อิตาลี ( อังกฤษ : Italy ; อิตาลี : Italia อิตาเลีย ) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี ( อังกฤษ : italian Republic ; อิตาลี : Repubblica italiana ) เป็นประเทศในภูมิภาค ยุโรปตะวันตก [ 13 ] ตั้งอยู่บน คาบสมุทรอิตาลี และถูกคั่นด้วย เทือกเขาแอลป์ ทางตอนเหนือ [ 14 ] อิตาลีเป็น รัฐเดี่ยว ซึ่งปกครองด้วยรูปแบบ สาธารณรัฐระบบรัฐสภา มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือ กรุงโรม และมีศูนย์กลางเศรษฐกิจอยู่ที มิลาน [ 15 ] อิตาลีมีพื้นที่ 301,340 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดกับ ประเทศฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, สโลวีเนีย และมี ดินแดนแทรก ขนาดเล็กตั้งอยู่ภายในได้แก่ นครรัฐวาติกัน และ ประเทศซานมารีโน มีประชากรราว 60 ล้านคน [ 16 ] มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ใน สหภาพยุโรป เนื่องจากอิตาลีตั้งอยู่ตอนใต้ทวีปยุโรปและอยู่ติด ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึงมี ภูมิอากาศ ที่อบอุ่น ทำเลที่ตั้งยังเอื้ออำนวยต่อการค้าขายทางทะเลมาตั้งแต่ สมัยโบราณ และเป็นถิ่นกำเนิดของอารยธรรมสำคัญมากมาย ชนเผ่าโบราณมากมายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่ สมัยคลาสสิก เช่น ฟินิเชีย ต่อมา ชาวกรีกโบราณ มีบทบาทหลักในบริเวณ มังนาไกรกิอา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ อารยธรรมอิทรัสคัน [ 17 ] ตามมาด้วยการตั้งถื่นฐานของ ชาวเคลต์ ก่อนที่ ชาวละติน จะสถาปนา ราชอาณาจักรโรมัน ขึ้นในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล และปฏิรูปเป็น สาธารณรัฐโรมัน ซึ่งปกครองด้วยระบบวุฒิสภา ก่อนจะเข้าพิชิตและครอบงำอาณาจักรเพื่อนบ้าน และอิทธิพลของกรุงโรมได้แผ่ขยายไปยังทวีปอื่น ๆ เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษแรก จักรวรรดิโรมัน ได้กลายเป็นมหาอำนาจใน บริเวณเมดิเตอร์เรเนียน มีอำนาจนำทั้งในด้านเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และศาสนาที่เรียกว่ายุค สันติภาพโรมัน โดยกินเวลากว่าสองร้อยปี และเริ่มมีการพัฒนาระบบ กฎหมาย, องค์ความรู้, ศิลปะ, เทคโนโลยี และ วรรณกรรม [ 18 ] [ 19 ] ในช่วง ยุคกลาง ตอนต้น อิตาลีต้องเผชิญกับ การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก และการรุกรานของ อนารยชน แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 11 การค้าของรัฐอิสระทางตอนกลางและตอนเหนือของคาบสมุทรนำพวกเขากลับสู่ความเจริญทางเศรษฐกิจ โดยมีการวางรากฐานสำหรับ ทุนนิยมสมัยใหม่ [ 20 ] รัฐอิสระเหล่านี้เป็นศูนย์กลางการค้าหลักของยุโรปกับ เอเชีย และ ตะวันออกใกล้ ซึ่งมีความเป็นรัฐ ประชาธิปไตย มากกว่าดินแดนอื่น ๆ ของยุโรปที่ปกครองด้วย ระบอบศักดินา โดยส่วนหนึ่งของอิตาลีตอนกลางอยู่ภายใต้การควบคุมของ รัฐสันตะปาปา ตามระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่บริเวณตอนใต้ยังคงเป็นระบอบศักดินาจนถึงศตวรรษที่ 19 โดยได้รับอิทธิพลจาก จักรวรรดิไบแซนไทน์, อารากอน, อาหรับ และ ชัยชนะของชาวนอร์มันต่ออิตาลีตอนใต้
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เริ่มต้นขึ้นในอิตาลีและขยายไปยังส่วนอื่น ๆ ในยุโรป ทำให้เกิดกระแสความสนใจใน มนุษยนิยม วิทยาศาสตร์ การสำรวจ และศิลปะ วัฒนธรรมอิตาลีเฟื่องฟูมากในยุคดังกล่าว ก่อให้เกิด นักวิชาการ ศิลปิน และ พหูสูต ที่มีชื่อเสียง ในช่วง ยุคกลาง นักสำรวจ ชาวอิตาลี ได้ค้นพบเส้นทางสู่ โลกใหม่ นำไปสู่ยุคแห่งการค้นพบ แต่อำนาจทางการค้าของอิตาลีลดลงอย่างมากด้วยการเปิดเส้นทางการค้าข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน [ 21 ] ทำให้ต้องเผชิญการแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอื่น ๆ และความขัดแย้งในประเทศก่อให้เกิดการสู้รบระหว่างนครรัฐในศตวรรษที่ 15 และ 16 ก่อให้เกิดความแตกแยกทางการเมืองอีกหลายศตวรรษ ในศตวรรษที่ 19 ลัทธิ ชาตินิยม ก่อให้เกิด การปฏิวัติ ทางการเมือง ก่อนที่แผ่นดินทั้งหมดจะรวมเป็นหนึ่งใน ค.ศ. 1861 และสถาปนา ราชอาณาจักรอิตาลี ต่อมา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 อิตาลีได้พัฒนา อุตสาหกรรม อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ และได้ขยายการล่าอาณานิคม [ 22 ] แต่บริเวณตอนใต้ยังประสบปัญหาความยากจน และถูกกีดกันออกจากภาคอุตสาหกรรม แม้อิตาลีจะเป็นหนึ่งในสี่มหาอำนาจหลักของฝ่าย สัมพันธมิตร ใน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ประเทศได้เข้าสู่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางสังคมในเวลาต่อมา นำไปสู่ระบอบ เผด็จการ ฟาสซิสต์ ใน ค.ศ. 1922 และเข้าร่วมใน สงครามโลกครั้งที่สอง กับ ฝ่ายอักษะ ก่อนจะสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ [ 23 ] ตามมาด้วยความเสียหายทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเกิดสงครามกลางเมือง และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูประเทศ ตามมาด้วยการยกเลิก ระบอบราชาธิปไตย และก่อตั้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตย และกลายเป็น ประเทศที่พัฒนาแล้ว มาถึงปัจจุบัน [ 24 ] [ 25 ] อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุด [ 26 ] [ 27 ] โดยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ( และอันดับ 3 ในสหภาพยุโรป ) หากวัดจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) [ 28 ] รวมทั้งมี ทองคำสำรอง ในธนาคารมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และมีคุณภาพชีวิตประชากรสูง [ 29 ] จากการมีระบบการศึกษาและ สาธารณสุข ที่มีประสิทธิภาพ [ 30 ] อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในชาติ มหาอำนาจ ในด้านการทหาร, การทูต, การค้า และ อุตสาหกรรม โดยมีขนาดกองทัพใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก [ 31 ] อิตาลีเป็นหนึ่งในประเทศผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรป และยังเป็นสมาชิกของ องค์การสหประชาชาติ, เนโท, องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, องค์การการค้าโลก, กลุ่ม 7, กลุ่ม 20, สหภาพเพื่อเมดิเตอร์เรเนียน, สภายุโรป และ พื้นที่เชงเกน อิตาลียังเป็นต้นกำเนิดของ สิ่งประดิษฐ์ และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมาย รวมทั้งเป็นศูนย์กลางทางศิลปะ [ 32 ], ดนตรี, วรรณกรรม, ปรัชญา และ แฟชั่น [ 33 ] และมีอิทธิพลต่อวงการบันเทิงโลก [ 34 ] และยังมีจุดเด่นในด้าน อาหาร, กีฬา [ 35 ] และธุรกิจ รวมทั้งเป็นแหล่งสะท้อนความมั่งคั่งทางวัฒนธรรม โดยเป็นประเทศที่มีแหล่ง มรดกโลก มากที่สุดในโลก ( 58 แห่ง ) [ 36 ] [ 37 ] [ 38 ] และมี นักท่องเที่ยว มากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก [ 39 ]
สมมติฐานที่มาของชื่อประเทศ “อิตาลี” (Italy) มีมากมาย ประการแรก เป็นที่เชื่อกันว่าเป็นการยืมคำมาจาก ภาษากรีก ซึ่งหมายถึง ‘ดินแดนแห่งลูกวัว ‘ ของ Oscan Víteliú เนื่องจากใน ยุคโบราณ ผู้คนมักเปรียบเทียบลักษณะประเทศของอิตาลีในแผนที่ว่าเหมือนน่องของวัว ไม่ได้เปรียบเหมือนรองเท้าบูทเหมือนในปัจจุบัน ต่อมา นักประวัติศาสตร์ ชาวกรีก ไดโอนิซิอัส ได้เล่าถึงที่มาของชื่อประเทศกับตำนานที่ว่าอิตาลีได้รับการตั้งชื่อตามชื่อ คำว่า Italus ที่ แอริสตอเติล และ ทิวซิดิดีส ได้ใช้เรียกดินแดนบริเวณนี้ และตามคำกล่าวของอันทิโอคุสแห่งซีราคิวส์ คำว่าอิตาลีถูกใช้โดยชาวกรีกเพื่อกล่าวถึงส่วนใต้ของ แคว้นคาลาเบรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งจังหวัดเรจจิโอในปัจจุบัน รวมถึงส่วนหนึ่งของจังหวัดกาตันซาโร วิโบ และวาเลนเซียทางตอนใต้ของอิตาลี [ 40 ] [ 41 ] [ 42 ] นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานจากนักวิชาการและนักภาษาศาสตร์ในสมัย จักรวรรดิโรมัน ว่าชื่อ Italy มีการใช้มาตั้งแต่ สมัยโบราณ เพื่อสื่อถึงบริเวณคาบสมุทรทั้งหมดซึ่งอยู่ใต้ เทือกเขาแอลป์ [ 43 ]
ประเทศอิตาลีตั้งอยู่บน คาบสมุทรอิตาลี ถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุก ๆ ด้านยกเว้นด้านเหนือ โดยอาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับ ประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และ ออสเตรีย อันมี เทือกเขาแอลป์ กั้นแบ่ง ในเทือกเขาแห่งนี้มีภูเขาที่สูงที่สุดใน ยุโรปตะวันตก คือภูเขา มอนเตบีอังโก ( อิตาลี : Monte Bianco ) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งของอิตาลีมีชื่อว่า เทือกเขาแอเพนไนน์ ( อิตาลี : Appennini ) พาดผ่านจากตอนกลางสู่ตอนใต้ของประเทศ แม่น้ำที่ยาวที่สุดในอิตาลีคือ แม่น้ำโป ( Po ) และ แม่น้ำไทเบอร์ ที่ไหลผ่านกรุง โรม อิตาลีมีดินแดนที่ราบลุ่มริมแม่น้ำราว 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งประเทศ [ 44 ] โดยที่ราบลุ่มแม่น้ำโป ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นบริเวณพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ที่สุด อิตาลีมีเกาะมากมาย เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ เกาะซิซิลี รองลงมาคือ เกาะซาร์ดิเนีย ทั้งสองแห่งสามารถเดินทางได้โดยทางเรือและทางเครื่องบิน ทางตอนเหนือของอิตาลีมีทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่มากมาย เช่น ทะเลสาบการ์ดา โกโม มัจโจเร และทะเลสาบอีเซโอ เนื่องจากประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเล ดังนั้นจึงมีชายฝั่งทะเลยาวหลายพันกิโลเมตร ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และนักท่องเที่ยวก็นิยมเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของอิตาลีอีกด้วย ประเทศอิตาลีมี ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ มากอันดับหนึ่งของโลก เมืองหลวงของประเทศอิตาลีคือกรุง โรม และเมืองสำคัญอื่น ๆ เช่นเมือง มิลาน ตูริน ฟลอเรนซ์ เนเปิลส์ และ เวนิส และภายในประเทศอิตาลียังมีประเทศแทรกอยู่ 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศซานมารีโน และ นครรัฐวาติกัน ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ คือ ปรอท โพแทช ( โพแทสเซียม คาร์บอเนต ) หินอ่อน กำมะถัน แก๊สธรรมชาติ น้ำมันดิบ ปลา และ ถ่านหิน [ 45 ] อิตาลีมีปัญหาด้านสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะเป็นพิษจากอุตสาหกรรมและการสันดาป ชายฝั่งแม่น้ำเน่าเสียจากอุตสาหกรรม และสารตกค้างจากการเกษตร ฝนกรด การขาดการดูแลบำบัดของเสียจากอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ และปัญหาด้านภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ดินและโคลนถล่ม ภูเขาไฟ ระเบิด น้ำท่วม รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดตัวในเวนิส [ 45 ]
ประเทศอิตาลีมีลักษณะอากาศหลากหลายแบบ และอาจมีความแตกต่างจากภูมิอากาศแบบ เมดิเตอร์เรเนียน ตามลักษณะพื้นที่ตั้ง พื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่นเมือง ตูริน มิลาน และ โบโลญญา มีลักษณะแบบอากาศภาคพื้นทวีปที่ค่อนข้างร้อนชึ้น ( การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน : Cfa ) พื้นที่ชายฝั่งติดกับทะเลของ แคว้นลีกูเรีย และส่วนใหญ่ของ คาบสมุทร ที่อยู่ใต้ลงไปจาก ฟลอเรนซ์ เป็นภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ( การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปน : Csa ) คือมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจาก แอฟริกา พัดเอาความร้อนและความชี้นเข้ามา [ 44 ] พื้นที่ชายฝั่งของคาบสมุทรอิตาลีสามารถมีความแตกต่างกันได้มากจากระดับความสูงของภูเขาและหุบเขา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูหนาวในที่สูงก็จะมีอากาศหนาว ชื้น และมักจะมี หิมะ ตก ภูมิภาคริมทะเลมีอากาศไม่รุนแรงในฤดูหนาว อากาศอุ่นและมักจะแห้งในฤดูร้อน และพื้นที่ต่ำกลางหุบเขามีอากาศค่อนข้างร้อนในฤดูร้อน ประเทศอิตาลีมีฤดู 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง โดยฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 0 °C ( 32 °F ) บนเทือกเขาแอลป์ ถึง 12 °C ( 54 °F ) บนเกาะซิซิลี และในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 °C ( 68 °F ) ถึง 30 °C ( 86 °F ) และอาจสูงกว่านี้ได้ในบางช่วง [ 46 ]
คาบสมุทรอิตาลี มีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ นีแอนเดอร์ทัล ตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรใน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรม มิโนอัน และ ไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรม กรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป [ 47 ] ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวก อีทรัสคัน จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นทัสกานีในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วน พวกกรีก เองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” ( อิตาลี : Magna Graecia ) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมือง เนเปิลส์ จนถึงเกาะซิซิลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีทรัสคันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบ ๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็น นครรัฐ ขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีทรัสคันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิลี ทั้งหมดแล้ว ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบ จักรวรรดิ โดยมี จักรพรรดิออกเตเวียน เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนอารยธรรมกรีกที่เสื่อมถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน ค.ศ. 312 จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงยอมรับ คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของโรม และทรงแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และ จักรวรรดิไบแซนไทน์ ในคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันตะวันตกและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนชาวเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 476 จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ คาบสมุทรอิตาลีถูกแบ่งออกเป็นนครรัฐทั้งหลายซึ่งมีอิสระต่อกันกว่า 14 รัฐ
ในช่วงต้นของ ยุคกลาง ดินแดนต่าง ๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดใน คริสตจักร ซึ่งต่อมาคือ “สันตะปาปา” และสามารถจัดตั้ง รัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผู้สืบทอด อารยธรรมโรมัน ที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป ในกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน โดยเรียกว่า ยุคเรอเนซองส์ และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบ ศักดินา แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิงอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศส ได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์คริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้า ระหว่างฝรั่งเศสและสเปน
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการชุมนุมของขบวนการ ชาตินิยม เพื่อต้องการรวมอิตาลีจนเป็นผลสำเร็จ โดยการนำของ พระเจ้าวิคเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 นับแต่นั้นมา อิตาลีจึงอยู่ภายใต้การปกครอง ระบอบกษัตริย์ เรื่อยมาจนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิตาลี เมื่อมีการประกาศยกเลิกความเป็นพันธมิตรกับ เยอรมนี และ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จนได้รับสมญานามว่าเป็น 1 ใน 4 มหาอำนาจ ( The Big Four ) ต่อมาสงครามได้ยุติลงด้วยชัยชนะของสัมพันธมิตร อิตาลีจึงได้ดินแดนบางส่วนของ ออสเตรีย มาครอบครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1922 ระบบเผด็จการ ฟาสซิสต์ ถูกนำมาใช้ในประเทศอิตาลีกว่า 20 ปี โดยการนำของ เบนิโต มุสโสลินี ถึงแม้ว่าจะมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น จนกระทั่งเข้าสู่ สงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลีเข้าร่วมกับ ฝ่ายอักษะ เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลี ได้ มุสโสลินีจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง ปีเอโตร บาโดลโย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และประกาศสงครามกับ นาซีเยอรมนี จนได้รับชัยชนะ โดยมุสโสลินีถูกกลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์จับกุม และถูก ประหารชีวิต ด้วยการ ยิงเป้า ในข้อหาทรยศต่อชาติที่เมือง มิลาน [ 48 ]
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สิ้นสุดลง อิตาลียังคงมี พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 เป็นประมุขอยู่ ต่อมาพระองค์สละราชสมบัติให้กับ พระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 ขึ้นครองราชย์แทน แต่ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนต่างลงประชามติให้อิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบกษัตริย์มาเป็นระบบสาธารณรัฐใน ระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 โดยมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1948 จนถึงปัจจุบัน [ 48 ]
การปกครองของประเทศอิตาลีเป็นรูปแบบ สาธารณรัฐประชาธิปไตย มี รัฐสภา และใช้ ระบบพรรคผสม รัฐสภาของอิตาลีประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนของทั้งสองสภาดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี [ 49 ] รัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ส่วน อำนาจนิติบัญญัติ ควบคุมโดย สภานิติบัญญัติ สองสภา ประเทศอิตาลีใช้รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยมาตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 หลังจากการล้มล้างระบอบ ราชาธิปไตย โดย การลงประชามติ ของประชาชน มี รัฐธรรมนูญ ฉบับแรกประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1948
แซร์โจ มัตตาเรลลา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 2015 มารีโอ ดรากี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ. 2021 อิตาลีมีรัฐบาลแบบ รัฐสภา ซึ่งใช้ระบบการลงคะแนนเสียงแบบสัดส่วนและแบบเสียงข้างมาก นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานอย่างเป็นทางการของคณะรัฐมนตรี ( Presidente del Consiglio dei Ministri ) เป็น หัวหน้ารัฐบาล ของอิตาลี นายกรัฐมนตรีและ คณะรัฐมนตรี ได้รับการแต่งตั้งจาก ประธานาธิบดี แห่งสาธารณรัฐอิตาลีและต้องผ่านการโหวตไว้วางใจในรัฐสภาจึงจะเข้ารับตำแหน่งได้ การจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้จะต้องผ่านการลงมติเพิ่มเติมด้วยความเชื่อมั่นหรือไม่ไว้วางใจในรัฐสภาในที่สุด [ 50 ] [ 51 ] นายกรัฐมนตรีคือประธานคณะรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจบริหารที่มีประสิทธิภาพ และเขาต้องได้รับคะแนนเสียงอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองส่วนใหญ่ สำนักงานมีลักษณะคล้ายกับระบบรัฐสภาอื่นๆ ส่วนใหญ่ แต่ผู้นำรัฐบาลอิตาลีไม่ได้รับอนุญาตให้ขอให้ยุบรัฐสภาอิตาลี นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการ : ประสานนโยบายข่าวกรอง กำหนดทรัพยากรทางการเงิน และเสริมสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ของประเทศ ใช้และปกป้องความลับของรัฐ อนุญาตให้ตัวแทนดำเนินการในอิตาลีหรือต่างประเทศโดยฝ่าฝืนกฎหมาย [ 52 ]
รัฐสภาอิตาลีประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ประธานรัฐสภา คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร การบัญญัติกฎหมายใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภา วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกทั้ง 2 สภาคือ 5 ปี และการเลือกตั้งจะทำพร้อมกันทั้ง 2 สภา โดยจะมีขึ้นทุก ๆ 5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากประธานาธิบดีไม่อาจสรรหานายกรัฐมนตรีที่สามารถจัดตั้ง คณะรัฐบาลให้ทั้ง 2 สภาให้ความเห็นชอบได้ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 9 – 10 เมษายน พ.ศ. 2549 ( มีการเลือกตั้ง 2 วันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนมาลงคะแนนมากขึ้น ) สภาผู้แทนราษฎร ( อิตาลี : Camera dei Deputati ) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 630 คน โดย 475 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 155 คนมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจากแคว้นต่างๆ ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป วุฒิสภา ( อิตาลี : Senato della Repubblica ) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 326 คน โดย 315 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป จากแคว้น ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีสมาชิกวุฒิสภาตลอดชีพอีกจำนวนหนึ่ง ( ปัจจุบันมี 7 คน ) ซึ่งจะแต่งตั้งจากบุคคลชั้นนำของสังคม [ 53 ]
อิตาลีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ( EEC ) ปัจจุบันคือ สหภาพยุโรป ( EU ) และของ เนโท และเป็นสมาชิกและสนับสนุน องค์การระหว่างประเทศ จำนวนมาก เช่น องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ( OECD ) ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า / องค์การการค้าโลก ( GATT/WTO ) องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป ( OSCE ) สภายุโรป และโครงการริเริ่มของ ยุโรปกลาง องค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป, กลุ่ม 7 และสภาสหภาพยุโรป อิตาลียังเป็นสมาชิกชั่วคราวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อิตาลีสนับสนุนการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุน สหประชาชาติ และกิจกรรมด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ ในปี 2013 อิตาลีส่งทหาร 5,296 นายไปต่างประเทศ มีส่วนร่วมในภารกิจขององค์การสหประชาชาติและองค์การเนโท 33 แห่งใน 25 ประเทศทั่วโลก อิตาลีส่งกำลังทหารเพื่อสนับสนุนภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติใน โซมาเลีย โมซัมบิก และ ติมอร์ตะวันออก และให้การสนับสนุนปฏิบัติการของเนโท และ UN ใน บอสเนีย โคโซโว และ แอลเบเนีย และยังส่งทหารกว่า 2,000 นายใน อัฟกานิสถาน เพื่อสนับสนุน Operation Enduring Freedom (OEF)
- ด้านการทูต
ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิตาลีมา ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ( ค.ศ. 1868 ) โดยไทยและอิตาลีได้ลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกคือ สนธิสัญญาว่าด้วยมิตรภาพ การพาณิชย์ และการเดินเรือ ( Treaty of Friendship, Commerce and Navigation ) ซึ่งได้ลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ( ค.ศ. 1868 ) ต่อมาอิตาลีได้แต่งตั้งกงสุลอิตาลีประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2429 ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-อิตาลีโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาขัดแย้งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งในระดับพระราชวงศ์ บุคคลสำคัญ และเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตไทยประเทศอิตาลีที่กรุง โรม และมีสถานกงสุลใหญ่ประจำประเทศไทย 5 แห่ง คือ ที่เมือง ตูริน เจโนวา มิลาน นาโปลี และ คาตาเนีย [ 53 ] และที่มีสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทยที่ กรุงเทพ
- ด้านการค้าและเศรษฐกิจ
ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศอิตาลีเป็นคู่ค้าของไทยอันดับที่ 4 ใน สหภาพยุโรป และอันดับที่ 21 ในโลก โดยมีมูลค่าการค้ารวม 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.2 ของการค้ารวมของไทย เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2548 ร้อยละ 0.24 โดยไทยส่งออก 1.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 1.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการลงทุน ในปี พ.ศ. 2549 การลงทุนของอิตาลีในไทย มีมูลค่ารวม 481.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากปี พ.ศ. 2548 โดยเป็นด้านแร่ธาตุและเซรามิค 1 โครงการ อุตสาหกรรมเบาและเส้นใย 2 โครงการ ผลิตภัณฑ์โลหะและเครื่องจักร 3 โครงการ ด้านเคมีภัณฑ์และกระดาษ 1 โครงการและด้านบริการ 2 โครงการ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ รถยนต์ และส่วนประกอบ ยางพารา ปลาหมึก สดแช่เย็น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ อัญมณีและเครื่องประดับ ผ้าผืน เครื่องโทรสาร โทรพิมพ์ โทรศัพท์ เป็นต้น สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผ้าผืน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์ พลาสติก เครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ การทดสอบ เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด เป็นต้น [ 53 ] ด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอิตาลีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยประมาณ 130,000 คนต่อปี โดยมีจำนวนมากน้อยตามสภาวะเศรษฐกิจของอิตาลีและยุโรป ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปอิตาลีปีละประมาณ 12,350 คน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี และสายการบินไทยมีเส้นทางการบินจากกรุงเทพสู่มิลาน สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน จากเดิมมีเพียงการบินจากโรมเข้าสู่กรุงเทพทั้งสิ้น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ [ 53 ]
กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองกำลังคาราบินิเอรีของอิตาลีรวมตัวกันเป็นกองทัพอิตาลี ภายใต้การบังคับบัญชาของสภาป้องกันสูงสุด ซึ่งมีประธานาธิบดีแห่งอิตาลีเป็นประธาน ตั้งแต่ปี 2005 การรับราชการทหารเป็นไปโดยสมัครใจ [ 54 ] ในปี 2010 กองทัพอิตาลีมีบุคลากรประจำการ 293,202 นาย การใช้จ่ายทางทหารทั้งหมดของอิตาลีในปี 2010 อยู่ในอันดับ 10 ของโลก โดยอยู่ที่ 35.8 พันล้านดอลลาร์ เท่ากับ 1.7 % ของ GDP ของประเทศ อิตาลียังเป็นผู้จัดหา ระเบิดนิวเคลียร์ B61 ให้แก่ สหรัฐอเมริกา จำนวน 90 ลูก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การแบ่งปันนิวเคลียร์ของเนโท ซึ่งตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศ Ghedi และ Aviano กองทัพอิตาลีเป็นกองกำลังป้องกันภาคพื้นดินแห่งชาติ จำนวน 109,703 ในปี 2008 ยานเกราะต่อสู้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือยานรบทหารราบดาร์โด ยานพิฆาตรถถัง Centauro และรถถัง Ariete รวมถึงการมีเฮลิคอปเตอร์โจมตี Mangusta นอกจากนี้ยังมีรถหุ้มเกราะรุ่น Leopard 1 และ M113 อีกหลายรุ่น กองทัพเรืออิตาลีในปี 2008 มีกำลังพล 35,200 นาย [ 55 ] พร้อมเรือรบ 85 ลำและเครื่องบิน 123 ลำ เป็นเรือดำน้ำสีน้ำเงิน ในยุคปัจจุบัน กองทัพเรืออิตาลีซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและเนโทได้เข้าร่วมปฏิบัติการในการรักษาสันติภาพของพันธมิตรหลายครั้งทั่วโลก กองทัพอากาศอิตาลีในปี 2008 มีกำลัง 43,882 ลำ และใช้งานเครื่องบิน 585 ลำ รวมถึงเครื่องบินรบ 219 ลำและเฮลิคอปเตอร์ 114 ลำ ความสามารถในการขนส่งได้รับการยอมรับจากกองทัพนานาชาติจากการเป็นเจ้าของฝูงบิน C-130Js และ C-27J Spartan จำนวน 27 ลำ
การปกครองส่วนท้องถิ่น อิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น แบ่งเป็นแคว้น 15 แคว้น และแคว้นปกครองตนเอง 5 แคว้น โดยในแต่ละแคว้นจะมีองค์กรการปกครองหลักอยู่ 3 องค์กร คือ [ 53 ]
- คณะมนตรีแคว้น (Regional Council) ทำหน้าที่ตรากฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเขตอำนาจ
- คณะมนตรีกรรมการ (The Junta) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร
- ประธานคณะกรรมการ (The President of the Junta) ทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรีในเขตอำนาจ แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผู้แทนของรัฐบาลคนหนึ่งอยู่ประจำ ณ นครหลวงของแคว้นนั้น ๆ คอยควบคุมดูแลการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง
สาธารณรัฐอิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 แคว้นหรือ เรโจนี (อิตาลี: Regioni) และ 5 แคว้นปกครองตนเอง หรือ เรโจนีเอาโตโนเม (อิตาลี: Regioni autonome) และแต่ละแคว้นก็จะแบ่งการปกครองออกเป็น จังหวัด (อิตาลี: Province) และแต่ละจังหวัดก็จะแบ่งออกเป็นเทศบาลหรือ โกมูนี (อิตาลี: Comuni)
(ตัวหนังสือเอียง หมายถึง เป็นแคว้นปกครองตนเอง)
#
แคว้น
เมืองหลวง
พื้นที่
(ตร.กม.)
ประชากร
[56]
1
อาบรุซโซ
Abruzzo
ลากวีลา
L’Aquila
10,794
1,334,675
2
บาซีลีคาตา
Basilicata
โปเตนซา
Potenza
9,992
590,601
3
คาลาเบรีย
Calabria
คาตันซาโร
Catanzaro
15,080
2,008,709
4
คัมปาเนีย
Campania
เนเปิลส์ (นาโปลี)
Naples (Napoli)
13,595
5,812,962
5
เอมีเลีย-โรมัญญา
Emilia-Romagna
โบโลญญา
Bologna
22,124
4,337,979
6
ฟรียูลี-เวเน็ตเซียจูเลีย
Friuli-Venezia Giulia
ตรีเยสเต
Trieste
7,855
1,230,936
7
ลาซีโอ
Lazio
โรม (โรมา)
Rome (Roma)
17,207
5,626,710
8
ลีกูเรีย
Liguria
เจนัว (เจโนวา)
Genoa (Genova)
5,421
1,615,064
9
ลอมบาร์ดี (ลอมบาร์เดีย)
Lombardy (Lombardia)
มิลาน (มีลาโน)
Milan (Milano)
23,861
9,742,676
10
มาร์เก
Marche
อังโกนา
Ancona
9,694
1,569,578
11
โมลีเซ
Molise
กัมโปบัสโซ
Campobasso
4,438
320,795
12
ปีเยมอนเต
Piemonte
ตูริน (โตรีโน)
Turin (Torino)
25,399
4,432,571
13
ปุลยา
Puglia
บารี
Bari
19,362
4,079,702
14
ซาร์ดิเนีย (ซาร์เดญญา)
Sardinia (Sardegna)
คัลยารี
Cagliari
24,090
1,671,001
15
วัลเลดาออสตา (วาเลโดสต์)
Valle d’Aosta (Vallée d’Aoste)
อาออสตา
Aosta
3,263
4,337,979
16
ทัสกานี (ตอสกานา)
Tuscany (Toscana)
ฟลอเรนซ์ (ฟีเรนเซ)
Florence (Firenze)
22,997
3,707,818
17
เตรนตีโน-อัลโตอาดีเจ
Trentino-Alto Adige
เตรนโต
Trento
13,607
1,018,657
18
อุมเบรีย
Umbria
เปรูจา
Perugia
8,456
894,222
19
ซิซิลี (ซีชีเลีย)
Sicily (Sicilia)
ปาแลร์โม
Palermo
25,708
5,037,799
20
เวเนโต
Veneto
เวนิส (เวเนเซีย)
Venice (Venezia)
18,391
4,885,548
ในช่วงหลังของทศวรรษ 1980 เศรษฐกิจของอิตาลีจัดอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เริ่มประสบปัญหาใน ทศวรรษ ต่อมา ทำให้รัฐบาลไม่สามารถควบคุมปัญหาการขาดดุลสาธารณะได้ เดิมอิตาลีเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่หลังจากปี ค.ศ. 1945 ได้เริ่มพัฒนาภาคอุตสาหกรรมจนกระทั่งปัจจุบันมีประชากรเพียงร้อยละ 7 อยู่ในภาคการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางภาคใต้และมีฐานะยากจนกว่าทางภาคเหนือและกลาง พืชหลักที่เพาะปลูก ได้แก่ ต้นบีต ข้าวสาลี ข้าวโพด มันเทศ และ องุ่น ( อิตาลีใช้องุ่นทำไวน์และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกด้วย ) [ 45 ] ประเทศอิตาลีมีพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะแก่การ เกษตรกรรม และมีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก แม้จะมี ก๊าซธรรมชาติ อยู่บ้าง จึงเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าอาหาร และพลังงาน อิตาลีเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมแบบพื้นฐาน และมีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรสูงไล่เลี่ยกับ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส อิตาลีมีจุดแข็งในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ( SMEs ) ประเทศอิตาลีเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแรกทั้งหมด 11 ประเทศที่เข้าร่วมใน สหภาพยุโรป ในปี ค.ศ. 2002 และอิตาลีก็ได้เปลี่ยน สกุลเงิน มาเป็น ยูโร ซึ่งก่อนหน้านั้นอิตาลีใช้สกุลเงิน ลีร์ ( ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881 )
อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศมี รถยนต์ บริษัทรถยนต์ที่รู้จักกันดี เช่น อัลฟาโรเมโอ เฟียต เฟอร์รารี่ ลัมโบร์กีนี ( ปัจจุบันอยู่ในเครือ โฟล์กสวาเกน ) และ มาเซราติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล การก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องไฟฟ้า เครื่องเรือน อุตสาหกรรมทอผ้า เสื้อผ้า แฟชั่น และการท่องเที่ยว อิตาลีเป็นสมาชิกกลุ่ม จี 8 และเข้าร่วม สหภาพการเงินของสหภาพยุโรป ( EMU ) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1998 แม้ระบบเศรษฐกิจของอิตาลีเป็นระบบทุนนิยม ที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี แต่รัฐบาลยังคงเข้ามามีบทบาทควบคุมกิจกรรมที่สำคัญ เช่น สาธารณูปโภค อุตสาหกรรมพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งได้ก่อประโยชน์ให้แก่ภาครัฐบาลในการสร้างฐานอำนาจ และแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะลดบทบาทของพรรคการเมือง โดยการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ แต่อิตาลียังมีปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศหลายอย่าง เช่น การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง การว่างงาน การขาดแคลนทรัพยากรพลังงานในประเทศ และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างอิตาลีตอนเหนือ ( แคว้นลอมบาร์ดี เอมีเลีย-โรมัญญา และ ทัสกานี ) ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมและการค้า และมีกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs อยู่หนาแน่น กับอิตาลีตอนกลางและตอนล่าง รวมทั้ง เกาะซิซิลี และ เกาะซาร์ดิเนีย ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรม บริเวณที่พัฒนาน้อยกว่านี้มีพื้นที่ประมาณ 40 % ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยพื้นที่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ถึงร้อยละ 35 ของประชากรทั้งประเทศ และมีอัตราการว่างงานสูงถึงกว่าร้อยละ 20 [ 57 ]
Eni หนึ่งในบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของโลก
Read more: Swansea City A.F.C.
Eni ซึ่งมีการดำเนินงานใน 79 ประเทศ เป็นหนึ่งในเจ็ดบริษัทน้ำมัน “ Supermajor ” หรือผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก [ 58 ] และเป็นหนึ่งในบริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก [ 59 ] พื้นที่ Val d’Agri, Basilicata เป็นแหล่ง ไฮโดรคาร์บอน บนบกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป อิตาลีมีปริมาณสำรอง ก๊าซธรรมชาติ ในระดับปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหุบเขา Po และ ทะเลเอเดรียติก นอกชายฝั่ง ถูกค้นพบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นทรัพยากรแร่ที่สำคัญที่สุดของประเทศ อิตาลีเป็นหนึ่งในผู้ผลิต หินภูเขาไฟ ปอซโซลานา และ เฟลด์สปาร์ ชั้นนำของโลก ทรัพยากร แร่ที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ หินอ่อน [ 60 ] โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินอ่อน Carrara สีขาวที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากเหมือง Massa และ Carrara ใน แคว้นตอสกานา อิตาลีจำเป็นต้องนำเข้าพลังงานจากชาติอื่นประมาณ 80 % [ 61 ] ในทศวรรษที่ผ่านมา อิตาลีได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิต พลังงานหมุนเวียน รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เป็นอันดับสองในสหภาพยุโรปและอันดับที่เก้าของโลก พลังงานลม ไฟฟ้าพลังน้ำ และ พลังงานความร้อนใต้พิภพ ก็เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าที่สำคัญในประเทศเช่นกัน แหล่งพลังงานหมุนเวียน คิดเป็น 27.5 % ของไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตในอิตาลี โดยพลังน้ำเพียงอย่างเดียวถึง 12.6 % ตามด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ 5.7 % ลมที่ 4.1 % พลังงานชีวภาพ ที่ 3.5 % และความร้อนใต้พิภพที่ 1.6 % ความต้องการส่วนที่เหลือของประเทศครอบคลุมโดย เชื้อเพลิงฟอสซิล ( ก๊าซธรรมชาติ 38.2 % ถ่านหิน 13 % น้ำมัน 8.4 % ) และการนำเข้า การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวคิดเป็นเกือบ 9 % ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศในปี 2014 ทำให้อิตาลีเป็นประเทศที่มีส่วนร่วมสูงสุดจากพลังงานแสงอาทิตย์ในโลก สถานีไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ Montalto di Castro เสร็จสมบูรณ์ในปี 2010 เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีด้วยกำลังไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ ตัวอย่างอื่นๆ ของโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในอิตาลี ได้แก่ San Bellino ( 70.6 MW ), Cellino san Marco ( 42.7 MW ) และ Sant ’ Alberto ( 34.6 MW ) อิตาลียังเป็นประเทศแรกที่ใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า [ 62 ]
อิตาลีเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก [ 63 ] โดยมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทั้งหมด 52.3 ล้านคนในปี 2016 การมีส่วนร่วมโดยรวมของการเดินทางและการท่องเที่ยวต่อ GDP ( รวมถึงผลกระทบในวงกว้างจากการลงทุน ห่วงโซ่อุปทาน และผลกระทบต่อรายได้ ) อยู่ที่ 162.7 พันล้านยูโรในปี 2014 ( 10.1 % ของ GDP ) และมีอัตราการจ้างงานเพิ่มถึง 1,082,000 ตำแหน่ง ในปี 2014 ( 4.8 % ของการจ้างงานทั้งหมด ) อิตาลีมีชื่อเสียงในด้านเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเป็นที่ตั้งของ แหล่งมรดกโลก ของ ยูเนสโก 58 แห่ง กรุงโรม เป็นเมืองที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในยุโรปและอันดับที่ 12 ของโลก โดยมีผู้มาเยือน 9.4 ล้านคนในปี 2017 ในขณะที่ มิลาน เป็นเมืองที่ 27 ของโลกที่มีนักท่องเที่ยว 6.8 ล้านคน [ 64 ] นอกจากนี้ เวนิส และ ฟลอเรนซ์ ยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยม 100 อันดับแรกของโลกอีกด้วย
ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อิตาลีเป็นประเทศที่มีทรัพยากรมากที่สุดและยังมีทรัพยากรจากแหล่งอาณานิคม ทรัพยากรของอิตาลีมี เหล็ก ทองแดง กำมะถัน พบมากใน ซาร์ดิเนีย ทางตอนใต้ของอิตาลีมี ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ จำนวนมาก อิตาลียังมี ถ่านหิน ดีบุก ส่วน เกาะซิซิลี ของอิตาลีมี ก๊าซธรรมชาติ มาก เกาะซาร์ดิเนีย มี บีต และโรงงานทำ น้ำตาล ซึ่งใหญ่ที่สุดใน ยุโรป [ 65 ] [ 66 ] ( น้ำตาลในยุโรปส่วนใหญ่มาจากอิตาลี ) อิตาลีปลูก กาแฟ มากที่สุดในยุโรป [ 67 ] [ 68 ] [ 69 ] [ 70 ] เป็นที่มาของ คาปูชิโน และ เอสเปรสโซ ทั้งสองมีต้นกำเนิดที่อิตาลี ทางตอนเหนือของอิตาลีนิยมปลูกองุ่นที่ใช้ทำ ไวน์ อิตาลีเป็นประเทศที่ค้าไวน์รายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
คมนาคม และ โทรคมนาคม [แก้ ]
ประเทศอิตาลีมีถนนความยาวทั้งหมด 487,700 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 13 ประเทศรอบอิตาลี มีสนามบินทั้งหมด 132 แห่ง โดยที่เป็นศูนย์กลางการบิน 2 แห่ง คือ สนามบินนานาชาติเลโอนาร์โด ดา วินชี ในกรุง โรม และ สนามบินนานาชาติมัลเปนซา ใน มิลาน มีสายการบินสู่ประเทศ 44 ประเทศ ( ค.ศ. 2008 ) มีทางรถไฟความยาวทั้งหมด 19,460 กิโลเมตร เชื่อมต่อ 16 ประเทศ [ 71 ] สายการบินที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลีคือ อาลีตาเลีย [ 72 ] ซึ่งให้บริการจุดหมายปลายทาง 97 แห่ง ( ข้อมูล ณ เดือนตุลาคม 2019 ) และยังดำเนินการสาขาย่อยในระดับภูมิภาคภายใต้แบรนด์ Alitalia CityLiner ประเทศยังมีสายการบินระดับภูมิภาค ( เช่น Air Dolomiti ) สายการบินต้นทุนต่ำ และผู้ให้บริการเช่าเหมาลำ ( รวมถึง Neos, Blue Panorama Airlines และ Poste Air Cargo ) ผู้ดำเนินการขนส่งสินค้ารายใหญ่ของอิตาลี ได้แก่ Alitalia Cargo และ Cargolux Italia อิตาลีเป็นประเทศอันดับ 5 ในยุโรปในแง่จำนวนผู้โดยสารโดยการขนส่งทางอากาศ [ 73 ] โดยมีผู้โดยสารประมาณ 148 ล้านคนหรือประมาณ 10 % ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดในยุโรปในปี 2011 อิตาลียังมีท่าเรือหลัก 43 แห่ง รวมทั้งท่าเรือเจนัว ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดและใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศใน ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อิตาลีเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของ เส้นทางสายไหม มาหลายศตวรรษ [ 74 ] [ 75 ] [ 76 ] โดยเฉพาะการก่อสร้าง คลองสุเอซ ทำให้การค้าทางทะเลกับแอฟริกาตะวันออกและเอเชียเข้มข้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา อิตาลีได้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์โลก ที่สร้างการค้นพบที่สำคัญมากมายในด้านฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลี เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ( 1452–1519 ) มีเกลันเจโล ( 1475–1564 ) และ เลออน บัสติสตา อัลแบร์ตี ( 1404–1472 ) มีส่วนสำคัญในสาขาวิชาต่างๆ รวมถึงชีววิทยา สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม กาลิเลโอ กาลิเลอี ( 1564-1642 ) นักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ และนักดาราศาสตร์ มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ความสำเร็จของเขารวมถึงการค้นพบและการทดลองของกล้องโทรทรรศน์และการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์มากมาย นักดาราศาสตร์คนอื่นๆ เช่น Giovanni Domenico Cassini ( 1625–1712 ) และ Giovanni Schiaparelli ( 1835–1910 ) ได้ค้นพบทฤษฎีสำคัญมากมายเกี่ยวกับระบบสุริยะ
ประชาชนที่อยู่ในประเทศอิตาลีเรียกว่า ชาวอิตาลี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัย โรมันโบราณ จำนวนประชากรของประเทศอิตาลีมีประมาณ 60 ล้านคน [ 56 ] โดยประมาณ 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุง โรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ใน มิลาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาคริสต์ นิกาย โรมันคาทอลิก มีภาษาทางการคือ ภาษาอิตาลี และบางพื้นที่ใน ประเทศเยอรมนี และ ฝรั่งเศส ก็พูดด้วย แต่จะเป็นภาษาซิซิลี และภาษาซาร์ดีเนีย ซึ่งคล้ายกับภาษาอิตาลีแต่ต่างกันที่สำเนียงเท่านั้น ประชากรส่วนใหญ่ในอิตาลีมีเชื้อชาติอิตาลีถึง 94.2 % ของประชากรทั้งประเทศ และอื่นๆอีก เช่น อัลบาเนีย ยูเครน โรมาเนีย 1.94 % แอฟริกัน 1.34 % เอเชีย 0.92 % อเมริกาใต้ 0.46 % และอื่นๆ 1.14 % [ 77 ] ประเทศอิตาลีมีสถานที่ที่เป็นแหล่ง มรดกโลก อยู่มากกว่าประเทศอื่นในโลก [ 78 ] ซึ่งมีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างมาก ประมาณ 60 % ของงาน จิตรกรรม ทั้งหมดในโลกสรรค์สร้างขึ้นในประเทศอิตาลี และประเทศนี้ยังผลิต ไวน์ ที่มากกว่าประเทศอื่นอีกด้วย
ศาสนาที่ผู้คนส่วนใหญ่ในอิตาลีนับถือคือ ศาสนาคริสต์ นิกาย โรมันคาทอลิก ชาวอิตาลีถึง 87.8 % เป็นโรมันคาทอลิกโดยพฤตินัย [ 79 ] แม้ว่ามีเพียงประมาณหนึ่งในสามที่มีเหตุผลในการเลือกนับถือศาสนาคริสต์ ( 36.8 % ) ส่วนนิกาย อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ มีผู้นับถือมากกว่า 700,000 คน ประกอบด้วย กรีกออร์ทอดอกซ์ 180,000 คน [ 80 ] และอีก 550,000 คนนับถือ เพนเทคอสตัล และ อิแวนจิลิคัล ( 0.8 % ) ส่วนสมาชิกของ อะเซมบลีส์ออฟกอด มีประมาณ 400,000 คน กลุ่ม พยานพระยะโฮวา 235,685 คน ( 0.4 % ) [ 81 ] นิกาย วัลเดนเชียน 30,000 คน [ 82 ] เซเวนธ์-เดย์แอดเวนทิสต์ มีประมาณ 22,000 คน นิกาย มอรมอน 22,000 คน แบปทิสต์ 15,000 คน ลูเทอแรน 7,000 คน และ เมทอดิสต์ 4,000 คน [ 83 ] ส่วนศาสนิกชนกลุ่มน้อยที่เก่าแก่ที่สุดคือ ศาสนายูดาห์ มีคนนับถือ 45,000 คน ประเทศอิตาลีมีกลุ่มศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ไม่ค่อยมากนัก เช่นการอพยพเข้ามาของประชากรจากส่วนอื่นๆ ของโลก เป็นผลทำให้อิตาลีมีชาว มุสลิม อาศัยอยู่ประมาณ 825,000 คน [ 84 ] ( 1.4 % ของประชากรทั้งประเทศ ) แต่เป็นพลเมืองอิตาลีเพียง 50,000 คน นอกจากนี้ อิตาลีมี ชาวพุทธ 50,000 คน [ 85 ] [ 86 ] โดยที่ศาสนาพุทธ รัฐบาลอิตาลี ได้รับรองสถานะของสมาคมชาวพุทธในอิตาลี เมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2543 และมีวัดไทยสำคัญคือ วัดสันตจิตตาราม อยู่ห่างจากกรุงโรม 52 กิโลเมตร [ 49 ] ซิกข์ 70,000 คน [ 87 ] และ ชาวฮินดู 70,000 คน
ภาษาราชการ ของอิตาลีคือ ภาษาอิตาลี ตามที่ระบุไว้ในกรอบกฎหมายฉบับที่ 482/1999 [ 88 ] และธรรมนูญพิเศษของ Trentino Alto-Adige ซึ่งนำมาใช้กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีผู้พูดภาษาอิตาลีเป็นภาษาแม่ประมาณ 64 ล้านคนทั่วโลก และอีก 21 ล้านคนที่ใช้ภาษานี้เป็นภาษาที่สอง ภาษาอิตาลีมักเป็นภาษาพูดโดยกำเนิดในภาษาต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อไม่ให้สับสนกับภาษาประจำภูมิภาคและภาษาชนกลุ่มน้อยของอิตาลี อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งระบบการศึกษาแห่งชาติทำให้ความแตกต่างของภาษาที่พูดกันทั่วประเทศลดลงในช่วงศตวรรษที่ 20 [ 89 ] สืบเนื่องจากปริมาณการอพยพ ทำให้อิตาลีมีประชากรจำนวนมากซึ่งภาษาแม่ไม่ใช่ภาษาอิตาลีหรือภาษาประจำภูมิภาค ตามข้อมูลของสถาบันสถิติแห่งชาติของอิตาลี โรมาเนียเป็นภาษาแม่ที่พบมากที่สุดในหมู่ชาวต่างชาติในอิตาลี : เกือบ 800,000 คนพูดภาษาโรมาเนียเป็นภาษาแรกของพวกเขา ( 21.9 % ของชาวต่างประเทศอายุ 6 ปีขึ้นไป ) ภาษาแม่อื่น ๆ ที่แพร่หลาย ได้แก่ ภาษาอาหรับ ( พูดโดย 475,000 คน, 13.1 % ของชาวต่างชาติ ), แอลเบเนีย ( 380,000 คน ) และสเปน ( 255,000 คน )
รัฐบาลอิตาลีดำเนินการระบบการรักษาพยาบาลสาธารณะที่เป็นสากลตั้งแต่ปี 1978 [ 90 ] อย่างไรก็ตาม ประชาชนและผู้อยู่อาศัยทุกคนมีการดูแลสุขภาพด้วยระบบสาธารณะและเอกชนแบบผสมผสาน ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและการบริหารงานในระดับภูมิภาค การใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพในอิตาลีคิดเป็น 9.2 % ของ GDP ของประเทศในปี 2012 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของประเทศ OECD ที่ 9.3 % [ 91 ] ประเทศอิตาลีในปี 2000 ได้รับการจัดอันดับให้มีระบบการรักษาพยาบาลที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก อายุขัยประชากรอิตาลีคือ 80 ปีในผู้ชายและ 85 ปีสำหรับผู้หญิง ติดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศที่มีอายุขัยมากที่สุด [ 92 ] และเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศตะวันตก อื่น ๆ อิตาลีมีอัตรา โรคอ้วน ในผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างต่ำ ( ต่ำกว่า 10 % ) [ 93 ] เนื่องจาการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะ อาหารเมดิเตอร์เรเนียน [ 94 ] แม้อาหารหลักบางรายการ เช่น พิซซา จะส่งผลเสียสุขภาพพอสมควร อย่างไรก็ตาม การสูบบุหรี่ ยังถือเป็นปัญหาสำคัญ สัดส่วนของผู้สูบบุหรี่รายวันอยู่ที่ 22 % ในปี 2012 ลดลงจาก 24.4 % ในปี 2000 แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD เล็กน้อย การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เช่น บาร์ ร้านอาหาร ไนท์คลับ และสำนักงาน ถูกจำกัดให้อยู่ในห้องที่มีการระบายอากาศเฉพาะมาตั้งแต่ปี 2005 [ 95 ] ในปี 2013 ยูเนสโกได้เพิ่มอาหารเมดิเตอร์เรเนียนลงในรายการตัวแทน มรดกโลกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของอิตาลี โมร็อกโก สเปน โปรตุเกส กรีซ ไซปรัส และ โครเอเชีย [ 96 ]
การศึกษา ในอิตาลี แบ่งเป็น ประถมศึกษา จนถึงระดับ มัธยมศึกษา ใช้เวลาเรียน 13 ปี ( ใช้ระบบ 5-3-5 ) และระดับ อุดมศึกษา ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากและมีความแตกต่างจากระบบการศึกษาในประเทศอื่น การศึกษาในระดับต้นในอิตาลีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนและเป็นภาคบังคับตั้งแต่อายุ 6-16 ปี [ 97 ] การศึกษาระดับประถมศึกษาใช้เวลา 8 ปี นักเรียนจะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานใน ภาษาอิตาลี อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมศึกษา พลศึกษา ทัศนศิลป์ และ ดนตรี การศึกษาระดับมัธยมศึกษามีระยะเวลา 5 ปี รวมถึงโรงเรียนสามประเภทที่เน้นระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน : liceo เตรียมนักเรียนสำหรับการศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วยหลักสูตรทั่วไปหรือวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ istituto tecnico และ Istituto professionale เตรียมนักเรียนสำหรับ อาชีวศึกษา ในปี 2018 [ 98 ] คะแนนการศึกษาของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาของอิตาลีได้รับการประเมินว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD อื่น ๆ เนื่องมาความเหลื่อมล้ำจากการที่คุณภาพทางการศึกษาของสถาบันทางตอนใต้ยังด้อยกว่าสถาบันทางภาคเหนือ ซึ่งยังเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลกำลังแก้ไข [ 99 ] การศึกษาระดับอุดมศึกษาในอิตาลีแบ่งออกเป็น มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยเอกชน และ บัณฑิตวิทยาลัย ชั้นนำที่มีชื่อเสียงและต้องสอบคัดเลือก เช่น Scuola Normale Superiore di Pisa มหาวิทยาลัยในอิตาลี 33 แห่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 500 อันดับแรกของโลกในปี 2019 ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสามในยุโรปรองจากสหราชอาณาจักรและเยอรมนี มหาวิทยาลัยโบโลญญา ( Bologna University ) ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1088 เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก [ 100 ] [ 101 ] [ 102 ] [ 103 ] และเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำในอิตาลีและยุโรป มหาวิทยาลัย Bocconi, Università Cattolica del Sacro Cuore, LUISS, Polytechnic University of Turin, Polytechnic University of Milan, Sapienza University of Rome และ University of Milan ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก [ 104 ]
อิตาลีถือเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของ อารยธรรมตะวันตก และเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรม ถูกแบ่งแยกตามการเมืองและภูมิศาสตร์เป็นเวลาหลายศตวรรษจนกระทั่งมีการรวมกันในปี 1961 วัฒนธรรมของอิตาลีได้รับการหล่อหลอมจากขนบธรรมเนียมประเพณีระดับภูมิภาคมากมายและศูนย์กลางอำนาจและการอุปถัมภ์ในท้องถิ่น อิตาลีมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมตะวันตกมานานหลายศตวรรษ และยังคงเป็นที่รู้จักในด้านประเพณีวัฒนธรรมและศิลปิน ในช่วงยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้มีการแข่งขันกันระหว่างสถาปนิก ศิลปิน และนักวิชาการที่เก่งที่สุด ก่อให้เกิดมรดกตกทอดที่ยิ่งใหญ่ของประเทศในด้าน อนุสรณ์สถาน ภาพเขียน ดนตรีและวรรณกรรม [ 105 ] อิตาลีมีคอลเลกชั่นศิลปะ วัฒนธรรม และวรรณคดีมากมายจากหลายยุคสมัย ประเทศนี้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมในวงกว้างทั่วโลก เนื่องจากชาวอิตาลีจำนวนมากอพยพไปยังที่อื่นในช่วงที่อิตาลีประสบปัญหาการเมืองในประเทศ นอกจากนี้ อิตาลียังมีอนุสรณ์สถานกว่า 100,000 แห่ง ( พิพิธภัณฑ์ พระราชวัง อาคาร รูปปั้น โบสถ์ หอศิลป์ วิลล่า น้ำพุ บ้านประวัติศาสตร์ และซากโบราณสถาน )
- 1 มกราคม วันขึ้นปีใหม่
- 6 มกราคม วัน Epiphany
- วันอาทิตย์และจันทร์ปลายเดิอนมีนา หรือต้นเดือนเมษายน วันGood Friday และEaster Monday
- 25 เมษายน วันฉลองอิสรภาพ (Liberation Day)
- 1 พฤษภาคม วันแรงงาน
- 2 มิถุนายน วันสถาปนาสาธารณรัฐ
- 15 สิงหาคม วันแฟร์รากอสโต้ หรือวันพระแม่มาเรียขึ้นสวรรค์ (Farragosto)
- 1 พฤศจิกายน วันนักบุญ
- 8 ธันวาคม วันพระแม่มารีพ้นมลทิน
- 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
- 26 ธันวาคม วันนักบุญเซนต์สตีเฟ่น
ปรัชญาและวรรณคดีอิตาลีมีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาตะวันตก [ 106 ] โดยเริ่มจากชาวกรีกและโรมัน และเข้าสู่ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทย า ยุคแห่งการตรัสรู้ และปรัชญาสมัยใหม่ ปรัชญาถูกนำไปยังอิตาลีโดย พีทาโกรัส ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปรัชญาแห่งอิตาลีในเมืองโครโตเน นักปรัชญาชาวอิตาลีที่สำคัญในยุคกรีก ได้แก่ Xenophanes, Parmenides, Zeno, Empedocles และ Gorgias นักปรัชญาชาวโรมัน ได้แก่ ซิเซโร ลูเครเชียส เซเนกาผู้น้อง Musonius Rufus พลูตาร์ค Epictetus มาร์คัส ออเรลิอุส
อิตาลีถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง [ 107 ] โดยสิ่งปลูกสร้างต่างๆมีประวัติความเป็นมายาวนานนับตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา หรือที่เรียกว่า ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยการ สถาปัตยกรรมในอิตาลียังสะท้อนถึงปรัชญา, ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่สอดแทรกเข้าไปในงานทุกชิ้น [ 108 ] โดยได้พัฒนาและทำให้แพร่หลายมากขึ้นโดยสถาปนิก ชาร์ลส์ แบร์รี ในปี 1830 ซึ่งส่วนมากจะใช้การตกแต่งแบบเรอเนซองส์ [ 109 ] อิตาลีมีสิ่งปลูกสร้างและผลงานทางสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงหลายแห่งเช่น: หอเอนเมืองปิซา (Torre pendente di Pisa): ตั้งอยู่ที่เมืองปิซาในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก [ 110 ] เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วย หินอ่อน สีขาวสูง 183.3 ฟุต ( 55.86 เมตร ) ซึ่งเป็นสถานที่ๆ กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้ทดลองทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ในช่วงที่เขาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลีพยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร, นักคณิตศาสตร์ และ นักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา [ 111 ] โคลอสเซียม (Colosseo): เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัย จักรพรรดิแว็สปาซิอานุส แห่งจักรวรรดิโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของ จักรพรรดิติตุส ใน คริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและ หินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica di San Pietro in Vaticano): มหาวิหารนี้เป็นหนึ่งในสี่มหาวิหารหลักในกรุงโรม ( อีก 3 แห่งคือ : มหาวิหารเซ็นต์จอห์นแลเตอร์รัน, มหาวิหารซานตามาเรียมัจโจเร และ มหาวิหารเซ็นต์พอล ) มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกัน โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม
กีร์กุสมักซิมุสในปี 2019 กีร์กุสมักซิมุส ( Circo Massimo) : สร้างในสมัยของ จูเลียส ซีซาร์ เป็นสนามกีฬากลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของจักรวรรดิโรมันเช่นเดียวกับโคลอสเซียม ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงโรมในปัจจุบัน ในอดีตเคยใช้เป็นสนามกีฬาสำหรับแข่งรถม้าโดยเฉพาะ แต่ภายหลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกโดยใช้เป็นสถานที่ต่อสู้ของ กลาดิเอเตอร์
อิตาลีเป็นดินแดนที่มีความก้าวหน้าและเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปะทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคเรอเนสซองส์ ( Renaissance ) และยุคบาโรก ( Baroque ) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 จนถึงศตวรรษที่ 18 มีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีดเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะของโลก เมืองสำคัญหลายเมืองในอิตาลีอย่างเช่น โรม ฟลอเรนซ์ และเวนิสเป็นแหล่งรวมของศิลปินชั้นนำที่ได้สร้างงานศิลปะชั้นยอดให้ผู้คนได้ชื่นชม ศิลปะที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของอิตาลีถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต งดงาม และสมจริง มีศิลปินชาวอิตาลีมากมายที่ได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี มีสุดยอดศิลปินเอกชาวอิตาลี เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี ( Leonardo da Vinci ) ไมเคิลแองเจโล ( Michelangelo ) ซานโดร บอตติเชลลี ( Sandro Botticelli )
ร้าน Prada ในเมืองมิลาน แฟชั่นอิตาลีมีประเพณีอันยาวนานและถือได้ว่ามีความสำคัญที่สุดในโลก มิลาน ฟลอเรนซ์ และโรมเป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่นหลักของอิตาลี ในปี 2009 มิลานได้รับการประกาศให้เป็น “ เมืองหลวงแห่งแฟชั่นของโลก ” โดย Global Language Monitor เอง แบรนด์แฟชั่นชั้นนำของอิตาลี เช่น Gucci, Armani, Prada, Versace, Valentino, Dolce & Gabbana, Missoni, Fendi, Moschino, Max Mara, Trussardi และ Ferragamo เป็นต้น ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่ดีที่สุดในโลก อัญมณีเช่น Bvlgari, Damiani และ Buccellati ก่อตั้งขึ้นในอิตาลี นอกจากนี้ นิตยสารแฟชั่น Vogue Italia ถือเป็นหนึ่งในนิตยสารแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก [ 112 ]
อาหารอิตาเลียน ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งอาหารอิตาเลียนได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีต [ 113 ] เนื่องจากในอดีตทวีปยุโรปค่อนข้างมีความเจริญ เป็นแหล่งรวมของวัตถุดิบอันหลากหลายและ เชฟ ผู้มีฝีมือมากมาย [ 114 ] ดังนั้นอาหารของชาวยุโรปจึงมีความหลากหลายตามไปด้วยโดยเฉพาะประเทศอิตาลี คนอิตาลีมีวัฒนธรรมในการชอบทำอาหารและปลูกฝังกันมาจากรุ่นสู่รุ่น วัตถุดิบส่วนใหญ่ของอาหารอิตาเลียน ได้แก่ น้ำมันมะกอก, แฮม, ไส้กรอก, ซาลามี่, พาสตา, ปลา, มันฝรั่ง, ข้าว, ข้าวโพด และ ชีส เป็นต้น [ 115 ] [ 116 ] อาหารอิตาเลียนจะแบ่งออกได้ 4 ประเภทหลักดังนี้ :
พาสตา หนึ่งในอาหารที่เป็นที่นิยมที่สุดในประเทศอิตาลี 1. ของทานเล่นยามว่าง โดยมากจะเป็นแป้งอบที่ทาด้วยซอสอาจมีเห็ดหรือผักต่างๆ และชีสผสมอยู่ด้วยซึ่งเมนูที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีก็คือ พิซซา 2. Antipasto หรืออาหารเรียกน้ำย่อย ซึ่งแต่ละภูมิภาคของประเทศอิตาลีก็จะมีอาหารเรียกน้ำย่อยที่แตกต่างกันออกไป เช่น หากอยู่ในแถบที่ติดทะเลอาหารเรียกน้ำย่อยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่อาหารทะเลสด บางที่นิยมทานไส้กรอก แฮม กับผักสด บางครั้งก็ทานพาสตา เป็นต้น 3. อาหารจานหลัก โดยจะเน้น เนื้อสัตว์ ได้แก่ เนื้อวัว, เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ รวมทั้ง อาหารทะเล เช่น ปลาทะเลตัวใหญ่ เป็นต้น มักจะนิยมทานคู่กับมันฝรั่งและผักต่างๆ หรืออาจมีเครื่องเคียงอื่นๆ เช่น เฟรนช์ฟรายส์
4. ของหวาน คนอิตาลีนิยมทานของหวานหลังมื้ออาหารเสมอ โดยของหวานมักจะเป็น ไอศกรีม ผลไม้ และ ปันนาค็อตตา
กีฬาประเภททีมที่ได้รับความนิยมในอิตาลี ได้แก่ ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และรักบี้ ทีมวอลเลย์บอลชายและหญิงทีมชาติอิตาลีมักถูกยกย่องเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก ผลงานที่ดีที่สุดของทีมบาสเกตบอลอิตาลีคือเหรียญทองในการแข่งขัน Eurobasket 1983 และ 1999 รวมถึงเหรียญเงินใน โอลิมปิก 2004 Lega Basket Serie A ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในลีกที่มีการแข่งขันสูงที่สุด [ 117 ] [ 118 ] รักบี้ได้รับความนิยมในระดับที่ดี โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ อิตาลีเข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลกเป็นประจำ และได้รับการจัดอันดับอยู่ในอันดับที่ 1 โดยสมาคมรักบี้โลก ทีมวอลเลย์บอลชายอิตาลีคว้าแชมป์โลกได้ 3 สมัยในปี 1990, 1994 และ 1998 และได้รับเหรียญเงินโอลิมปิก 3 สมัย การแข่งจักรยานได้รับความนิยมเช่นกัน อิตาลีได้รับรางวัล UCI World Championships มากกว่าประเทศอื่น ๆ การแข่งขัน Giro d’Italia จัดขึ้นทุกเดือนพฤษภาคม และเป็นหนึ่งในสาม Grand Tours ร่วมกับ Tour de France ( ฝรั่งเศส ) และ Vuelta a España ( สเปน ) การเล่นสกีแบบอัลไพน์ยังเป็นกีฬาที่แพร่หลายมากในอิตาลี และประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการเล่นสกีนานาชาติซึ่งเป็นที่รู้จักจากสกีรีสอร์ท [ 119 ] นักเล่นสกีชาวอิตาลีประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และการแข่งขันชิงแชมป์โลก ประเทศอิตาลีประสบความสำเร็จสูงใน กีฬาโอลิมปิก [ 120 ] [ 121 ] โดยมีส่วนร่วมจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 47 ครั้งจากทั้งหมด 48 ครั้ง นักกีฬาอิตาลีได้รับเหรียญรางวัลรวม 522 เหรียญใน โอลิมปิกฤดูร้อน [ 122 ] และอีก 106 เหรียญใน โอลิมปิกฤดูหนาว ทำให้พวกเขาเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์โอลิมปิกในแง่จำนวนเหรียญรางวัล [ 123 ] อิตาลีเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสองครั้งและกำลังจะเป็นเจ้าภาพครั้งที่สาม ( ในปี 1956, 2006 และ 2026 ) และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนหนึ่งครั้ง ( ปี 1960 )
ฟุตบอลทีมชาติอิตาลีในการแข่งขันยูโร 2012 ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ [ 124 ] [ 125 ] อิตาลีเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความเร็จสูงในการแข่งขันระดับโลก โดยชนะเลิศฟุตบอลโลก 4 สมัย มากที่สุดเป็นอันดับสองเท่ากับ เยอรมนี และเป็นรองเพียง บราซิล และชนะเลิศ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ( ยูโร ) 2 สมัย มีลีกการแข่งขันที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ เซเรียอา มีสโมสรที่ประความสำเร็จมากที่สุดคือ ยูเวนตุส และมีทีมชั้นนำมากมาย เช่น เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, โรมา, นาโปลี, ลาซีโอ และ ฟีออเรนตินา และอิตาลียังเป็นต้นกำเนิดของนักฟุตบอลระดับโลกมากมาย
Read more: Paris Saint-Germain F.C.
- รัฐบาล
- เศรษฐกิจ
- ข้อมูลทั่วไป