ออสเตรเลีย ( อังกฤษ : Australia ) หรือชื่อทางการคือ เครือรัฐออสเตรเลีย ( อังกฤษ : Commonwealth of Australia ) [ 13 ] เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของ ทวีปออสเตรเลีย, เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่น ๆ ใน มหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และ มหาสมุทรใต้ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับหกของโลกเมื่อนับพื้นที่ทั้งหมด มีประเทศเพื่อนบ้านประกอบด้วย อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี และ ติมอร์-เลสเต ทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และ นิวแคลิโดเนีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือ และ นิวซีแลนด์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรราว 26 ล้านคน ด้วยขนาดพื้นที่ 7,617,930 ตารางกิโลเมตร ( 2,941,300 ตารางไมล์ ) [ 14 ] มีลักษณะเป็นสังคมเมืองสูงโดยประชากรกระจุกตัวอยู่หนาแน่นบริเวณชายฝั่งตะวันออก [ 15 ] เมืองหลวงของประเทศคือ แคนเบอร์รา ในขณะที่เมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ ซิดนีย์ และมหานครที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เมลเบิร์น บริสเบน เพิร์ท และ แอดิเลด ชาวพื้นเมืองออสเตรเลียอาศัยอยู่ในทวีปนี้เมื่อประมาณ 65,000 ปีมาแล้ว [ 16 ] ก่อนการมาถึงครั้งแรกของนักสำรวจ ชาวดัตช์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ซึ่งตั้งชื่อดินแดนนี้ว่า นิวฮอลแลนด์ ต่อมา ครึ่งหนึ่งของฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียถูกอ้างว่าเป็นของ สหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 1770 และเริ่มใช้บริเวณนี้เป็น ทัณฑนิคม โดยทำการขนส่งนักโทษมายัง นิวเซาธ์เวลส์ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1788 และถือเป็นวันชาติของออสเตรเลียมาถึงปัจจุบัน [ 17 ] จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทศวรรษต่อมา ซึ่งทวีปออสเตรเลียได้ถูกสำรวจและอีกห้าอาณานิคมปกครองตนเองของ พระมหากษัตริย์ ได้ถูกจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1901 ทั้งหกอาณานิคมถูกตั้งขึ้นเป็นสหพันธ์ รวมตัวกันเป็นเครือรัฐออสเตรเลียตั้งแต่นั้นมา ออสเตรเลียยังคงรักษาระบบการเมือง เสรีนิยมประชาธิปไตย ที่มั่นคงที่ทำหน้าที่เป็นรัฐสภาประชาธิปไตยของ รัฐบาลกลาง และพระมหากษัตริย์ตาม รัฐธรรมนูญ สหพันธ์ประกอบด้วยหกรัฐ และอีกหลายพื้นที่ [ 18 ] ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่เก่าแก่ที่สุด [ 19 ] มีลักษณะแบนราบที่สุด [ 20 ] และเป็นทวีปที่แห้งแล้งที่สุดที่มีผู้คนอาศัยอยู่ [ 21 ] [ 22 ] โดยมีดินอุดมสมบูรณ์น้อยที่สุด และยังเป็นประเทศที่มีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากที่สุดบริเวณหนึ่งของโลก โดยมีทะเลทรายอยู่ตรงกลาง มีป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ และทิวเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียสร้างรายได้หลักจากภาค อุตสาหกรรม ต่าง ๆ ทั้ง การท่องเที่ยว และ การส่งออก รวมถึงการ โทรคมนาคม การธนาคาร การผลิต และการศึกษาระหว่างประเทศ [ 23 ] ออสเตรเลียเป็น ประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างสูง และเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสิบของโลก ใน ค.ศ. 2012 ออสเตรเลียมีรายได้ต่อหัวที่สูงที่สุดอันดับห้าของโลก [ 24 ] ค่าใช้จ่ายทางทหารของออสเตรเลียมากที่สุดเป็นอันดับสิบสามของโลก และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่สูงที่สุดอันดับสองทั่วโลก ออสเตรเลียถูกจัดอยู่ในอันดับที่สูงในการเปรียบเทียบระหว่างประเทศอื่น ๆ ของประสิทธิภาพการทำงานในระดับชาติ เช่น คุณภาพชีวิต, สุขภาพ, การศึกษา, เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และการปกป้องเสรีภาพของพลเมืองและ สิทธิทางการเมือง [ 25 ] ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของ สหประชาชาติ, กลุ่ม 20, เครือจักรภพแห่งชาติ, สนธิสัญญาแอนซัส, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา, องค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก, แปซิฟิกฟอรั่ม, ประชาคมแปซิฟิก และ อาเซียน+6

Reading:

ชื่อประเทศออสเตรเลีย ( ออกเสียงว่า /əˈstreɪliə/ ในภาษาอังกฤษ-ออสเตรเลีย ) [ 26 ] มาจาก ภาษาละติน Terra Australis หมายถึง “ ดินแดนทางใต้ ” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกทวีปสมมติใน ซีกโลกใต้ ตั้งแต่ สมัยโบราณ เมื่อ ชาวยุโรป เริ่มมาเยือนและทำแผนที่ออสเตรเลียเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 17 ชื่อ Terra Australis จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย จนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 19 ออสเตรเลียเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ นิวฮอลแลนด์ ” ซึ่งเป็นชื่อแรกที่ใช้โดยนักสำรวจ ชาวดัตช์ อาเบิล ตัสมัน ใน ค.ศ. 1644 ( ในชื่อ Nieuw-Holland ) แต่ชื่อ Terra Australis ยังคงเห็นการใช้งานเป็นครั้งคราว เช่น ในตำราทางวิทยาศาสตร์ ต่อมา ชื่อออสเตรเลีย ( Australia ) ได้เริ่มเป็นที่นิยมโดยมีที่มาจากนักเดินเรือชาวอังกฤษ แมทธิว ฟลินเดอรส์ ซึ่งกล่าวว่า “ เป็นชื่อที่ไพเราะกว่า ” [ 27 ] ซึ่งนักทำแผนที่และนักสำรวจได้ใช้ชื่อนี้ต่อเนื่องมายาวนาน ก่อนที่ชื่อออสเตรเลียจะปรากฏในงานวิชาการครั้งแรกในหนังสือดาราศาสตร์ของ Cyriaco Jacob zum Barth ซึ่งตีพิมพ์ในแฟรงค์เฟิร์ตอัมไมน์ใน ค.ศ. 1545 [ 28 ]
ออสเตรเลียแบ่งออกเป็นสีที่แตกต่างกันแสดงให้เห็นเขตภูมิอากาศของประเทศ เขตภูมิอากาศในประเทศออสเตรเลีย ตามการแบ่งประเภทภูมิอากาศ Köppen ประเทศออสเตรเลียมีขนาด 7,617,930 ตารางกิโลเมตร ( 2,941,300 ตารางไมล์ ) [ 29 ] ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลก อินโด-ออสเตรเลีย ล้อมรอบด้วย มหาสมุทรอินเดีย ทางทิศตะวันตก และ มหาสมุทรแปซิฟิก ทางทิศตะวันออก [ N 5 ] ถูกแยกออกจากเอเชียโดยทะเลอาราฟูรา และ ทะเลติมอร์ ที่มีแนวปะการังทะเลเรียงรายอยู่นอกชายฝั่งรัฐควีนส์แลนด์, และทะเลแทสมันนอนอยู่ระหว่างประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จัดเป็นทวีปเล็กที่สุดในโลก [ 31 ] และอันดับหกของประเทศที่ใหญ่ที่สุดโดยพื้นที่ทั้งหมด, [ 32 ] เนื่องจากขนาดและโดดเดี่ยว ทวีปนี้มักจะถูกขนานนามว่า “ ทวีปเกาะ ” [ 33 ] และบางครั้งถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก [ 34 ] ประเทศออสเตรเลียมีชายฝั่งยาว 34,218 กิโลเมตร ( 21,262 ไมล์ ) ( ไม่รวมเกาะนอกชายฝั่งทั้งหมด ) [ 35 ] และอ้างสิทธิเหนือเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาด 8,148,250 ตารางกิโลเมตร ( 3,146,060 ตารางไมล์ ) เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ ไม่รวมถึงดินแดนขั้วโลกใต้ของออสเตรเลีย [ 36 ] และไม่รวม Macquarie Island ออสเตรเลียอยู่ระหว่างละติจูด 9° และ 44°S, และ ลองจิจูด 112° และ 154°E เกรตแบร์ริเออร์รีฟ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก [ 37 ] อยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือและขยายไปยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ( 1,240 ไมล์ ). ภูเขาออกัสตัส เป็นหินใหญ่ก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก [ 38 ] ตั้งอยู่ในออสเตรเลียตะวันตกที่ความสูง 2,228 เมตร ( 7,310 ฟุต ) ภูเขา Kosciuszko บน Great Dividing Range เป็นภูเขาที่สูงที่สุดบนแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย แม้ว่าจะมีภูเขาสูงอื่น ๆ คือ Mawson Peak ( ที่ 2,745 เมตรหรือ 9,006 ฟุต ), บนดินแดนที่ห่างไกลของออสเตรเลียที่เรียกว่า Heard Island, และใน Australian Antarctic Territory, ภูเขา McClintock และภูเขา Menzies ที่ความสูง 3,492 เมตร ( 11,457 ฟุต ) และ 3,355 เมตร ( 11,007 ฟุต ) ตามลำดับ [ 39 ]
Everlastings บนภูเขา Hotham ตั้งอยู่ในรัฐวิกตอเรีย เนื่องด้วยขนาดที่กว้างขวางของประเทศออสเตรเลียส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางภูมิประเทศ, ที่มีป่าฝนเขตร้อนทางตะวันออกเฉียงเหนือ, ภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้, ตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออก และทะเลทรายแห้งในภาคกลาง [ 40 ] ทวีปออสเตรเลียเป็นทวีปที่ราบเรียบ [ 41 ] ที่มีผืนดินที่เก่าแก่ที่สุดและดินอุดมสมบูรณ์นัอยที่สุด [ 42 ] [ 43 ] ทะเลทราย หรือที่ดินกึ่งแห้งแล้งที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นชนบททำให้เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของที่ดิน [ 44 ] ทวีปที่มีอาศัยอยู่ที่แห้งที่สุด เฉพาะทางตะวันออกเฉียงใต้และมุมทางตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีอากาศเย็น. [ 45 ] ความหนาแน่นของประชากร, ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร อยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก [ 46 ] ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่ของประชากรจะอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอุณหภูมิดีพอสมควร [ 47 ] ภาคตะวันออกของออสเตรเลียถูกทำเครื่องหมายโดย Great Dividing Range ที่วิ่งขนานไปกับชายฝั่งของรัฐควีนส์แลนด์, นิวเซาธ์เวลส์และบริเวณกว้างใหญ่ของวิกตอเรีย ชื่อ Great Dividing Range ประกอบด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ และที่ราบสูงมักจะสูงไม่เกิน 1,600 เมตร ( 5,249 ฟุต ). [ 48 ] บริเวณที่สูงชายฝั่งและเข็มขัดของทุ่งหญ้า Brigalow อยู่ระหว่างชายฝั่งและภูเขา ในขณะที่แผ่นดินด้านในของ dividing image เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของทุ่งหญ้า. [ 48 ] [ 49 ] เหล่านี้รวมถึงที่ราบทางตะวันตกของนิวเซาธ์เวลส์ และ Einasleigh Uplands, Barkly Tableland และ Mulga Lands ของรัฐควีนส์แลนด์ จุด เหนือสุดของชายฝั่งตะวันออกเป็นคาบสมุทร Cape York ที่เป็นเขตป่าฝนเขตร้อน [ 50 ] [ 51 ] [ 52 ] [ 53 ]
ภูมิทัศน์ทางตอนเหนือของประเทศที่เรียกว่า the circus tent end และ the Gulf Country ด้านหลัง the Gulf of Carpentaria ที่มีภูมิอากาศเขตร้อน ประกอบด้วย ป่าไม้, ทุ่งหญ้า และทะเลทราย [ 54 ] [ 55 ] [ 56 ] ที่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปมีหน้าผาหินทราย และ ซอกเขา ของ คิมเบอร์ลีและ ด้านล่างเป็น Pilbara ไปทางใต้ของบริเวณเหล่านี้และเข้าไปในแผ่นดิน จะมีพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้ามากขึ้น ที่มีชื่อว่า the Ord Victoria Plain และ the western Australian Mulga shrublands [ 57 ] [ 58 ] [ 59 ] ที่ใจกลางของประเทศมีพื้นที่สูงของภาคกลางออสเตรเลีย ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นของภาคกลาง [ 60 ] [ 61 ] สภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากกระแสน้ำในมหาสมุทร รวมทั้ง Dipole และ El Niño–Southern Oscillation จากมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความแห้งแล้งตามฤดู และระบบความดันต่ำในเขตร้อนตามฤดูกาลที่ผลิตพายุไซโคลนในภาคเหนือของออสเตรเลีย [ 62 ] [ 63 ] ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดปริมาณน้ำฝนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทุกปี พื้นที่จำนวนมากทางตอนเหนือของประเทศมีสภาพภูมิอากาศเขตร้อน, ส่วนใหญ่เป็นฝนฤดูร้อน ( มรสุม ) [ 64 ] มุมตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมีภูมิอากาศเมดิเตอร์เรเนียน [ 65 ] พื้นที่จำนวนมากของตะวันออกเฉียงใต้ ( รวมทั้ง แทสเมเนีย ) เป็นเขตเมืองหนาว [ 64 ]
ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป คือ ชาวอะบอริจิน และ ชาวเกาะทอร์เรสสเทรต ซึ่งชนเหล่านี้มีภาษาแตกต่างกันนับร้อยภาษา [ 66 ] ประมาณการว่า มีชาวอะบอริจินมากกว่า 780,000 คนอยู่ในออสเตรเลียใน พ.ศ. 2331 [ 67 ]
ซิดนีย์ในปี 1894 การค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1606 เป็นเรือของชาวดัตช์ โดยกัปตัน Willem Janszoon ทำแผนที่ชายฝั่งส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย ระหว่าง ค.ศ. 1606 ถึง 1770 มีเรือของชาวยุโรปประมาณ 54 ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลียซึ่งรู้จักในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์ [ 68 ] ใน ค.ศ. 1770 เจมส์ คุก เดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของ สหราชอาณาจักร ให้ชื่อว่า นิวเซาท์เวลส์ ต่อมาสหราชอาณาจักรใช้ออสเตรเลียเป็น ทัณฑนิคม [ 68 ] กองเรือชุดแรกเดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ใน ค.ศ. 1787 ในวันที่ 26 มกราคม ( ค.ศ. 1788 ) ซึ่งต่อมาเป็น วันชาติออสเตรเลีย ผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักโทษและครอบครัวของทหาร โดยมีผู้อพยพเสรีเริ่มเข้ามาใน ค.ศ. 1793 มีการตั้งถิ่นฐานบน เกาะแทสเมเนีย หรือชื่อในขณะนั้นคือฟานไดเมนส์แลนด์ ใน ค.ศ. 1803 และตั้งเป็นอาณานิคมแยกอีกแห่งหนึ่งใน ค.ศ. 1825 สหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกใน ค.ศ. 1829 และเริ่มมีการตั้งอาณานิคมแยกขึ้นมาอีกหลายแห่ง ได้แก่เซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย และควีนส์แลนด์ โดยแยกออกมาจากนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลียไม่เคยเป็นอาณานิคมนักโทษ [ 68 ] ในขณะที่วิกตอเรียและเวสเทิร์นออสเตรเลียยอมรับการขนส่งนักโทษภายหลัง [ 69 ] [ 70 ] เรือนักโทษลำสุดท้ายมาถึงนิวเซาท์เวลส์ใน 1848 หลังจากการรณรงค์ยกเลิกโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน [ 71 ] การขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2396 ในนิวเซาท์เวลส์และแทสเมเนีย และ ค.ศ. 1868 ในเวสเทิร์นออสเตรเลีย [ 69 ] ใน ค.ศ. 1851 เอดเวิร์ด ฮาร์กรีฟส์ ค้นพบสายแร่ทอง ในที่ ๆ เขาตั้งชื่อว่า โอฟีร์ ( Ophir ) ในนิวเซาท์เวลส์ ทำให้เกิด ยุคตื่นทอง นำคนจำนวนมากเดินทางมาออสเตรเลีย [ 72 ] ใน ค.ศ. 1901 หกอาณานิคมในออสเตรเลียรวมตัวกันเป็น สหพันธรัฐ ในชื่อ เครือรัฐออสเตรเลีย ( Commonwealth of Australia ) ประกอบด้วย รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย รัฐควีนส์แลนด์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย และ รัฐแทสเมเนีย รวมหกรัฐเข้าอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหนึ่งเดียว เฟเดอรัลแคพิทัลเทร์ริทอรีก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1911 เป็นเมืองหลวงของสหพันธรัฐ จากส่วนหนึ่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ บริเวณแยส-แคนเบอร์รา และเริ่มดำเนินงานรัฐสภาใน แคนเบอร์รา ใน ค.ศ. 1927 [ 73 ] ใน ค.ศ. 1911 นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี แยกตัวออกมาจากเซาท์ออสเตรเลีย และเข้าเป็นดินแดนในกำกับของสหพันธ์ ออสเตรเลียสมัครใจเข้าร่วม สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมถึง 60,000 คนจากประชากรชายน้อยกว่าสามล้านคน [ 66 ]
ออสเตรเลียประกาศใช้ บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ ค.ศ. 1931 ใน ค.ศ. 1942 โดยมีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939 [ 74 ] ซึ่งเป็นการยุติบทบาทนิติบัญญัติของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลียเกือบทั้งหมด ใน สงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียประกาศสงครามกับ เยอรมนี พร้อมกับสหราชอาณาจักรและ ฝรั่งเศส หลังจากเยอรมนีบุก โปแลนด์ [ 75 ] ออสเตรเลียส่งทหารเข้าร่วมสมรภูมิใน ยุโรป เมดิเตอร์เรเนียน และ แอฟริกาเหนือ แผ่นดินออสเตรเลียโดนโจมตีโดยตรงครั้งแรกจากการเข้าตีโฉบฉวยทางอากาศของ ญี่ปุ่น ที่ ดาร์วิน [ 76 ] ออสเตรเลียยุตินโยบายออสเตรเลียขาว โดยดำเนินการขั้นสุดท้ายในปี ค.ศ. 1973 [ 77 ] พระราชบัญญัติออสเตรเลีย ค.ศ. 1986 ( พ.ศ. 2529 ) ยกเลิกบทบาทของสหราชอาณาจักรในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง ใน ค.ศ. 1999 ออสเตรเลียจัดการลง ประชามติ ว่าจะให้ประเทศเป็น สาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีแต่งตั้งจากรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งคะแนนเสียงเกือบ 55 % ลงคะแนนปฏิเสธ [ 78 ]
ออสเตรเลียมีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย แบบ รัฐสภา มีรูปแบบรัฐบาลเป็น สหพันธรัฐ และระบอบ ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐ ของออสเตรเลียคือ พระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 พระอิสริยยศในออสเตรเลียคือ Elizabeth the Second, by the Grace of God Queen of Australia and Her other Realms and Territories, Head of the Commonwealth [ 79 ] ผู้สำเร็จราชการเครือรัฐออสเตรเลีย เป็นผู้แทนพระองค์ในออสเตรเลียของพระประมุขซึ่งประทับอยู่ใน สหราชอาณาจักร รัฐธรรมนูญของออสเตรเลียระบุว่า “ อำนาจบริหารเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถ และทรงใช้อำนาจนั้นผ่านผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถ ” [ 80 ] อำนาจของผู้สำเร็จราชการนั้นรวมถึงการแต่งตั้งรัฐมนตรีและผู้พิพากษา การยุบสภา และการลงนามบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ ผู้สำเร็จราชการยังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย [ 80 ] ในทางธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ผู้สำเร็จราชการจะใช้อำนาจตามคำแนะนำของ รัฐมนตรี [ 81 ] สภาบริหารสหพันธรัฐ ( Federal Executive Council ) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ผู้สำเร็จราชการ โดยมีผู้สำเร็จราชการเป็นประธานการประชุม และ รัฐมนตรี ทุกคนมีสมาชิกภาพตลอดชีพ แต่ในทางปฏิบัติจะเรียกประชุมเฉพาะรัฐมนตรีคณะปัจจุบัน [ 82 ] รัฐบาลจะมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

ลำดับที่
ชื่อกระทรวงภาษาไทย
ชื่อกระทรวงภาษาอังกฤษ

1
กระทรวงเกษตรและทรัพยากรน้ำ
Department of Agriculture and Water Resources

2
สำนักอัยการสูงสุด
Attorney-General’s Department

3
กระทรวงการสื่อสารและศิลปกรรม
Department of Communications and the Arts

4
กระทรวงกลาโหม
Department of Defence

5
กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรม
Department of Education and Training

6
กระทรวงการจัดหางาน
Department of Employment

7
กระทรวงสิ่งแวดล้อม
Department of the Environment

8
กระทรวงการคลัง
Department of Finance

9
กระทรวงการต่างประเทศและการค้า
Department of Foreign Affairs and Trade

10
กระทรวงสาธารณสุข
Department of Health

11
กระทรวงบริการมนุษย์
Department of Human Services

12
กระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและป้องกันชายแดน
Department of Immigration and Border Protection

13
กระทรวงโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาภูมิภาค
Department of Infrastructure and Regional Development

14
กระทรวงอุตสาหกรรม นวัตกรรม และวิทยาศาสตร์
Department of Industry, Innovation and Science

15
สำนักนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
Department of the Prime Minister and Cabinet

16
กระทรวงประชาสงเคราะห์
Department of Social Services

17
กระทรวงธนารักษ์
Department of the Treasury

18
กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก
Department of Veterans’ Affairs

อาคารรัฐสภาในแคนเบอร์รา เปิดใช้แทนอาคารหลังเดิมในปี พ.ศ. 2531 ออสเตรเลียมีรัฐสภาเก้าแห่ง หนึ่งสภาของสหพันธ์ หกสภาของแต่ละรัฐ และสองสภาของแต่ละดินแดน รัฐสภาของสหพันธ์ ใช้ ระบบสองสภา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร ( House of Representative ) และ วุฒิสภา ( Senate ) สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง มีผู้แทนเขตละหนึ่งคน วุฒิสภามีสมาชิก 76 คน มาจากแต่ละรัฐ รัฐละ 12 คน และจากดินแดน ( เขตเมืองหลวงและนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ) ละสองคน [ 83 ] ทั้งสองสภาจัดการเลือกตั้งทุกสามปี สมาชิกวุฒิสภามีวาระ 6 ปี โดยการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ออสเตรเลียมีพรรคการเมืองหลักสามพรรค ได้แก่ พรรคแรงงานออสเตรเลีย พรรคเสรีนิยม และ พรรคชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 รัฐบาลของสหพันธ์มาจากพรรคแรงงานหรือเป็นรัฐบาลผสมของพรรคเสรีนิยมและพรรคชาติ [ 84 ] ปัจจุบันนายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริซัน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 2018 มาจาก พรรคเสรีนิยม พรรคอื่น ๆ ที่มีบทบาทได้แก่ ออสเตรเลียนเดโมแครต และ ออสเตรเลียนกรีนส์ โดยมักได้ที่นั่งในวุฒิสภา
ออสเตรเลียแบ่งออกเป็น 6 รัฐ ได้แก่
นอกจากนี้ยังมีดินแดนหลัก ๆ บนแผ่นดินใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี และ ออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี ( เขตเมืองหลวง ) และดินแดนเล็กน้อยอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ดินแดนนั้นมีลักษณะเดียวกับรัฐ แต่รัฐสภากลางสามารถค้านกฎหมายใดก็ได้จากสภาของดินแดน [ 85 ] ในขณะที่ในระดับรัฐ กฎหมายสหพันธ์จะค้านกับกฎหมายรัฐได้เพียงในบางด้านตามมาตรา 51 ของรัฐธรรมนูญ อำนาจนิติบัญญัติอื่น ๆ นั้นเป็นของรัฐสภาของแต่ละรัฐ แต่ละรัฐและดินแดนมีสภานิติบัญญัติของตัวเอง โดยในควีนสแลนด์และดินแดนทั้งสองแห่งเป็นลักษณะสภาเดี่ยว ในขณะที่ในรัฐที่เหลือเป็นแบบสภาคู่ สมเด็จพระราชินีมีผู้แทนพระองค์ในแต่ละรัฐ เรียกว่า “ governor ” และในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี administrator ส่วนในเขตเมืองหลวง ใช้ผู้แทนพระองค์ของเครือรัฐ ( governor-general )
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของออสเตรเลียได้รับการผลักดันจากการใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาผ่านข้อตกลง ANZUS และความปรารถนาที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเอเชียและแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาเซียน และหมู่เกาะแปซิฟิกฟอรั่ม ใน ค.ศ. 2005 ออสเตรเลียร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ต่อจากการเข้าร่วม สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใน ค.ศ. 2011 ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่หก ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของ เครือจักรภพแห่งประชาชาติ [ 86 ]
กลุ่มของทหารออสเตรเลียพร้อมปืนไรเฟิลส์เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางในพื้นที่ป่า, ทหารกองทัพออสเตรเลียดำเนินการลาดตระเวนเดินเท้าระหว่างการฝึกซ้อมร่วมกับกองกำลังสหรัฐใน Shoalwater เบย์ ( 2007 ) ออสเตรเลียมีส่วนร่วมในการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศ [ 87 ] [ 88 ] [ 89 ] นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มแครนส์ และ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก [ 90 ] [ 91 ] ออสเตรเลียเป็นสมาชิกของ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และ องค์การการค้าโลก [ 92 ] [ 93 ] และมีการดำเนินการที่สำคัญหลายอย่างตามข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีของสหรัฐ [ 94 ] และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับนิวซีแลนด์ [ 95 ] ข้อตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ ที่กำลังเจรจาต่อรองกับจีน ได้แก่ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีออสเตรเลีย-จีน และยังมีข้อตกลงร่วมกับญี่ปุ่น [ 96 ] รวมถึงเกาหลีใต้ใน ค.ศ. 2011 [ 97 ] [ 98 ] ข้อตกลงเขตการค้าเสรีชิลี, เขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์, และหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจทรานส์-แปซิฟิก ก็ได้รับการดำเนินการเช่นกัน ออสเตรเลียมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะเป็นสมาชิกพหุภาคี [ 99 ] และรักษานโยบายความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ภายใต้โปรแกรมซึ่งมี 60 ประเทศได้รับความช่วยเหลือ งบประมาณใน ค.ศ. 2005-06 จำนวนกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐถูกจัดสรรเพื่อความช่วยเหลือและการพัฒนาด้านต่างประเทศ [ 100 ] ออสเตรเลียอยู่ในอันดับเจ็ดโดยรวมด้านดัชนีความมุ่งมั่นในการพัฒนาปี 2008 ของศูนย์การพัฒนาทั่วโลก [ 101 ] กองกำลังติดอาวุธของออสเตรเลียชื่อ The Australian Defence Force (ADF) ประกอบด้วยราชนาวี ( RAN ), กองทัพบก และกองทัพอากาศ ( RAAF ) รวม 80,561 นาย ( รวม 55,068 ประจำการ และอีก 25,493 กองหนุน ) [ 102 ] บทบาทในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดตกเป็นของผู้นำประเทศ และผู้แต่งตั้งหัวหน้ากองกำลังป้องกัน [ 103 ] ในขณะที่การบริหารและการกำหนดนโยบายดำเนินการโดย กระทรวงกลาโหม ในงบประมาณระหว่าง ค.ศ. 2010-11 การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมีจำนวน 25.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย [ 104 ] เป็นอันดับที่ 13 ของงบประมาณด้านการทหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก [ 105 ] ออสเตรเลียมีส่วนร่วมในการรักษาสันติภาพ, การบรรเทาภัยพิบัติและความขัดแย้งที่ใช้อาวุธของสหประชาชาติและของภูมิภาค ปัจจุบันได้มีการวางกำลังมหารประมาณ 3,330 ในภารกิจใน ติมอร์-เลสเต, หมู่เกาะโซโลมอน และ อัฟกานิสถาน [ 106 ]
แม้ว่าบริเวณส่วนใหญ่ของออสเตรเลียจะเป็นแบบกึ่งแห้งแล้ง หรือทะเลทราย แต่ก็มีความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัยมาก ตั้งแต่ต้นไม้เตี้ยเป็นพุ่มที่ขึ้นตามทุ่งแบบอัลไพน์จนถึงป่าฝนเขตร้อน เชื้อราเป็นสัญลักษณ์ความหลากหลายนั้น จำนวนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลียรวมถึงพวกที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบ มีการคาดการณ์ที่ประมาณ 250,000 ชนิด ในจำนวนนั้นมีประมาณ 5 % ที่สามารถจำแนกได้ [ 107 ] เพราะความเก่าแก่ของทวีป รูปแบบสภาพอากาศแปรเปลี่ยนอย่างสุดขั้วและการอยู่โดดเดียวทางภูมิศาสตร์ในระยะยาว ทำให้สิ่งมีชีวิตในออสเตรเลียจำนวนมากเป็นเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย ประมาณ 85 % ของพืชดอก, 84 % ของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม, กว่า 45 % ของนกและ 89 % ของสัตว์บก และปลาเป็นสัญลักษณ์ประจำถิ่น [ 108 ] ออสเตรเลียมีสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมากที่สุด ( 755 สายพันธุ์ ) [ 109 ]
ป่าออสเตรเลียส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากสายพันธุ์ที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นยูคาลิปตัสในดินแดนแห้งแล้ง ไม้สนต่าง ๆ เป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นมากที่สุด [ 110 ] ท่ามกลางสัตว์ในออสเตรเลียที่รู้จักกันดี คือสัตว์ประเภท monotremes ( ตัวตุ่นและตุ่นปากเป็ด ) ; สัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องเลี้ยงลูก รวมถึง จิงโจ้, โคอาล่า และ วอมแบต และนก เช่น นกอีมู [ 110 ] ออสเตรเลียเป็นบ้านของสัตว์ที่เป็นอันตรายจำนวนมากรวมทั้งงูที่มีพิษรุนแรงที่สุดในโลก [ 111 ] หมาป่า ดิงโก ได้รับการแนะนำโดยคน Austronesian ที่ค้าขายกับชาวพื้นเมืองประมาณ 3000 ปีก่อนคริสต์ศักราช [ 112 ] พืชและสัตว์หลายสายพันธุ์ได้สูญพันธุ์ไปในไม่ช้าหลังจากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์คนแรก [ 113 ] รวมทั้งพันธุ์สัตว์ท้องถิ่นออสเตรเลียได้หายไปตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป เช่น ไทลาซีน [ 114 ] [ 115 ]
หลายภูมิภาคเผชิญปัญหาสิ่งมีชีวิตถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ [ 116 ] พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของรัฐบาลกลาง ค.ศ. 1999 เป็นกรอบกฎหมายสำหรับการป้องกันภัยคุกคามของพืชและสัตว์ [ 117 ] พื้นที่หลายแห่งได้รับการป้องกันภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์ของความหลากหลายทางชีวภาพ [ 118 ] [ 119 ] โดยกว่า 65 พื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์, [ 120 ] และ 16 แหล่งมรดกโลกธรรมชาติได้รับการดูแล [ 121 ] ออสเตรเลียเป็นอันดับที่ 51 จาก 163 ประเทศทั่วโลกในดัชนีการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมปี 2010 [ 122 ] การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และการป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองที่สำคัญ [ 123 ] [ 124 ] ในปี 2007 รัฐบาลได้ลงนามในตราสารการให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต อย่างไรก็ตาม การปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ของออสเตรเลียต่อหัวอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลกที่ ต่ำกว่าเพียงไม่กี่ประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ [ 125 ] ปริมาณฝนที่ตกในประเทศได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณกว่าสองในสี่ส่วนของประเทศ [ 126 ] จากอ้างอิงถึงของสำนักอุตุนิยมวิทยา ออสเตรเลียมีอุณหภูมิในปี 2011 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยในรอบสิบปียังคงแสดงให้เห็นถึง แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ เนื่องจากการจำกัดเรื่องน้ำในหลายภูมิภาค และการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมืองและภัยแล้งในท้องถิ่น [ 127 ] [ 128 ] พื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปนี้ยังเกิดน้ำท่วมใหญ่บ่อยครั้ง [ 129 ] [ 130 ]
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ร่ำรวยประเทศหนึ่ง [ 132 ] [ 133 ] [ 134 ] และจีดีพีต่อหัวของประชากรที่ค่อนข้างสูง และอัตราของความยากจนที่ค่อนข้างต่ำ ในแง่ของความมั่งคั่งเฉลี่ย เศรษฐกิจออสเตรเลียเป็นอันดับสองในโลกตามหลังสวิตเซอร์แลนด์ใน ค.ศ. 2013 แม้ว่าอัตราความยากจนของประเทศได้เพิ่มขึ้นจาก 10.2 เปอร์เซนต์ในปี 2000 เป็น 11.8 เปอร์เซนต์ใน ค.ศ. 2013 [ 135 ] [ 136 ] ออสเตรเลียได้รับการระบุโดยสถาบันวิจัยเครดิตสวิสว่าเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก และความมั่งคั่งเฉลี่ยสูงสุดในประชากรผู้ใหญ่เป็นอันดับสองใน ค.ศ. 2013 [ 135 ] เงิน ดอลลาร์ออสเตรเลีย เป็นสกุลเงินของประเทศ รวมทั้งของเกาะคริสมาสต์, หมู่เกาะโคโคส ( คีลิง ) และเกาะนอร์โฟล์ค เช่นเดียวกับรัฐอิสระเกาะแปซิฟิกของประเทศคิริบาติ, นาอูรู และ ตูวาลู การควบรวมกิจการของตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียและตลาดอนาคตซิดนีย์ใน ค.ศ. 2006 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดอันดับเก้าในโลก [ 137 ] ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับในอันดับสามด้านดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ( ค.ศ. 2010 ), [ 138 ] เศรษฐกิจประเทศใหญ่ที่สุดอันดับสิบสองของโลกและ มี GDP ต่อหัว ( ประมาณ ) ที่สูงที่สุดเป็นอันดับห้าที่ และเป็นอันดับที่สองในด้านดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติ ค.ศ. 2011 และเป็นที่หนึ่งในดัชนีเจริญรุ่งเรืองของ Legatum ค.ศ. 2008 [ 139 ] เมืองใหญ่ทั้งหมดของออสเตรเลียมีอันดับที่ดีในการสำรวจความน่าอยู่ [ 140 ] เมลเบิร์นเป็นเมืองอันดับหนึ่งจากการจัดโดยหนังสือ The Economist ในปี ค.ศ. 2011, [ 141 ] 2012 [ 142 ] และ 2013 ในรายชื่อเมืองที่น่าอยู่ที่สุดของโลก ตามด้วย แอดิเลด, ซิดนีย์ และ เพิร์ธ ในอันดับที่ห้า, เจ็ด และเก้าตามลำดับ [ 143 ] หนี้ภาครัฐรวมในประเทศออสเตรเลียอยู่ที่ประมาณ $ 190 พันล้าน [ 144 ] – 20 % ของ GDP ใน ค.ศ. 2010. [ 145 ] ออสเตรเลียอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีราคาบ้านสูงที่สุด และมีจำนวนหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงในทศวรรษที่ผ่านมา [ 146 ]
ออสเตรเลียมีความสมดุลของการชำระเงินที่มีมากขึ้นกว่า 7 % ของจีดีพี และมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีขนาดใหญ่นานกว่า 50 ปี [ 148 ] ออสเตรเลียมีการเติบโตเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ย 3.6 % ต่อปีในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ในการเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยประจำปีของกลุ่มประเทศ OECD ที่ 2.5 % [ 148 ] ออสเตรเลียเป็นประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงประเทศเดียวที่ไม่ประสบกับภาวะถดถอยเนื่องจากการชะลอตัวทางการเงินระดับโลกในปี 2008-09 [ 149 ] อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของหกประเทศคู่ค้าที่สำคัญของออสเตรเลียอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งมีผลกระทบต่อประเทศออสเตรเลียอย่างมีนัยสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา [ 150 ] [ 151 ] จาก ปี 2012 ถึงต้นปี 2013 เศรษฐกิจของประเทศออสเตรเลียเติบโต แต่ในบางรัฐที่ไม่ได้ทำเหมืองแร่ และรัฐที่เศรษฐกิจหลักที่ไม่ได้มาจากการทำเหมืองแร่ประสบกับภาวะถดถอย [ 152 ] [ 153 ] [ 154 ] ในระบบภาษีของออสเตรเลีย ภาษี รายได้ส่วนบุคคลและบริษัทเป็นแหล่งที่มาหลักของรายได้ของรัฐบาล [ 155 ] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 มีลูกจ้าง 11,537,900 คน ( ทั้งแบบเต็มเวลาและไม่เต็มเวลา ) และอัตราการว่างงานที่ 5.1 % [ 156 ] การว่างงานเยาวชน ( อายุ 15-24 ) อยู่ที่ 11.2 % [ 156 ] ข้อมูลที่ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้รับสวัสดิการได้เติบโตขึ้นถึง 55 % ใน ค.ศ. 2007 กว่าทศวรรษที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ที่ 2-3 % และอัตราดอกเบี้ยฐานที่ 5-6 % ภาคบริการของเศรษฐกิจรวมทั้ง การท่องเที่ยว, การศึกษาและการบริการทางการเงิน มีประมาณ 70 % ของ จีดีพี [ 157 ] ออสเตรเลียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยเฉพาะข้าวสาลีและขนสัตว์ รวมถึงแร่ธาตุ เช่นเหล็กและทอง และพลังงานในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว และถ่านหิน การส่งออกสินค้าเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติมีมูลค่า 3 % และ 5 % ของจีดีพีตามลำดับ ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้แก่ ญี่ปุ่น, จีน, สหรัฐ, เกาหลีใต้ และ นิวซีแลนด์ [ 158 ] ออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกไวน์และอุตสาหกรรมไวน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก มูลค่ากว่า 5.5 พันล้านเหรียญต่อปี [ 159 ]
ออสเตรเลียเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวจัดทำโดย Tourism Australia พบว่า ในปี 2016 ออสเตรเลียมีภาพลักษณ์เป็นจุดหมายทางการท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในแง่ความปลอดภัย โดยรัฐบาลออสเตรเลียมีความพยายามในการผลักดันให้ออสเตรเลียเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกผ่านมาตรการรักษาความปลอดภัยและบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ในปี 2011 รัฐบาลออสเตรเลียได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาว ‘Tourism 2020’ เป็นกรอบนโยบายระดับชาติเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวออสเตรเลีย และเพื่อผลักดันให้การท่องเที่ยวของออสเตรเลียเติบโตได้ตามศักยภาพสูงสุด ทั้งนี้ การกำหนดแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะยาวในครั้งนี้เป็นความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นฟูจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศที่ลดลงในช่วงก่อนหน้า โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบหลักคือ สำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (Austrade) และการท่องเที่ยวออสเตรเลีย (Tourism Australia) [ 160 ] การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ออสเตรเลีย และจากการที่มีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่หลากหลาย ส่งผลให้ออสเตรเลียมีแหล่งท่องเที่ยวทุกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ออสเตรเลียขึ้นชื่อเรื่องชายหาดและทะเลที่งดงาม มีหลายรัฐที่เต็มไปด้วยชายหาดหลายแห่งที่ได้รับความนิยม [ 161 ] เช่น ควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เกรตแบร์ริเออร์รีฟ พืดหินปะการังที่ยาวที่สุดในโลก และ เพิร์ท เมืองท่าซึ่งมีทัศนียภาพงดงาม สถานที่อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงได้แก่ โรงอุปรากรซิดนีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์, สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ สะพานระนาบเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก [ 162 ], อุทยานแห่งชาติ Blue Mountains, เมืองเมลเบิร์น รัฐวิคตอเรีย ซึ่งขึ้นชื่อในด้านอากาศที่ดีและการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบ นักท่องเที่ยวสามารถพักผ่อนในสวนสาธารณะอันร่มรื่นตลอดวัน การท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ การทัวร์ ปลาฉลาม [ 163 ] [ 164 ] เป็นการนำนักท่องเที่ยวเข้าไปในกรงเหล็กซึ่งมีความปลอดภัย ก่อนจะหย่อนกรงจากเรือลงไปในมหาสมุทรเพื่อสัมผัสปลาฉลามอย่างใกล้ชิด โดยสถานที่ ๆ มีชื่อเสียงที่สุดของออสเตรเลียในการทัวร์ปลาฉลามคือ พอร์ทลินคอล์น [ 165 ] [ 166 ] แม้จะสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นแต่ก็ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นการก่อกวนฉลามและอาจกระตุ้นสัญชาติการล่าเหยื่อให้ปลาฉลามทำร้ายมนุษย์ ซึ่งโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่ใช่อาหารหลักของฉลาม
ชาวออสเตรเลียมีประวัติด้านความสำเร็จและความก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์ ในสาขา การแพทย์ เทคโนโลยี กสิกรรม เหมืองแร่ และการ อุตสาหกรรม นอกจากนี้ ผู้ประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ยังได้รับรางวัลชาวออสเตรเลียประจำปี ( Australian of the Year Awards ) [ 167 ] ใน ค.ศ. 2005 ผู้ได้รับรางวัลนี้คือ ศาสตราจารย์ ฟิโอนา วูด ( Professor Fiona Wood ) ผู้พัฒนาการทำผิวหนังเทียมที่พ่นลงไปบนผิวผู้ที่ถูกไฟลวก ใน ค.ศ. 2006 ผู้ที่ได้รับรางวัลคือศาสตราจารย์ เอียน เฟรเซอร์ ( Professor Ian Frazer ) ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ส่วนใน ค.ศ. 2007 ศาสตราจารย์ ทิม แฟลนเนอรีย์ ( Professor Tim Flannery ) ได้รับรางวัลในฐานะ นักวิทยาศาสตร์ ด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำ ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและประสบความสำเร็จใน การวิจัย การเกษตร ออสเตรเลียกลายมาเป็นศูนย์กลางของโลกในด้านการเกษตรและ เทคโนโลยีอาหาร [ 168 ] และเป็นผู้ส่งออกภาคการเกษตรรายใหญ่อันดับต้น ๆ เป็นประจำทุกปี รัฐบาลออสเตรเลียลงทุนมากกว่า 600 ล้านเหรียญออสเตรเลียต่อปี ในการวิจัยและพัฒนาการเกษตร และสนับสนุนการริเริ่มสหพันธ์เกษตรกรแห่งชาติ ในการขยายเกษตรกรรมของออสเตรเลียไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

คมนาคม และ โทรคมนาคม [แก้ ]

ออสเตรเลียมีระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพที่สุดชาติหนึ่งในทุกช่องทาง [ 169 ] เป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวาง การวางระบบการขนส่งจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาด้านการสร้างเรือมีประวัติที่ยาวนานไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรือเพื่อการป้องกันประเทศ, เรือเพื่อการพาณิชย์หรือการดูแลรักษาและซ่อมแซม ซึ่งออสเตรเลียได้รับการยอมรับในทุกด้านที่กล่าวมา ออสเตรเลียยังมีความโดดเด่นด้านการออกแบบ, การวิจัยและการพัฒนาตั้งแต่แผนแม่บท, การวิศวกรรม, การก่อสร้างและระบบไอทีในการสร้างสนามบิน

ออสเตรเลียยังได้รับการยอมรับว่ามีระบบรางที่ทันสมัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลกอีกด้วย [ 170 ] [ 171 ] นวัตกรรมทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในออสเตรเลียแสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการก้าวข้ามความท้าทายในรูปแบบต่างๆทั้งทางสภาพแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจและความท้าทายด้านเทคนิค และเป็นเหตุให้ทั่วโลกให้ความสนใจในศักยภาพของออสเตรเลีย [ 172 ] ทางรถไฟสำหรับการขนส่งระบบรางหนักในประเทศออสเตรเลียได้ชื่อว่าเป็นทางผ่านของรถไฟสินค้าหนักที่ขบวนยาวที่สุดและบรรทุกสินค้าได้น้ำหนักมากที่สุดอีกด้วย ในขณะเดียวกัน ทางด้านระบบรางเบา ออสเตรเลียก็มีชื่อตั้งแต่การเริ่มต้นวางแผนโครงการ, งานวิศวกรรมก่อสร้าง, ระบบควบคุมการปฏิบัติการ ตลอดจนการดูแลรักษาเพื่อความประหยัดและปลอดภัยสูงสุด ออสเตรเลียเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านระบบรางหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ควบคุมรถไฟทางไกล ( remotely located train control centres ) หรือรถไฟสินค้าหนักอัตโนมัติ ( Heavy haul and freight rail ) ท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ดสมิธ เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของจำนวนผู้โดยสาร [ 173 ] [ 174 ] ตั้งอยู่ที่เมือง ซิดนีย์ ใน รัฐนิวเซาท์เวลส์ และเป็นฐานการบินหลักของสายการบิน ควอนตัส ซึ่งเป็นสายการบินประจำชาติและยังเป็นสายการบินเก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของโลกที่ยังให้บริการอยู่ [ 175 ] รองลงมาได้แก่ ท่าอากาศยานเมลเบิร์น และ ท่าอากาศยานบริสเบน
ในปี 2003 แหล่งพลังงานของออสเตรเลีย ได้แก่ ถ่านหิน ( 58.4 % ) ไฟฟ้าพลังน้ำ ( 19.1 % ) ก๊าซธรรมชาติ ( 13.5 % ) โรงงานเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลเหลว/ก๊าซ ( 5.4 % ) น้ำมัน ( 2.9 % ) และทรัพยากรหมุนเวียนอื่น ๆ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ ( 0.7 % ) ในช่วงศตวรรษที่ 21 ออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะผลิตพลังงานมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียนและใช้พลังงานน้อยลงโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล [ 176 ] ในปี 2020 ออสเตรเลียใช้ถ่านหินเป็นสัดส่วน 62 % ของพลังงานทั้งหมด ( เพิ่มขึ้น 3.6 % เมื่อเทียบกับปี 2013 ) พลังงานลม 9.9 % ( เพิ่มขึ้น 9.5 % ) ก๊าซธรรมชาติ 9.9 % ( ลดลง 3.6 % ) พลังงานแสงอาทิตย์ 9.9 % ( 9.8 % เพิ่มขึ้น ), ไฟฟ้าพลังน้ำ 6.4 % ( ลดลง 12.7 % ), พลังงานชีวภาพ 1.4 % ( เพิ่มขึ้น 1.2 % ) และแหล่งอื่น ๆ เช่น น้ำมันและของเสียจากเหมืองถ่านหิน คิดเป็น 0.5 % ในเดือนสิงหาคม 2009 รัฐบาลออสเตรเลียตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุถึง 20 % ของพลังงานทั้งหมดในประเทศจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2020 และพวกเขาบรรลุเป้าหมายนี้ เนื่องจากทรัพยากรหมุนเวียนคิดเป็น 27.7 % ของพลังงานของออสเตรเลียในปีดังกล่าว [ 177 ] บริษัทด้านพลังงานไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้แก่ EnergyAustralia (TRUenergy)
เป็นเวลาเกือบสองศตวรรษ ที่ผู้ตั้งถิ่นฐานและผู้อพยพย้ายมาจากเกาะอังกฤษ เป็นผลให้ผู้คนในประเทศออสเตรเลียเป็นชาวอังกฤษและ/หรือชาติกำเนิดไอริชเป็นหลัก การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2011 ได้ถามผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับบรรพบุรุษของชาวออสเตรเลีย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวอังกฤษ ( 36.1 % ) ตามด้วยออสเตรเลีย ( 35.4 % ), [ 179 ] ไอริช ( 10.4 % ), สก็อต ( 8.9 % ), อิตาลี ( 4.6 % ), เยอรมัน ( 4.5 % ), จีน ( 4.3 % ), อินเดีย ( 2.0 % ), กรีก ( 1.9 % ) และ เนเธอร์แลนด์ ( 1.7 % ) [ 180 ] และชาวออสเตรเลียเชื้อสายเอเซียคิดเป็น 12 % ของประชากรทั้งหมด [ 181 ] ประชากรของออสเตรเลียได้เพิ่มเป็นสี่เท่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง [ 182 ] แต่ความหนาแน่นของประชากร ที่ 2.8 ประชากรต่อตารางกิโลเมตร ยังคงอยู่ในกลุ่มที่ต่ำที่สุดในโลก [ 46 ] ประชากรที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากมาจากการอพยพเข้าเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สองจนถึง ค.ศ. 2000 เกือบ 5.9 ล้านคนเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศโดยเป็นผู้อพยพใหม่ ซึ่งหมายความว่าเกือบสองในเจ็ดของชาวออสเตรเลียได้เกิดในประเทศอื่น [ 183 ] ผู้อพยพส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีฝีมือ [ 184 ] ใน ค.ศ. 2050 ประชากรของออสเตรเลียเป็นที่คาดการณ์ว่าจะมีถึงประมาณ 42 ล้านคน. [ 185 ] ใน ค.ศ. 2011, 24.6 % ของชาวออสเตรเลียเกิดจากที่อื่น และ 43.1 % ของประชาชนมีอย่างน้อยหนึ่งผู้ปกครองที่เกิดในต่างประเทศ, [ 186 ] กลุ่มผู้อพยพที่ใหญ่ที่สุดเป็นผู้ที่มาจากสหราชอาณาจักร, นิวซีแลนด์, จีน, อินเดีย, อิตาลี, เวียดนามและฟิลิปปินส์ [ 187 ] กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรมีเชื้อสายยุโรป ที่เหลือเป็นคนเอเชียเก่าแก่ที่มีชนกลุ่มน้อยขนาดเล็กเป็นบรรพบุรุษ หลังจากการยกเลิกนโยบายคนออสเตรเลียขาวใน ค.ศ. 1973 โครงการของรัฐบาลจำนวนมากได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามัคคีเชื้อชาติด้วยวัฒนธรรมหลากหลาย [ 188 ] ใน ค.ศ. 2005-06 มากกว่า 131,000 คน อพยพไปอยู่ออสเตรเลียส่วนใหญ่มาจากเอเชียและโอเชียเนีย. [ 189 ] เป้าหมายสำหรับการย้ายถิ่น ค.ศ. 2012-13 อยู่ที่ 190,000 คน [ 190 ] เมื่อเทียบกับ 67,900 คนใน ค.ศ. 1998-99. [ 191 ]
มุมมองทางอากาศของท้องทุ่งทำการเกษตรสลับกับถนน, ป่าขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ด้านหน้าของภาพ. Barossa Valley เป็นภูมิภาคที่ผลิตในไวน์ในออสเตรเลียใต้ ประชากรในชนบทของออสเตรเลียใน ค.ศ. 2012 มี 2,420,731 คน ( 10.66 % ของประชากรทั้งหมด ) [ 192 ] ประชากรชาวพื้นเมือง ได้แก่พวกอะบอริจินส์ และชาวเกาะช่องแคบทอร์เรถูกนับได้ที่ 548,370 คน ( 2.5 % ของประชากรทั้งหมด ) ใน ค.ศ. 2011 [ 193 ] เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 115,953 คนในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 1976 [ 194 ] การเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเนื่องจากหลายคนที่มีมรดกทางวัฒนธรรมพื้นเมืองก่อนหน้านี้ได้ถูกมองข้ามโดยการสำรวจสำมะโนประชากร เนื่องจากมีการนับขาดไปและหลายกรณีที่สถานะทางพื้นเมืองของพวกเขาไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแบบฟอร์ม ชาวออสเตรเลียพื้นเมืองมีประสบการณ์การถูกจำคุกและการว่างงาน สูงกว่าอัตราเฉลี่ย และการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ และมีอายุขัยโดยรวมต่ำกว่าถึง 11-17 ปีเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง. [ 158 ] [ 195 ] [ 196 ] ชุมชนท้องถิ่นที่ห่างไกลบางแห่งมีสภาพเหมือน “ รัฐล้มเหลว ” [ 197 ] [ 198 ] [ 199 ] [ 200 ] [ 201 ] เนื่องจากยังอยู่ห่างไกลความเจริญ เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วชาติอื่น ๆ ออสเตรเลียกำลังประสบการเปลี่ยนแปลงประชากรไปเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีผู้เกษียณอายุมากขึ้นและคนในวัยทำงานน้อยลง ใน ค.ศ. 2004 อายุเฉลี่ยของประชากรพลเรือนอยู่ที่ 38.8 ปี [ 202 ] ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก ( 759,849 คนระหว่าง ค.ศ. 2002-03 ; [ 203 ] 1 ล้านคนหรือ 5 % ของประชากรทั้งหมดใน ค.ศ. 2005 [ 204 ] ) อาศัยอยู่นอกประเทศบ้านเกิด
แม้ว่าออสเตรเลียจะไม่มีภาษาราชการ แต่ ภาษาอังกฤษ ถือเป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย [ 2 ] ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียมีความหลากหลายด้วยสำเนียงและคำศัพท์ที่โดดเด่น, [ 205 ] และแตกต่างเล็กน้อยจากความหลากหลายอื่น ๆ ของภาษาอังกฤษด้านไวยากรณ์และการสะกดคำ [ 206 ] จากผลของการสำรวจสำมะโนประชากร ค.ศ. 2011, ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเดียวที่พูดกันทั่วไปเกือบ 81 % ของประชากร ภาษาที่พบพูดมากที่สุดต่อไปคือ ภาษาจีนกลาง ( 1.7 % ), อิตาลี ( 1.5 % ), อาหรับ ( 1.4 % ), กวางตุ้ง ( 1.3 % ), กรีก ( 1.3 % ) และ เวียดนาม ( 1.2 % ) ; [ 187 ] การศึกษาระหว่าง ค.ศ. 2010-2011 โดย Australia Early Development Index พบว่า ภาษาที่พูดโดยเด็กและเยาวชนที่พบมากที่สุดหลังจากอังกฤษ เป็น ภาษาอาหรับ ตามด้วยเวียดนาม, กรีก, จีนและภาษาฮินดี [ 207 ] [ 208 ] ระหว่าง 200 ถึง 300 ภาษาออสเตรเลียพื้นเมืองถูกคิดว่าน่าจะใช้กันในช่วงเวลาของการติดต่อกับยุโรปครั้งแรก ซึ่งมีเพียงประมาณ 70 ภาษาเท่านั้นที่ยังคงใช้ในปัจจุบัน หลายภาษาเหล่านี้จะถูกพูดเฉพาะผู้สูงอายุ มีเพียง 18 ภาษาพื้นเมืองเท่านั้นที่ยังคงถูกพูดโดยทุกกลุ่มอายุ [ 209 ] ในช่วงเวลาของการสำรวจสำมะโนประชากรปี ค.ศ. 2006, 52,000 ชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย, คิดเป็น 12 % ของประชากรพื้นเมืองที่รายงานว่าพวกเขาพูดภาษาพื้นเมืองที่บ้าน [ 210 ] ออสเตรเลียมีภาษามือที่เป็นที่รู้จักกันคือ Auslan ซึ่งเป็นภาษาหลักของคนหูหนวกประมาณ 5,500 คน [ 211 ]
ออสเตรเลียไม่มีศาสนาแห่งรัฐ ; มาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญของออสเตรเลียห้ามไม่ให้รัฐบาลกลางออกกฎหมายใด ๆ ที่จะสร้างศาสนาใด ๆ, กำหนดพิธีทางศาสนาใด ๆ หรือห้ามกิจกรรมอิสระ ของศาสนาใด ๆ [ 212 ] ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 61.1 % ของชาวออสเตรเลียถูกนับเป็นคริสเตียน 25.3 % เป็นโรมันคาทอลิก และ 17.1 % เป็นแองกลิกัน ; 22.3 % ของประชากรมีการรายงานว่า “ ไม่มีศาสนา ” ; 7.2 % ระบุว่านับถือศาสนาอื่น ๆที่ไม่ใช่คริสเตียน โดยเป็นมุสลิม ( 2.6 % ) ตามด้วย พุทธ ( 2.5 % ), ศาสนาฮินดู ( 1.3 % ) และ ยูดาย ( 0.5 % ) ส่วนที่เหลืออีก 9.4 % ของประชากรไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอ [ 187 ]
W R โทมัส ผู้สนับสนุนแห่งออสเตรเลียใต้, ปี 1864, หอศิลป์แห่งรัฐออสเตรเลียใต้ ชาวออสเตรเลียอะบอริจินได้พัฒนาศาสนาของนักวิญญาณนิยมแห่ง’ดรีมไทม์ ‘ ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปในออสเตรเลีย ความเชื่อของนักวิญญาณนิยมในคนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้รับการปฏิบัติมานานนับพันปี ในกรณีของชาวออสเตรเลียอะบอริจินแผ่นดินใหญ่ จิตวิญญาณและประเพณีได้สะท้อนให้เห็นต้นกำเนิดของ เมลานีเซีย การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1996 มีผู้ตอบแบบสอบถามได้มากกว่า 7,000 คนที่เป็นสาวกของศาสนาอะบอริจินดั้งเดิม [ 213 ]
ตั้งแต่การมาถึงของกองทัพเรืออังกฤษใน ค.ศ. 1788 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลัก ก่อให้เกิดเทศกาลของศาสนาเช่น คริสมาสต์ และอีสเตอร์ อาคารหลายแห่งถูกประดับด้วยยอดแหลมของโบสถ์และวิหาร และโบสถ์คริสต์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา สุขภาพและสวัสดิการในประเทศ ระบบการศึกษาคาทอลิกดำเนินการเป็นผู้ให้การศึกษาซึ่งไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด ( ประมาณ 21 % ) องค์กรสวัสดิการคริสเตียนยังมีบทบาทที่โดดเด่นในสังคม และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง โดยในธนบัตรของออสเตรเลียมีการปรากฎรูปของบุคคลสำคัญมากมาย อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคริสเตียน รวมถึงนักเทศน์ และนักประพันธ์พื้นเมืองชื่อดัง เดวิด อูนายพอน ( $ 50 ) ; ผู้ก่อตั้งบริการหมอกองบิน จอห์น ฟลินน์ ( $ 20 ) ; และ แคทเธอรี เฮเลน Spence ( $ 5 ) ผู้สมัครหญิงคนแรกของออสเตรเลียสำหรับสำนักงานทางการเมือง บุคคลสำคัญทางศาสนาอื่น ๆ รวมถึง แมรี แม็คคิลลอป ชาวออสเตรเลียคนแรกที่ได้รับการยอมรับเป็นนักบุญโดยคริสตจักรโรมันคาทอลิก ( ค.ศ. 2010 ) และบาทหลวง เซอร์ ดักลาส คอลส์แห่งคริสตจักรของพระคริสต์ ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ นำการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติในประเทศออสเตรเลียและยังเป็นชาวพื้นเมืองคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ คริสตจักรแห่งอังกฤษ ( เป็นที่รู้จักในนามคริสตจักรแองกลิกันของออสเตรเลีย ) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุด แต่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของคนอพยพได้มีส่วนร่วมที่ทำให้อิทธิพลของคริสตจักรลดลง อย่างไรก็ตาม คริสตจักรโรมันคาทอลิกยังได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ และกลายเป็นศาสนากลุ่มใหญ่ที่สุด ในทำนองเดียวกัน ศาสนาอิสลาม, พุทธ, ศาสนาฮินดู, และศาสนายิว ได้รับการขยายตัวในทศวรรษที่ผ่านมา [ 214 ] ศาสนาขนาดเล็กอื่น ๆ รวมทั้งศรัทธาบาไฮ, ศาสนาซิกข์ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 2001 มี 17,381 เป็นชาวซิกข์, 11,037 คนนับถือบาไฮ, 10,632 Pagans และ 8,755 Wiccans ในประเทศ [ 215 ] การสำรวจระหว่างประเทศโดยภาคเอกชน และนักวิชาการที่ไม่แสวงหาผลกำไร พบว่า “ ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศเคร่งศาสนาน้อยในโลกตะวันตก เข้ามาอันดับที่ 17 ใน 21 ประเทศที่สำรวจ ” และพบว่า “ เกือบสามในสี่ของชาวออสเตรเลีย กล่าวว่าพวกเขามีทั้งที่ไม่ได้เคร่งศาสนาเลยหรือศาสนาไม่ได้มีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเขา ” [ 216 ] ในขณะที่ การเข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจประจำสัปดาห์ใน ค.ศ. 2001 มีเพียง 1.5 ล้าน [ 217 ] ( ประมาณ 7.8 % ของประชากร ), [ 218 ] การสำรวจความคิดเห็นของชาวออสเตรเลีย 1,718 คนโดยสมาคมวิจัยคริสเตียน ปลาย ค.ศ. 2009 ชี้ให้เห็นว่า จำนวนของคนที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาต่อเดือนได้ลดลงจาก 23 % ใน ค.ศ. 1993 เป็น 16 % [ 219 ]
การเข้าเรียนที่โรงเรียนหรือการลงทะเบียนการศึกษาที่บ้าน [ 220 ] [ 221 ] เป็นภาคบังคับทั่วประเทศออสเตรเลีย การศึกษาเป็นความรับผิดชอบของแต่ละรัฐและดินแดน [ 222 ] ดังนั้น กฎระเบียบจึงแตกต่างกันในแต่ละรัฐ, แต่โดยทั่วไป เด็กจะต้องเข้าโรงเรียนตั้งแต่อายุประมาณ 5 ขึ้นไปจนถึงอายุ 16. [ 223 ] [ 224 ] ในบางรัฐ ( เช่น WA } [ 225 ] NT, [ 226 ] และ NS, [ 227 ] [ 228 ] ) เด็กอายุ 16-17 จะต้องไปโรงเรียน หรือมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมวิชาชีพ เช่นการฝึกงาน ออสเตรเลียมีอัตราการรู้หนังสือสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นที่คาดกันว่าจะเป็น 99 % ในปี 2003. [ 229 ] อย่างไรก็ตามการ รายงานสำหรับสำนักงานสถิติออสเตรเลียของปี 2011-12 รายงานว่า ทัสมาเนีย มีอัตราการรู้หนังสือและการคำนวณเพียง 50 %. [ 230 ] ในโปรแกรมสำหรับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ, ออสเตรเลียได้คะแนนอย่างสม่ำเสมออยู่ในกลุ่มสูงสุดห้าในสามสิบประเทศที่พัฒนาแล้วที่สำคัญ ( ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ) การศึกษาคาทอลิกนับว่าเป็นภาคที่ไม่ใช่รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด ออสเตรเลียมี 37 มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และสองมหาวิทยาลัยเอกชน เช่น เดียวกับสถาบันผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ จำนวนมาก ที่จัดให้หลักสูตรที่ได้รับการอนุมัติในระดับการศึกษา ที่สูงขึ้น [ 231 ] มหาวิทยาลัยซิดนีย์เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1850 ตามมาด้วยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในสามปีต่อมา มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ รวมถึงบรรดาของกลุ่มแปดสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแอดิเลด ( ซึ่งมีความสัมพันธ์กับห้ารางวัลโนเบล ), มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของ Canberra, มหาวิทยาลัย Monash และมหาวิทยาลัยแห่งนิวเซาเวลส์ OECD ได้วางตำแหน่งออสเตรเลียอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีราคาแพงที่สุดในการเข้ามหาวิทยาลัย [ 232 ] มีระบบของรัฐที่ใช้ในการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือที่เรียกว่า TAFE, และธุรกิจการค้าจำนวนมากได้ ดำเนินการฝึกอบรมและฝึกงานให้กับพ่อค้าใหม่ [ 233 ] ประมาณ 58 % ของชาวออสเตรเลียวัย 25-64 มีคุณสมบัติทางอาชีวศึกษาหรืออุดมศึกษา [ 158 ] และอัตราการสำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ที่ 49 %, สูงที่สุดในกลุ่มประเทศโออีซีดี อัตราส่วนของนักศึกษาต่างประเทศต่อนักศึกษาท้องถิ่นในการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศออสเตรเลียสูงที่สุดในกลุ่มประเทศดังกล่าวเช่นกัน [ 234 ] ออสเตรเลียมีอัตราส่วนนักศึกษาต่างชาติต่อหัวประชากรสูงที่สุดในโลก กว่า 812,000 คนลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยและสถาบันอาชีวศึกษาของประเทศในปี 2019 [ 235 ] ดังนั้นในปี 2019 นักศึกษาต่างชาติจึงมีสัดส่วนเฉลี่ย 26.7 % ของจำนวนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งหมด การศึกษาระหว่างประเทศจึงเป็นหนึ่งในภาคการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและมีอิทธิพลอย่างเด่นชัดต่อประชากรของประเทศ
ออสเตรเลียมีอายุขัยสูงที่สุดเป็นอันดับสี่รองจาก ไอซ์แลนด์, ญี่ปุ่น และ ฮ่องกง [ 236 ] อายุขัยในประเทศออสเตรเลียใน ค.ศ. 2010 อยู่ที่ 79.5 ปีสำหรับผู้ชาย และ 84.0 ปีสำหรับผู้หญิง. [ 237 ] ออสเตรเลียมีอัตราโรค มะเร็งผิวหนัง ที่สูงที่สุดในโลก โดยมีข้อมูลแสดงว่ามีผู้ป่วยเกือบล้านรายในปี 2015 [ 238 ] ในขณะที่การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการตายและโรคที่ป้องกันได้ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 7.8 % ของการเสียชีวิตโดยรวม โรคที่ป้องกันได้ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตรองลงมาอีกสองอันดับคือ ความดันโลหิตสูง ที่ 7.6 % และ โรคอ้วน ที่ 7.5 % [ 239 ] [ 240 ] ออสเตรเลียอยู่ในอันดับ 35 ในโลก [ 241 ] และอยู่ใกล้กับอันดับสูงสุดของประเทศพัฒนาแล้วสำหรับสัดส่วนของผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วน [ 242 ] ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการดูแลสุขภาพ ( รวมถึงการใช้จ่ายภาคเอกชน ) อยู่ที่ประมาณ 9.8 % ของ GDP ทั้งหมด [ 243 ] ออสเตรเลียเปิดตัวระบบการดูแลสุขภาพแบบถ้วนหน้าใน ค.ศ. 1975. [ 244 ] รู้จักกันในชื่อ เมดิแคร์ ได้รับทุนสนับสนุนโดยคิดค่าใช้จ่ายภาษีรายได้ หรือที่เรียกว่า การจัดเก็บเมดิแคร์ปัจจุบันคิดที่ 1.5 %. [ 245 ] รัฐเป็นฝ่ายจัดการด้านโรงพยาบาลและบริการผู้ป่วยนอก ในขณะที่รัฐบาลกลางจ่ายเงินอุดหนุนแผนสวัสดิการเภสัชกรรม ( อุดหนุนค่าใช้จ่ายของยา ) และการปฏิบัติทั่วไป. [ 244 ]

วัฒนธรรมของออสเตรเลียมีลักษณะเป็น วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะแบบอังกฤษหรือ แองโกล-เคลติก แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งพัฒนามาจากสภาพแวดล้อมและ ชนพื้นเมือง ในระยะหลัง วัฒนธรรมของออสเตรเลียยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกัน
ออสเตรเลียมีประเพณีด้านวรรณกรรมที่แข็งแกร่งซึ่งเริ่มมาจากการเล่าเรื่องของชาวพื้นเมืองออสเตรเลีย และต่อด้วยการเล่าเรื่องของนักโทษที่มาถึงในตอนปลายศตวรรษที่ 18 งานเขียนในตอนต้น ๆ ของออสเตรเลียส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘ บุช ’ หรือ พื้นที่ห่างไกลความเจริญ และความยากลำบากของชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ทุรกันดาร นักเขียนเช่น เฮนรีย์ ลอว์สัน (Henry Lawson) และไมล์ส แฟรงคลิน (Miles Franklin) ได้เขียนบทกลอนและเรื่องราวเกี่ยวกับบุช และวีถีชีวิตของชาวออสเตรเลียเอาไว้ นักเขียนนวนิยายชาวออสเตรเลียชื่อ แพทริค ไวท์ (Patrick White) ได้รับ รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1973 [ 247 ] [ 248 ] นักเขียนนวนิยายออสเตรเลียสมัยใหม่คนอื่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ ปีเตอร์ แครีย์ (Peter Carey) คอลลีน แม็คคัลลอฟ (Colleen McCullough) และ ทิม วินตัน (Tim Winton)[249] [ 250 ]
กลุ่มชนพื้นเมืองของออสเตรเลียส่วนใหญ่ดำรงชีวิตด้วยอาหารที่เรียบง่ายตามวิถินักล่าใน สมัยโบราณ เริ่มมีการรวบรวมอาหารที่ทำโดย เนื้อสัตว์ พื้นเมืองและพืชพันธุ์ท้องถิ่นในเวลาต่อมา หรือเรียกอีกอย่างว่าบุชทัคเกอร์ [ 251 ] ผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกได้แนะนำอาหารอังกฤษมาสู่ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่ถือว่าเป็นอาหารออสเตรเลียทั่วไป เช่น เนื้อย่าง การย้ายถิ่นฐานจากหลากหลายวัฒนธรรมได้เปลี่ยนโฉมอาหารออสเตรเลีย ผู้อพยพชาวยุโรปหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่วยสร้างวัฒนธรรม กาแฟ ที่เฟื่องฟู พายเนื้อและ แพฟโลวา ( แป้งเค้กทำจากไข่ขาวตีกับน้ำตาล ) เป็นของหวานสองชนิดที่มีชื่อเสียงที่สุดในออสเตรเลียและ นิวซีแลนด์ อาหารเอเชียจากชาติ อื่น ๆ เป็นที่นิยมในออสเตรเลียตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาจากการมีชาวเอเชียย้ายไปตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา [ 252 ] เมืองใหญ่ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น เพิร์ท และบริสเบน มักปรากฎร้านอาหารจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม และไทยมากมาย [ 253 ] อาหารเช้าได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก [ 254 ] เช่น เบคอน แฮม ไข่ ทานกับขนมปัง น้ำผึ้ง ซีเรียล โยเกิร์ต และ น้ำผลไม้ อาหารกลางวันและอาหารเย็นแตกต่างกันตามรสนิยมและภูมิภาค [ 255 ] โดยมากนิยมทานเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่คู่กับผักสลัด รวมถึงอาหารจานด่วนทั่วไป เช่น แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ พิซซา ไวน์ ของออสเตรเลียส่วนใหญ่ผลิตขึ้นในภาคใต้และส่วนที่มีอากาศเย็นของประเทศ [ 256 ] ออสเตรเลียยังขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมร้านกาแฟและกาแฟในใจกลางเมือง ซึ่งมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมกาแฟในต่างประเทศ รวมทั้งนคร นิวยอร์ก ด้วย ออสเตรเลียอ้างว่าตนเองเป็นชาติต้นกำเนิดของ แฟลต ไวท์ ( เครื่องดื่มกาแฟที่ประกอบด้วยเอสเปรสโซพร้อมสตรีมนมสด )
ชาวอะบอริจินเป็นนักดนตรีกลุ่มแรกของทวีปออสเตรเลียซึ่งส่งผ่านมรดกทางวัฒนธรรมของตนในรูปบทเพลงต่าง ๆ และเครื่องดนตรีประเภทเป่า เช่น ขลุ่ยไม้ Didgeridoo ดนตรีต่างถิ่นแรก ๆ ของออสเตรเลียมีรากเหง้ามาจากดนตรีพื้นบ้าน [ 257 ] โดยในยุคแรกมีลักษณะเป็นเพลงแบบบรรยายโวหาร คร่ำครวญถึงความยากลำบากและความโดดเดี่ยวของดินแดนใหม่ ผู้ตั้งถิ่นฐานที่หลั่งไหลมายังออสเตรเลียในเวลาต่อมา เริ่มจากนักโทษชาวอังกฤษ ไอริช และสก็อต ได้เป็นผู้สืบสานประเพณีนี้ ต่อมา ดนตรีแนวคันทรีเติบโตมาจากพื้นฐานประเพณีทางดนตรีดังกล่าวนี้ จนเมื่อล่วงมาถึงช่วงทศวรรษ 1930 ดนตรีแนวคันทรีได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตชนบทในออสเตรเลีย ดนตรีแจ๊ซเริ่มเข้ามาในออสเตรเลียระหว่างช่วงทศวรรษ 1920 และต่อมาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรเลียมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในด้านดนตรีร็อคและป็อปแบบดั้งเดิม [ 258 ] อุปรากร ในออสเตรเลียเริ่มมีการแสดงในต้นศตวรรษที่ 19 [ 259 ] [ 260 ] และปัจจุบัน Opera Australia เป็นคณะละครเพลงที่มีรอบการแสดงต่อปีมากที่สุดคณะหนึ่งของโลก [ 261 ] โดยมี โรงอุปรากรซิดนีย์ อเป็นสำนักงานใหญ่ [ 262 ] รัฐและเขตปกครองทั้งแปดของออสเตรเลียต่างมีวงดุริยางค์ซิมโฟนีประจำรัฐหรือเขตของตนเอง ส่วนวงที่มีขนาดเล็กลงมาเช่น Australian Brandenburg Orchestra และ Australian Chamber Orchestra ต่างก็ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยนักดนตรีหลายคนคือผู้อพยพจากราว 200 ประเทศทั่วโลกซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในออสเตรเลีย
The Story of the Kelly Gang ( 1906 ) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของโลกที่กระตุ้นความเฟื่องฟูวงการภาพยนตร์ในยุคภาพยนตร์เงียบ [ 263 ] หลัง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮอลลีวูดได้ผูกขาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในออสเตรเลีย และในช่วงทศวรรษ 1960 การผลิตภาพยนตร์ของออสเตรเลียก็ยุติลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ต่อมา ผู้กำกับคลื่นลูกใหม่ของออสเตรเลียในปี 1970 ได้นำความสำเร็จมาสู่วงการภาพยนตร์ในประเทศ โดยมีภาพยนตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ประจำชาติ [ 264 ] เช่น Wake in Fright และ Gallipoli ในขณะที่ซีรีส์เรื่อง Crocodile Dundee และ Mad Max ติดอันดับในบล็อกบัสเตอร์ ในตลาดภาพยนตร์สากลที่เต็มไปด้วยการแข่งขันจากภาพยนตร์ต่างประเทศ ภาพยนตร์ของออสเตรเลียมีส่วนแบ่ง 7.7 % ของบ็อกซ์ออฟฟิศท้องถิ่นในปี 2015 [ 265 ] AACTAs เป็นรางวัลภาพยนตร์และโทรทัศน์ชั้นนำของออสเตรเลีย ผู้ได้รับ รางวัลออสการ์ ที่มีชื่อเสียงจากออสเตรเลีย ได้แก่ [ 266 ] เจฟฟรีย์ รัช, นิโคล คิดแมน, เคต แบลนเชตต์ และ ฮีธ เลดเจอร์ ออสเตรเลียมีผู้แพร่ภาพกระจายเสียงสาธารณะสองบริษัทใหญ่ ( Australian Broadcasting Corporation และ Multicultural Special Broadcasting Service ) และยังมีเครือข่ายโทรทัศน์เชิงพาณิชย์สามเครือข่าย และสถานีโทรทัศน์และวิทยุสาธารณะที่ไม่หวังผลกำไรจำนวนมาก เมืองใหญ่แต่ละเมืองมี หนังสือพิมพ์ รายวันประจำถิ่นอย่างน้อยหนึ่งฉบับ [ 267 ] และมีหนังสือพิมพ์รายวันระดับประเทศสองฉบับคือ The Australian และ The Australian Financial Review ในปี 2020 ออสเตรเลียได้อันดับ 25 จาก 180 ประเทศที่จัดอันดับด้านการให้เสรีภาพสื่อ [ 268 ] รองจาก นิวซีแลนด์ ( 8 ) แต่นำหน้า สหราชอาณาจักร ( 33 ) และ สหรัฐอเมริกา ( 44 ) สื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของ News Corporation และ Nine Entertainment Co.
ประเทศออสเตรเลียจะฉลองวันพิเศษในแต่ละปีซึ่งก็คือวันสำคัญของประเทศ [ 269 ] และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ [ 270 ] ซึ่งบางวันอาจมีการจัดงานพิเศษต่าง ๆ ด้วย เกือบทุกรัฐมีวันหยุดราชการวันเดียวกัน แต่บางรัฐก็มีวันหยุดพิเศษเป็นของตนเองเพิ่มอีก ในนครใหญ่หลายแห่งนั้น ร้านค้า ร้านอาหาร และ ระบบขนส่งสาธารณะ มักจะเปิดให้บริการ ส่วนในเมืองที่มีขนาดเล็กกว่านั้น ร้านค้าและร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิดบริการ วันหยุดราชการของออสเตรเลียมีดังนี้ : วันชาติออสเตรเลีย คือวันที่ 26 มกราคม เป็นวันที่ฉลองแด่ความเป็นประเทศ วันนี้เป็นวันหยุดราชการเพื่อระลึกถึงการก่อตั้งถิ่นฐานในทวีปนี้เป็นครั้งแรกโดย ชาวยุโรป, วันแอนแซค คือวันที่ 25 เมษายน เป็นวันที่กองทัพของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ( ANZAC ) ยกพลขึ้นบกที่เมืองกาลิโปลีใน ประเทศตุรกี เมื่อ ค.ศ. 1915 ระหว่างช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 วันนี้มีเพื่อระลึกถึงเหล่าผู้ที่สู้รบและเสียชีวิตในสงคราม ในวันนี้จะมีพิธีฉลองและการเดินสวนสนามของทหาร, วันราชินี ( Queen ’ s Birthday ) จะฉลองให้แก่วันคล้ายวันพระราชสมภพของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร จะฉลองกันในวันจันทร์ ( ปกติในเดือนมิถุนายน ), วันบ๊อกซิ่งเดย์ ( Boxing Day ) คือวันที่ 26 ธันวาคม ถัดจากวันคริสต์มาส จะมีการแจกเงินและสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่ผู้ยากไร้, วันขึ้นปีใหม่สากล คือวันที่ 1 มกราคม จะมีงานเทศกาลและงานสังสรรค์จัดขึ้นทั่วประเทศ, วันแรงงาน แต่ละพื้นที่ของออสเตรเลียจะมีวันแรงงาน ( Labor Day ) ของตัวเองแตกต่างกันไป วันแรงงานถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นวันหยุดให้แก่ “ คนทำงาน ” และเพื่อระลึกถึงต้นกำเนิดของการเรียกร้องของ สหภาพแรงงาน และสิทธิด้านแรงงาน และมี วันสำคัญทางศาสนา ได้แก่ วันคริสต์มาส วันกู๊ดไฟร์เดย์ วันอีสเตอร์ซาเทอร์เดย์ อีสเตอร์ซันเดย์ และอีสเตอร์มันเดย์
คริกเกต และ ฟุตบอล เป็นสองกีฬาหลักในออสเตรเลียในช่วง ฤดูร้อน และ ฤดูหนาว ตามลำดับ [ 271 ] ออสเตรเลียน รูลส์ ฟุตบอลมีต้นกำเนิดใน เมลเบิร์น ในช่วงทศวรรษ 1850 เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกรัฐ ยกเว้น นิวเซาธ์เวลส์ และ ควีนส์แลนด์ ที่ลีกรักบี้เป็นกีฬาหลัก คริกเก็ตเป็นที่นิยมในทุกพื้นที่และได้รับการยอมรับจาก ชาวออสเตรเลีย จำนวนมากว่าเป็น กีฬาประจำชาติ คริกเก็ตทีมชาติออสเตรเลียแข่งขันกับอังกฤษในการแข่งขันนัดทดสอบครั้งแรก ( 1877 ) และการแข่งขันทางการระหว่างประเทศครั้งแรก ( 1971 ) และกับนิวซีแลนด์ในการแข่งขัน Twenty20 International ( 2004 ) ครั้งแรก โดยชนะทั้งสามเกม นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมการแข่งขัน คริกเกตชิงแชมป์โลก ทุกรุ่น และคว้าแชมป์ได้ 5 สมัย [ 272 ] ออสเตรเลียยังมีชื่อเสียงในด้าน กีฬาทางน้ำ เช่น ว่ายน้ำ และกระดานโต้คลื่น ขบวนการช่วยชีวิตนักโต้คลื่นมีต้นกำเนิดในออสเตรเลีย และอาสาสมัครช่วยชีวิตเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศ กีฬายอดนิยมอื่น ๆ ได้แก่ การแข่งม้า บาสเกตบอล และ การแข่งรถ การแข่งม้าประจำปีของเมลเบิร์นคัพ และการแข่งเรือยอทช์ระหว่างซิดนีย์ไปโฮบาร์ตดึงดูดความสนใจอย่างมาก ในปี 2016 คณะกรรมาธิการกีฬาแห่งออสเตรเลียเปิดเผยว่าการว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และฟุตบอล เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่เข้าร่วมกีฬา โอลิมปิกฤดูร้อน ทุกครั้งในยุคสมัยใหม่ และเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกสองครั้ง : 1956 ในเมลเบิร์นและ 2000 ใน ซิดนีย์ และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2032 ที่เมือง บริสเบน อีกด้วย [ 273 ] ออสเตรเลียยังได้เข้าร่วมการแข่งขัน กีฬาเครือจักรภพ ทุกครั้งซึ่งเป็นเจ้าภาพในปี 1938, 1962, 1982, 2006 และ 2018 ออสเตรเลียร่วมการแข่งขัน แปซิฟิกเกมส์ ครั้งแรก ในปี 2015 และ ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย ร่วมการแข่งขัน ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 5 ครั้ง ชนะการแข่งขัน โอเอฟซีเนชันส์คัพ 4 สมัย และ เอเชียนคัพ 1 สมัย ซึ่งถือเป็นชาติเดียวที่ชนะการแข่งขันรายการ ฟีฟ่า ในสองทวีปที่แตกต่างกัน ในเดือนมิถุนายน 2020 ออสเตรเลียได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟุตบอลโลกหญิง 2023 ร่วมกับ นิวซีแลนด์ [ 274 ] [ 275 ] ทีมบาสเกตบอลออสเตรเลียยังมีฝีมือระดับต้น ๆ ของโลก และร่วมแข่งขันโอลิมปืกอย่างสม่ำเสมอ เป็นหนึ่งในทีมดังร่วมกับสหรัฐอเมริกา สเปน อาร์เจนตินา และฝรั่งเศส งานกีฬาระดับนานาชาติที่สำคัญอื่น ๆ ที่จัดขึ้นในออสเตรเลีย ได้แก่ การแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม ออสเตรเลียนโอเพน การแข่งขันคริกเกตนานาชาติ และการแข่งขัน Formula One Grand Prix รายการโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยมสูงสุด ได้แก่ รายการกีฬา เช่น โอลิมปิกฤดูร้อน และการถ่ายทอดฟุตบอล

  • Denoon, Donald, et al. (2000). A History of Australia, New Zealand, and the Pacific. Oxford: Blackwell. ISBN 0-631-17962-3.
  • Goad, Philip and Julie Willis (eds.) (2011). The Encyclopedia of Australian Architecture. Port Melbourne, Victoria: Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-88857-8.
  • Hughes, Robert (1986). The Fatal Shore: The Epic of Australia’s Founding. Knopf. ISBN 0-394-50668-5.
  • Powell, J.M. (1988). An Historical Geography of Modern Australia: The Restive Fringe. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-25619-4
  • Robinson, G.M., Loughran, R.J., and Tranter, P.J. (2000). Australia and New Zealand: Economy, Society and Environment. London: Arnold; New York: Oxford University Press. ISBN 0-340-72033-6 paperback, ISBN 0-340-72032-8 hardback.
  • Brett, Judith (2019). From Secret Ballot to Democracy Sausage: How Australia Got Compulsory Voting. Text Publishing Co. ISBN 978-1-925603-84-2.

พิกัดภูมิศาสตร์ :