โจวไห่เม่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2509 ที่ฮ่องกงในครอบครัวฐานะดี เธอมีชื่อเล่นว่า “ อาเม่ย “ ( Amei ) เป็นลูกคนกลางของครอบครัวโดยมีพี่ชายและน้องสาวอีกอย่างละ 1 คน ในวัยเด็กสุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนักเพราะเธอมีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้หรือไซนัส ( Sinusitis ) แต่เธอใฝ่ฝันที่จะเข้าวงการบันเทิง เพราะเธอชอบการเต้นรำเป็นอย่างมาก และมีกีฬาโปรดคือบาสเกตบอล เธอมักใช้เวลาว่างจากการเรียนไปเล่นบาสเกตบอลอยู่เป็นประจำจึงทำให้เธอตัวสูงกว่าเด็กสาวในวัยใกล้ ๆ กันแต่ด้วยปัญหาสุขภาพที่มีมาแต่เกิดทำให้เธอไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความที่เธอสนิทกับพี่ชายและมักจะไปเล่นคลุกคลีกับเด็กผู้ชายเป็นประจำ จึงทำให้เธอมีนิสัยเหมือนเด็กผู้ชายที่ทั้งห้าวและซุกซนเป็นอย่างมาก ดังนั้นคุณพ่อของเธอซึ่งมีเชื้อสายบรรพบุรุษเป็นขุนนางเก่ามาก่อนจึงคอยอบรมเลี้ยงดูโจวไห่เม่ย์อย่างเข็มงวดตั้งแต่วัยเด็กจนโตเป็นวัยรุ่นเพื่อที่จะปลูกฝังให้เธอมีนิสัยที่อ่อนหวานเรียบร้อยและเป็นกุลสตรี มากขึ้น ด้วยวัย 18 ปีสุขภาพของเธอเริ่มดีขึ้นหลังจากเรียนจบในระดับชั้นมัธยมปลายแล้วในขณะที่เธอกำลังมองหามหาวิทยาลัยที่จะเข้าไปศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาตรีแต่แล้วพ่อของเธอได้ชวนเธอไปสมัครลงแข่งขันประกวด นางงามฮ่องกง ในปีพ.ศ. 2528 ( Miss Hong Kong Beauty Contest 1985 ) แต่ด้วยปัญหาสุขภาพที่เธอมีและเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเธอจึงลังเล ต่อมาพ่อของเธอจึงแอบไปสมัครให้กับเธอและบอกเธอในภายหลังเมื่อถึงวันคัดเลือกรอบแรก เธอไม่มีความมั่นใจเลยแต่พ่อของเธอสนับสนุนลูกสาวของเขาอย่างเต็มที่และพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตัวเธอ และบนเวทีการประกวดด้วยหน้าตาที่จิ้มลิ้มน่ารักและสูงยาวเข่าดี ทำให้ในตอนแรกที่ลงเข้าแข่งขันเธอเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่คาดว่าจะสามารถคว้ามงกุฎชนะเลิศของปีนั้นและเธอก็สามารถฝ่าด้านผู้สมัครหลายร้อยคนเข้าสู่รอบ 30คนได้อย่างง่ายดาย แต่พอมาถึงในวันคัดเลือกรอบชิงชนะเลิศจริงเธอกลับตกรอบและไม่มีรายชื่อติดใน 15 คนสุดท้ายที่เข้าชิงมงกุฎ สาเหตุเพราะด้วยบุคลิกของเธอที่ดูไม่ฉลาดโดยเฉพาะการตอบคำถามที่ขาดไหวพริบไม่โดนใจคณะกรรมการจึงทำให้เธอไม่สามารถฝ่าด่านผู้สมัครคนอื่น ๆ ที่ตอบคำถามได้ดีกว่าได้ อย่างไรก็ตามด้วยความสวยพร้อมที่เธอมีทำให้โชคเข้าข้างเธออยู่บ้าง เพราหลังจากการประกวดเสร็จสิ้นเธอก็ได้รับการติดต่อจากฝ่ายโปรดิวเซอร์ของทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีให้เข้าไปเซ็นต์สัญญาเป็นนักแสดง 2 ปีกับทางช่องทันทีและต้องเข้าฝึกอบรมการแสดงกับทางค่ายในหลักสูตรระยะสั้น 6 เดือนเมื่อแม่ของเธอรู้ว่าเธอเลือกที่จะเข้าสู่วงการบันเทิงและไม่คิดจะเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ถึงกับโกรธมากและไม่เห็นด้วยแต่ในที่สุดแม่ของเธอก็ยินยอมโดยทั้งสองมีข้อตกลงกันว่า “ ภายในสองปีนี้ถ้าเธอไม่สามารถเป็นดาราที่มีชื่อเสียงได้เมื่อหมดสัญญากับทางช่องทีวีบีให้เธอถอนตัวออกจากวงการและกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีให้จบ ” และโจวไห่เม่ย์รับปากตกลงกับเงื่อนไขนี้ เมื่อเธอได้เข้าชั้นเรียนในโรงเรียนการแสดงของทีวีบี เพียง 3 เดือนต่อมาในขณะที่เธอยังคงเรียนการแสดงอยู่นั่น ทางช่องทีวีบี ก็ได้ให้เธอประเดิมบทบาทการแสดงครั้งแรกในชีวิต กับบท “ หยางจิ่วเม่ย “ น้องเล็กแห่งตระกูลหยาง ซึ่งเป็นบทตัวประกอบเล็ก ๆ ออกไม่กี่ฉากในละครดังเรื่อง ขุนศึกตระกูลหยาง ( The Yang ‘s Saga 1985 ) ซึ่งเป็นละครโปรเจกต์ใหญ่ประจำปีที่สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษครบรอบ 18 ปีของทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี อีกทั้งยังเป็นละครที่สามารถเอานักแสดงดัง ๆ ในค่ายเกือบทั้งหมดมาร่วมแสดงด้วยกันโดยมีดาราชายกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบี แสดงนำ นับได้ว่าเป็นผลงานละครเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเธอ ซึ่งบทที่เธอได้รับมักจะเป็นหญิงสาวซื่อไร้เดียงสาไม่ทันคนโดนหลอกและถูกข่มขืนอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมแสดงในผลงานละครเรื่อง คู่ทรนง ( The Feud of Two Brothers 1986 ) ที่แจ้งเกิดให้กับได้เธออย่างเต็มตัวกับบทบาทสมทบที่น่าเห็นใจ และ ค่าของคน ( The Price of Growing Up 1987 ) ที่เธอได้รับบทคล้าย ๆ กันแต่โดดเด่นมากขึ้น รวมไปถึงผลงานละครสากลเรื่อง เจ้าแม่ฮ่องกง ( The Upheaval 1986 ) ที่นางเอกในเรื่อง คือ เฉิน อวี้เหลียน ละครเรื่องนี้ทำให้เธอได้พบรักกลางกองถ่ายกับพระเอกของเรื่องนี้คือ หลี่เหลียงเหว่ย ซึ่งตอนนั้นโจวไห่เม่ย์เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นานและฝ่ายชายคอยดูแลเอาใจใส่เธออย่างมากในช่วงที่ถ่ายทำละครเรื่องนี้ด้วยกัน ทำให้โจวไห่เม่ย์ตกหลุมรักเขาและตัดสินใจคบหากับเขาในเวลาต่อมา และในช่วงนี้เธอมีผลงานเด่นเรื่อง อื่น ๆ ตามมา เช่น ลิขิตฮ่องเต้ ( Heir to the Throne Is 1986 ) ที่มีนางเอกคือ หลันเจี๋ยอิง โดยหลายต่อหลายเรื่องที่ผ่านมาเธอจะได้เป็นแค่นางรองเท่านั้นเองจนเธอรู้สึกน้อยใจและคิดว่าถ้าภายในสองปีนี้เธอยังไม่ได้รับบทเป็นนางเอกเต็มตัว เธอจะถอนตัวออกจากวงการบันเทิงไปทำอย่างอื่นและในช่วงของปลายปีนั้นเอง ทางช่องได้คัดเลือกเธอให้เข้าร่วมแสดงนำกับบทนางรอง ประกบกับนางเอกหลักคือ หลิวเจียหลิง ในละครสากลแนวดราม่าฟอร์มใหญ่ 50 ตอนจบที่กำลังจะเปิดกล้องและจะออนแอร์ลงจอโทรทัศน์ในปีหน้าเรื่อง “ คู่แค้นสายโลหิต “ โดยมี หวงเย่อหัว แสดงนำเป็นพระเอก และดาราชายดาวรุ่ง เวินเจ้าหลุน รับบทนำเป็นตัวร้าย รวมถึงดาราสาวสวย เส้าเหม่ยฉี ได้เข้ามาร่วมแสดงในบทสมทบด้วยอีกคน ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2532 ( 1989 ) ผลงานละครสากลฟอร์มใหญ่แห่งปีเรื่อง คู่แค้นสายโลหิต ( Looking Back in Anger 1989 ) ได้ออนแอร์ลงสู่จอโทรทัศน์และได้สร้างปรากฏการณ์เป็นละครสากลแนว ดราม่า ที่มีเรตติ้งผู้ชมสูงสุดประจำปีทำให้เหล่านักแสดงนำทั้ง 5 คนในเรื่องนี้ ได้แก่ หวงเย่อหัว เวินเจ้าหลุน หลิวเจียหลิง เส้าเหม่ยฉี และเธอ ต่างมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากกับบทบาทที่แต่ละคนได้แสดง และจากความสำเร็จของละครเรื่องนี้ได้ทำให้หวงเย่อหัว กลับมาเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งแห่งค่ายทีวีบีอีกครั้งหลังจากที่เขาได้เสียแชมป์ความนิยมทางด้านเรตติ้งละครให้กับเหลียงเฉาเหว่ยมานาน และยังทำให้นักแสดงชายที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักอย่าง เวินเจ้าหลุน โด่งดังเป็นพลุแตกทั่วเอเชียกับบทบาทตัวร้ายที่แสดงได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังส่งให้ หลิวเจียหลิง เส้าเหม่ยฉีและเธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์แรกของทางค่ายทีวีบีอีกด้วย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีกับเหล่านักแสดงหญิงแถวหน้าของทางช่องหลายคนได้ทยอยออกจากสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เช่น เฉิน อวี้เหลียน เติ้ง ชุ่ยเหวิน เจิ้ง หัวเชียน ชี เหม่ยเจิน และคนอื่น ๆ หรือแม้กระทั่ง หลิวเจียหลิง ที่ดังสุด ๆ กับเรื่องคู่แค้นสายโลหิตเช่นกัน ก็หันไปเอาดีทางด้านเล่นภาพยนตร์ จึงเป็นโอกาสดีที่ทั้งโจวไห่เม่ย์ กับเส้าเหม่ยฉี ได้ขยับขึ้นมาเป็นนักแสดงหญิงเบอร์แรกได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ทั้งสองดาราสาวเป็นนักแสดงเบอร์รองมานานหลายปีแล้วนับตั้งแต่นั้นทางช่องทีวีบี ก็ได้ยื่นบทนางเอกให้กับเธอจนได้กลายเป็นนางเอกคิวทองและมีผลงานยอดนิยมตามมามากมาย ได้แก่ ละครสากลความยาว 30 ตอนเรื่อง เพลิงรักเพลิงแค้น ( Where I Belong 1990 ) โดยเธอเล่นประกบ ว่านจื่อเหลียง และ จางเจ้าฮุย ตามต่อด้วยละครยาวแนวสากลเรื่อง เลือดนักสู้ ( Rain in the Heart 1990 ) ที่เธอได้แสดงนำร่วมกับ กัวจิ้นอัน และ หลินเจียหัว ซึ่งเรื่องหลังนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมากเรื่องหนึ่งของปีนั้นว่ากันว่าเพราะมีโจวไห่เม่ย์เล่นด้วย ปีนี้โจวไห่เม่ย์ ได้มีโอกาสแสดงนำร่วมกับดารานักร้องชายชื่อดัง หลี่หมิง ในเรื่อง ย้อนรักรอยอดีต ( Cherished Moments 1990 ) มาถึงละครที่ทำให้ทั้งสองยิ่งดังระเบิดกับผลงานเรื่องถัดมาที่ทั้งคู่ได้แสดงร่วมกันอีกครั้งในเรื่อง เพื่อนรักเพื่อนแค้น ( The Breaking Point 1991 ) หลังจากละครเรื่องนี้ส่งให้ หลี่หมิงได้ก้าวขึ้นเป็นพระเอกยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางช่องทีวีบี ผลงานอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ฤทธิ์กระบี่ฟ้าคำรณ ( The Sword Of Conquest 1991 ) หลังจากละครเรื่องนี้ในราวกลางปีพ.ศ. 2534 โจวไห่เม่ย์ เกิดรู้สึกเบื่อกับคาแรกเตอร์หญิงสาวผู้อ่อนหวาน ซึ่งเป็นบทเดิม ๆ ที่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีมอบให้เธอเล่น เมื่อหมดสัญญากับทางช่องเธอจึงตัดสินใจออกจากค่ายไปเพื่อจะหันไปรับงานแสดงทางด้านอื่น ๆ ดูบ้างเช่น งานทางด้านภาพยนตร์หรืองานละครกับค่ายอื่น ที่สามารถยื่นบทตัวละครที่แตกต่างบทตัวละครเดิม ๆ ที่เคยเล่นกับช่องทีวีบีเพราะเธออยากจะพัฒนาฝีมือการแสดงและได้ไปเล่นละครในไต้หวันทำให้เธอได้มีโอกาสแสดงละครกับทางไต้หวันอีกเรื่อง คือ ดาบมังกรหยก ( กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร ) เวอร์ชันในปี 1994 ที่มีความยาวถึง 64 ตอน กับการสวมบทบาทเป็น จิวจี้เยียก ร่วมแสดงนำกับ หม่าจิ่งเทา ( Steve Ma ) และ เยี่ยถง ( Cecilia Yip ) ซึ่งทั้งสองคนเป็นดาราชื่อดังทางฝั่งไต้หวัน หลังจากละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่เรื่องนี้ลงสู่จอทำให้ชื่อเสียงของโจวไห่เม่ย์กลับมาโด่งดังทั่วเอเชียอีกครั้ง
Reading: โจว ไห่เม่ย์ – วิกิพีเดีย
ต่อมาโจวไห่เม่ย์ กลับคืนสู่วงการจอแก้วฮ่องกงในสังกัดทีวีบีอีกครั้งและแจ้งเกิดอีกรอบกับผลงานกึ่งสากลย้อนยุคเรื่อง ม่านรัก ม่านประเพณี ( Plain Love 1995 ) ที่ร่วมแสดงนำกับ หลอเจียเหลียง ในบทพระเอก และ จางจ้าวฮุย ในบทพระรอง ซึ่งเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งในฮ่องกงและประเทศอื่น ๆ ทั่วเอเชียทำให้ชื่อของเธอเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง แต่ทว่าก็มีข่าวซุบซิบออกมาในช่วงนั่นว่า ในระหว่างการถ่ายทำละครเรื่องนี่ โจวไห่เม่ย์ป่วยบ่อยและมากองสายตลอดจนทำให้เกิดมีปัญหากับพระรองของเรื่องนี้ ผลงานละครที่เธอประสบความสำเร็จในเฉพาะ ฮ่องกงอย่างมากในช่วงเวลานั้น ได้แก่ ละครกึ่งสากลแนวแฟนตาซีอภินิหารเรื่อง “ อาถรรพณ์รักวิญญาณสาว “ ( Time Before Time 1997 ) โดยเธอแสดงนำคู่กับ หลินเจียต้ง ( Gordon Lam ) นอกจากเรื่องนี้จะทำให้ชื่อของเธอกลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงอีกครั้งในฮ่องกง ในปีเดียวกันเมื่อเธอกลับมารุ่งอีกครั้ง โจวไห่เม่ย์ได้ถูกติดต่อให้ถ่ายโฆษณามือถือกับ มาซาโตชิ นางาเสะ ( Masatoshi Nagase ) อีกทั้งยังมีการนำเข้าผลงานเก่า ๆ ของเธอทั้งงานเพลงอัลบั้มชุดแรก และมิวสิควิดีโอเข้ามาเผยแพร่ แถมเธอยังได้ออกอัลบั้มภาพสุดหวือหวาและกลายเป็นดาราเซ็กซี่ไปในพริบตา ฉีกภาพลักษณ์สาวอ่อนหวานเดิม ๆ โดยสิ้นเชิง รวมทั้งมีงานถ่ายแบบนิตยสารและโฆษณาต่างๆ นับว่าโจวไห่เม่ย์ไปโกยเงินในประเทศญี่ปุ่นได้เป็นกอบเป็นกำ ด้วยภาพลักษณ์สุดเซ็กซี่ทำให้สื่อของทางไต้หวันและฮ่องกง ถึงขนาดยกให้เธอเป็น “ ชาลอน สโตนแห่งเอเชีย “ อีกทั้งเธอยังกลายเป็นพรีเซนเตอร์ชาวเอเชียคนแรกให้แก่นาฬิกายี่ห้อดัง EBEL ( คนที่ 2 คือ จางม่านอวี้ ) เมื่อหมดงานกับทางญี่ปุ่นเธอต้องรีบกลับมาฮ่องกง เพื่อเข้าร่วมถ่ายทำในละครสากลฟอร์มใหญ่ประจำปีที่มีความยาว 62 ตอนจบเรื่อง เลือดรักเลือดทรนง ( Secret of the Heart 1998 ) ที่เธอได้ร่วมแสดงนำกับ หวงเย่อหัว, หลอเจียเหลียง และ กัวอ้ายหมิง แต่ในขณะที่กำลังถ่ายทำละครเรื่องนี้อยู่ จู่ ๆ โจวไห่เม่ย์ก็เกิดล้มป่วยขึ้นมาและถูกตรวจพบว่าเป็นโรค เอสแอลอี หมอจึงสั่งให้เธอรับงานน้อยลงจนกว่าร่างกายจะดีขึ้น ทำให้ในช่วงนั้นระหว่างการถ่ายทำละครเรื่องนี้จึงเกิดปัญหาขึ้นมาเพราะเธอมาเข้ากองถ่ายสายเป็นประจำ ดังนั้นทางผู้กำกับจึงตัดสินใจสั่งให้คนเขียนบทเขียนให้เธอตายในตอนที่ 40 และเขียนบทใหม่ให้ดาราสาว กัวอ้ายหมิง นักแสดงหญิงในเรื่องนี้อีกคนเป็นนางเอกแทนเมื่อผลงานละครเรื่อง ตีแสกตะวัน ลงสู่จอปรากฏว่าเรทติ้งของละครเรื่องนี้สูงลิ่ว ช่วยให้ช่องเอทีวีสามารถเอาชนะเรตติ้งของทางช่องทีวีบีได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีจากสุขภาพที่แย่ลงทำให้เธอไม่สามารถรับงานแสดงละครได้ปีละหลายเรื่องเหมือนในอดีต แต่เธอก็ยังคงมีผลงานละครกับทางสถานีโทรทัศน์เอทีวี อีก 2 เรื่องตามมาและหนึ่งในนั้นคือเรื่อง เมืองมายา ( Showbiz Tycoon 2000 ) โดยเธอร่วมแสดงนำกับ เถาต้าหวี่, ฟางจงซิน และ หลีเหย้าเสียง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน หลังจากปีพ.ศ. 2544 ( 2000 ) ด้วยสุขภาพที่อ่อนแอทำให้เธอไม่ค่อยรับงานเหมือนก่อน แต่ในยุคหลัง ๆ เธอยังคงมีผลงานละครกับทั้งทางฝั่งฮ่องกง, ไต้หวันและจีน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นรับงานแสดงละครกับทางประเทศจึนและไต้หวันเป็นหลัก และละครต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะดังเฉพาะในประเทศที่ตนเองผลิต ผลงานในยุคหลังของเธอที่โดดเด่นและพอจะเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ได้แก่ละครกำลังภายในรีเมคเรื่อง มังกรหยก ฉบับปีพ.ศ. 2551 ( 2008 ) ของไต้หวัน ที่เธอได้รับบท เปาเซียะเยียก, ละครแนวราชวงศ์เรื่อง บูเช็คเทียน พ.ศ. 2557 ( 2014 ) โดยเธอรับบทเป็น หยางซูเฟย ( พระชายาลำดับที่ 2 ในองค์จักรพรรดิ ) โดยเรื่องนี้เธอได้ประชันบทบาทเข้มข้นกับดาราสาวชื่อดัง ฟ่านปิงปิง, ในปี 2561 ( 2018 ) ร่วมแสดงรับบท จักรพรรดินีแห่งสรวงสวรรค์ ในซีรีส์แฟนตาซีเรื่อง มธุรสหวานล้ำ สลายเป็นเถ้าราวเกล็ดน้ำค้าง ( Ashes of Love ) และในปีพ.ศ. 2562 ( 2019 ) เธอก็กลับมาเป็นที่เกรียวกราวอีกครั้งกับการสวมบทบาท แม่ชีมิกจ้อ ( มิกจ้อซือไท่ ) ในซีรีส์ ดาบมังกรหยก เวอร์ชัน 2562 ( 2019 ) นอกจากงานแสดงแล้ว ปัจจุบันเธอได้เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของเธอมานาน
- 2021 Heroes Return (卸甲归来)
- 2020 Love in Blood (修罗新娘)
- 2019 Bone China (骨瓷)
- 2019 The Rookies (素人特工)
- 2019 The Magic School (捉妖学院)
- 2019 The Incredible Monk 3 (济公之降龙有悔)
- 2017 Mr.Pride VS Miss Prejudice (傲娇与偏见)
- 2015 Hot Blood Band (熱血男人幫)
- 2013 The Legend of Dunhuang (敦煌傳奇)
- 2011 Legendary Amazons (楊門女將之軍令如山)
- 2011 To Love or Not (一夜未了情)
- 2007 Crazy Money & Funny Men (大話股神)
- 2004 A Decisive Move (同步凶間)
- 2004 City Crisis (中年危機)
- 2003 We’re Not the Worst (五個墮落的男女)
- 2002 Memento (35米厘兇心人)
- 2001 Vampire Controller (趕屍先生)
- 2000 A Game of No Rule (無法無天)
- 2000 Sound from the Dark (陰風耳)
- 1998 Nude Fear (追兇20年)
- 1998 The Sleepless Town (不夜城)
- 1998 Beast Cops (野獸刑警)
- 1998 Cheap Killers (愈墮落愈英雄)
- 1998 The Love and Sex of the Eastern Hollywood (愛在娛樂圈的日子)
- 1997 Cause We Are So Young (求戀期)
- 1996 First Option (飛虎)
- 1995 Don’t Give a Damn (冇面俾)
- 1994 Love Recipe (愛情色香味)
- 1994 The Private Eye Blues (非常偵探)
- 1993 Fight Back to School III (逃學威龍Ⅲ之龍過雞年)
- 1993 Insanity (觸目驚心)
- 1992 James Wong in Japan & Korea (帶你嫖韓日)
- 1991 The Holy Virgin Versus the Evil Dead (魔唇劫)
- 1990 King of Gambler (賭王)
- 1990 The Wildgoose Chase (不文小丈夫)
- 1989 My Dear Son (我要富貴)
- 1989 Nobody’s Hero (情義我心知)
- 1988 The Truth (法內情)
- 1988 How to Pick Girls Up! (求愛敢死隊)
- 1986 Cadets on the Beat (豬仔出更)
- 1995 Sunrise Love (日出愛情)
- 1997 Loving You (迷戀你)
ปีพ.ศ. | รางวัล |
2019 | รางวัลการแสดงยอดเยี่ยม THE THIRD INTERNET FILM FESTIVAL 2019 |
2015 | TV World 2015 “รางวัลศิลปะลิงก์เสีย] |
2011 | การประชุมวิชาการนักสังคมสงเคราะห์ของจีนครั้งที่ 2 ประจำปี 2553 |
2010 | รางวัลนักแสดงผู้อุทิศตนให้กับงานการกุศลสำหรับผู้พิการ |
2010 | รางวัลละครเก่ายอดนิยมเรื่อง (คู่แค้นสายโลหิต) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 1990 ในรายการภาพยนตร์จีน – ฝรั่งเศส |
2010 | รางวัลเทศกาลแฟชั่นสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมรางวัลภาพยนตร์แฟชั่น |
2002 | รางวัลนักแสดงหญิงทรงอิทธิพล (เป็นเจ้าภาพโดยนิตยสารสุภาพบุรุษ) |
2002 | People’s Car Alliance Award (จัดทำโดยนิตยสาร Che Wang) |
1997 | ดาวนับพัน Hui He Taiqing – รางวัลการแสดงยอดเยี่ยม “Grand Changlong” |
1994 | ไต้หวัน – ศิลปินหญิงฮ่องกงที่โด่งดังที่สุดในใต้หวัน |
1994 | ไต้หวัน – อันดับที่สี่ในคนรักในฝันของชาวใต้หวัน |
1993 | Minsheng Daily – ศิลปินหญิงที่โด่งดังที่สุดในไต้หวัน |
1991 | Minsheng Daily ศิลปินทีวียอดนิยมสิบอันดับแรกในปีที่ 1991 ของละครดราม่าไร้สาย |
1991 | ศิลปินทีวียอดนิยมอันดับสี่จัดทำโดย壹 Weekly |
1990 | ศิลปินหญิงทีวียอดนิยมอันดับสองจัดโดย second Weekly |
1988 | รางวัลไต้หวัน Golden Dragon Award ฮ่องกงรางวัลนักแสดงทีวียอดเยี่ยม |