบครองพลังไททันรุ่นก่อนๆ เป็นความจริง และเอเร็นได้ตัดสินใจอย่างเสรีและสมเหตุสมผลที่จะยอมทำตามเจตจำนงของรุ่นก่อนๆ นั้นด้วย [ 24 ]
อย่างไรก็ตาม แนวความคิดแบบเฮเกลเลียนยังสามารถกลายเป็นอุดมการณ์ชาตินิยมได้ [ 25 ] เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นเอกภาพ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหตุผลแบบเฮเกลเลียน ( Hegelian logo ) จะนำพาไปสู่การผลิตรัฐประชาชาติ ( nation-state ) [ 26 ] ซึ่งคล้ายเป็นการยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นของจิต อันเกิดจากการเปลี่ยนผ่านในตัวเองและเพื่อตัวมันเอง
ในการเป็นรัฐประชาชาติ ‘ ชาติพันธุ์ ’ ( cultural ) หรือการเป็นสายเลือดราชวงศ์ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ( หากสำคัญก็เป็นความสำคัญในลำดับรอง ) ความสำคัญอย่างแรกๆ ของการเป็นรัฐประชาชาติ คือการมีจิตวิญญาณประชาชาติ อันจะนำไปสู่การแบ่งพวกเขา/พวกเรา คนใน/คนนอก อีกรูปแบบหนึ่ง อย่างเช่น การแสดงตนว่า ‘ ฉันเป็นคนชาติ x ’ ‘ ฉันเป็นคนมาเลย์ ’ หรือ ‘ ฉันเป็นคน/ปีศาจจากเกาะพาราดีส์ ’ มิใช่การบอกว่า ‘ ฉันเป็นคนเชื้อชาติ y ’ หรือ ‘ ฉันเป็นคนเชื้อสายเอลเดียน ’ ดังนั้น การที่เอเร็นนำไททันพสุธาสะเทือน ( The Rumbling ) ไปเหยียบย่ำสังหารหมู่ผู้คนบนทวีปภาคพื้น โดยไม่สนใจแม้กระทั่งว่าจะมีคนชาติพันธุ์เอลเดียนอยู่ ก็นับเป็นการก้าวเข้าสู่การสถาปนารัฐประชาชาติที่ชาติพันธุ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หากยึดตามนัยนี้ เอเร็นก็อาจไม่ต่างจากนโปเลียนในแง่ว่า ทั้งคู่ต่างก็ตกเป็นเครื่องมือของจิต ( สัมบูรณ์ ) หรือในที่นี้คือ รัฐประชาชาติ ดังนั้น ถึงที่สุดแล้วปีศาจตัวจริงที่จะต้องถูกโจมตีและทำลาย ก็ไม่ใช่เพียงแค่เพียงเอเร็นหรือไททัน หากแต่คือปีศาจที่อ้างตัวเองว่าเป็นเจ้า ( maestro ) ผู้อยู่เหนือกาลเวลา และเรียกร้องให้ผู้คนสละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี นามว่า ‘ รัฐ ( ประชาชาติ ) ’ [ 27 ]
เชิงอรรถ
[ 1 ] Singer, Peter. 2001. Hegel : A Very Short Introduction. New York : Oxford University Press. P. 60 .
[ 2 ] Singer, Peter. 2001. P. 63.
Read more: Azerbaijan Premier League
[ 3 ] Caputo, John D. 2016. “ Hegel ’ s Critique of the Enlightenment ” in “ Truth : The Search for Wisdom in the Postmodern Age ”. Penguin. P.127 .
[ 4 ] ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. “ ประวัติศาสตร์นิยม : จากวิโก้สู่กรัมชี่. ” รัฐศาสตร์สาร ( 3 ) 20. หน้า 55 .
[ 5 ] ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. หน้า 50-51 .
[ 6 ] Singer, Peter. 2001. P. 93 .
[ 7 ] Singer, Peter. 2001. P. 105 .
[ 8 ] Hegel, G. W. F. 2008. Outlines of the Philosophy of Right. trans. by David Fernbach. New York : Oxford University Press. P. 316-317 .
[ 9 ] Lefebvre, Henri. 2020. Hegel, Marx, Nietzsche : Or the Realm of Shadows. New York : Verso. P. 5-6 .
[ 10 ] โครงการปรัชญาของเฮเกลเป็นการมุ่งไปสู่จุดสิ้นสุดและสภาวะที่กำลังจะมาถึง ( becoming ) ดู ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. หน้า 59 .
[ 11 ] Lefebvre, Henri. 2020. P. 8-9 .
[ 12 ] คำว่า concrete มาจากคำละตินคำว่า memorize แปลว่า ระหว่าง และ crescere แปลว่า ที่จะเติบโต concrete จึงแปลว่า เติบโตไปด้วยกัน ในแง่นี้ความจริงจึงเกิดจากการประสานกันระหว่างสิ่งนามธรรมและรูปธรรม
[ 13 ] George Wada โปรดิวเซอร์ของ Attack on Titan ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ Attack on Titan ไม่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมตะวันตก แต่เป็นมนุษยชาติและสังคมในแบบองค์รวมต่างหาก มันเป็นการมุ่งสนใจไปยังความรู้สึกภายในของปัจเจกแต่ละคน แทนที่จะเป็นเฉพาะแต่วัฒนธรรมตะวันตก ” ( ดู Interview : George Wada, Producer of Attack on Titan ) ทั้งนี้ ด้วยความชัดเจนของสภาวะองค์รวมใน Attack on Titan ข้อเขียนชิ้นนี้จึงให้ความสำคัญกับความเป็นองค์รวมในปรัชญาของเฮเกล มากกว่าความเป็นตะวันตกของปรัชญาเฮเกล เพราะถึงที่สุดแล้วแนวคิดเรื่องการแบ่งตะวันตก/ตะวันออก ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากตะวันตกด้วยเช่นกัน
[ 14 ] Talking Titan ( 780–849 )
[ 15 ] Attack On Titans : Why Titans Eat Humans Explained
[ 16 ] เป็นเรื่องน่าสนใจที่นามสกุล ‘ เยเกอร์ ’ ยังสะท้อนถึงเชื้อชาติเยอรมัน โดย “ ประวัติศาสตร์นิยมแบบเยอรมันตกอยู่ภายใต้เงาความคิดของเฮเกล ซึ่งเป็นปรัชญาที่ครอบงำปรัชญายุโรปตั้งแต่กลางศตวรรษที่สิบเก้าจนถึงเกือบต้นศตวรรษที่ยี่สิบ ” ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. หน้า 48 .
[ 17 ] Hegel to Niethammer October 13, 1806
[ 18 ] Caputo, John D. 2016. P. 128 .
[ 19 ] Caputo, John D. 2016. P. 126 .
[ 20 ] NAPOLEON, HEGELIAN HERO
[ 21 ] Lefebvre, Henri. 2020. P. 52 .
[ 22 ] Singer, Peter. 2001. P. 52 .
[ 23 ] Singer, Peter. 2001. P. 53 .
[ 24 ] คำถามในลักษณะนี้ เป็นสิ่งที่ได้รับการถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน โดยมีตัวอย่างสำคัญ เช่น ความขัดแย้งระหว่าง Albert Camus และ Jean-Paul Sartre ที่ฝ่ายแรกเห็นว่าไม่ควรมีมนุษย์คนใดต้องเสียเลือดเนื้อให้กับการเปลี่ยนแปลง ผ่านงาน The Rebel ( 1951 ) ในขณะที่ฝ่ายหลังเห็นว่าในการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หรือการปฏิวัติ ย่อมต้องมีการสูญเสียเลือดเนื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ( ดู How Camus and Sartre split up over the question of How to be spare ) หรือจะเป็นกรณีของ Eric Hobsbawm ที่เห็นว่าการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ หลีกเลี่ยงการสังเวยชีวิตของผู้คนไปไม่ได้ ( ดู A doubt of Faith และ The Late Show – Eric Hobsbawm – Age of Extremes ( 24 October 1994 ) )
[ 25 ] ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. หน้า 49 .
[ 26 ] Lefebvre, Henri. 2020. P. 53 .
[ 27 ] ในแง่นี้จึงไม่แปลกที่ หลุยส์ อัลธุสแซร์ พยายามไล่ผีหรือ spirit ของเฮเกลออกจากทฤษฎีมาร์กซิสต์ เพราะระบบปรัชญาของเฮเกลทั้งระบบเป็นการวิ่งเข้าหาองค์รวม เป็นการรวบอำนาจและเสริมกำลังให้องค์กรทางการปกครองอย่างรัฐ เป็นต้น ( ดู ธเนศ วงศ์ยานนาวา. 2541. ) “ ‘ ผีของมาร์กซ์ ’ และ ‘ ผีในมาร์กซ์ ’ ข้อวิจารณ์ประวัติศาสตร์นิยมของพ็อพเพอร์และอัลธุสแซร์. ” รัฐศาสตร์สาร 20 ( 2 ) : หน้า 1-55. โดยอัลธุสแซร์ ( วัยหนุ่ม ) เห็นว่าการหันกลับมาให้ความสนใจเฮเกล เป็นผลมาจากความพยายามทำลายฐานทางปรัชญาของมาร์กซ์ ( ดู Althusser, Louis. 2014. “ The Return to Hegel : The Latest Word in Academic Revisionism ( 1950 ) ” in The Spectre of Hegel : early on Writings. erectile dysfunction. by François Matheron ; trans. by G. M. Goshgarian. London : Verso. P. 177-189. )
Author
อภิสิทธิ์ เรือนมูล
นักเขียนประจำกองบรรณาธิการ WAY ผู้ร่ำเรียนนิติศาสตร์ แต่สนใจปรัชญา เพราะปรัชญามอบคำอธิบายถึงชีวิตทั้งในมิติ fiction และ non fiction มีความเชื่อว่าชีวิตในและนอกตำรา ทฤษฎีและการปฏิบัติ ไม่อาจแยกขาดออกจากกัน
นักเขียนประจำกองบรรณาธิการ WAY ผู้ร่ำเรียนนิติศาสตร์ แต่สนใจปรัชญา เพราะปรัชญามอบคำอธิบายถึงชีวิตทั้งในมิติ fabrication และ non fabrication มีความเชื่อว่าชีวิตในและนอกตำรา ทฤษฎีและการปฏิบัติ ไม่อาจแยกขาดออกจากกัน