ก่อนที่จะเริ่มท่องเที่ยวประเทศโครเอเชีย เรามาทำความรู้จักกับประเทศแห่งนี้กันก่อน ประเทศ โครเอเชีย Croatia เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ( European Union : EU ) แต่ยังไม่ใช่สมาชิกเชงเก้น ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวชาวไทยต้องการเดินทางไปเที่ยว ต้องขอวีซ่าโครเอเชีย ( หากใครมีวีซ่าเชงเก้นแบบมัลติเพิลที่ยังไม่หมดอายุ สามารถใช้เข้าประเทศโครเอเชียได้ทันที )
ประเทศโครเอเชียเป็นใคร ??
ประเทศ โครเอเชีย Croatia หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ สาธารณรัฐโครเอเชีย ” ในอดีตคือชนเผ่าชาวสลาฟที่อพยพมาจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 16-20 พื้นที่บางส่วนถูกปกครองโดยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, จักรวรรดิออสเตรีย, จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ดินแดนแห่งนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ทำให้ในช่วง 100 ปี ที่ผ่านมา บางพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองถึง 6 ครั้ง ครั้งสำคัญก็คือช่วง ปี ค.ศ. 1917 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการรวมตัวกันของชาวเซิร์บ, โครแอท, สโลวีน ก่อตั้งเป็น “ ราชอาณาจักร เซิร์บ โครแอต แอนด์ สโลวีน ” จากนั้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงไม่นานก็เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “ ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย ” ซึ่งมีความหมายว่า ราชอาณาจักรของชาวสลาฟใต้ ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เปลี่ยนเป็น “ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ” ก่อนที่จะเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนแล้วแยกออกมาเป็น “ ประเทศโครเอเชีย ” ในปี ค.ศ. 1991 มีกรุงซาเกรบเป็นเมืองหลวงของประเทศ รูปร่างลักษณะในแผนที่โลกหลายแห่งบอกเหมือนรูปเสี้ยววงเดือน ( แต่ผมดูไม่ออกว่าเหมือนอย่างไร ฮ่าๆ ) ที่ตั้งตามภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ที่ภูมิภาคยุโรปใต้, ตอนบนด้านซ้ายของคาบสมุทรบอลข่านหรือตั้งอยู่ตรงข้ามประเทศอิตาลีซึ่งมีทะเลอาเดรียติกคั่นกลาง พรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านตามรูปภาพประกอบเรียงลำดับจากตอนบน ทิศเหนือติดกับประเทศสโลวีเนีย, ฮังการี ทิศตะวันออกติดกับประเทศเซอร์เบีย, บอสเนียแอนด์เฮอเซโกวีนา ทิศใต้ติดกับประเทศมอนเตเนโกร และเขตแดนทั้งหมดทางด้านตะวันตกของประเทศเป็นชายฝั่งติดทะเลอาเดรียติกซึ่งมีความสวยงามแตกต่างกันไปตั้งแต่บนสุดไปจนล่างสุด จนได้รับการยกย่องให้เป็นไข่มุกแห่งทะเลอาเดรียติก ซึ่งชายฝั่งทะเลอาเดรียติกประกอบด้วยเกาะแก่งจำนวนมากถึง 1,185 เกาะ โดยเกาะที่มีประชากรอาศัยอยู่มีจำนวนแค่ 47 เกาะ เท่านั้น
จากข้อมูลการสำรวจประชากรล่าสุดในปี ค.ศ.2017 ประเทศโครเอเชียมีประชากรประมาณสี่ล้านหนึ่งแสนคน โดย 90 % เป็นชาวโครแอตและส่วนที่เหลือเป็นชาวเซิร์บและเชื้อชาติอื่น ๆ โดยชาวโครเอเชียส่วนมากนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกและยังมีนับถือนิกายออโธดอกซ์และศาสนาอิสลามอีกเล็กน้อย ส่วนสภาพอากาศจะแบ่งสภาพอากาศเป็นสองลักษณะตามลักษณะที่ตั้งภูมิประเทศ คือ เขตตอนบนและด้านตะวันออกของประเทศโครเอเชียมีลักษณะภูมิประเทศแบบที่ราบสูงจะมีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น ( Continental Climate ) ส่วนด้านตะวันตกจนถึงสุดเขตทางด้านล่างของประเทศเป็นชายฝั่งที่ติดกับทะเลอาเดรียติกทั้งหมดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีลักษณะภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ( Mediterranean Climate )
Reading: รู้จักประเทศ โครเอเชีย ภายใน 5 นาที
“ Hrvatska ” ( เฮอร์วาส-คา ) เป็นภาษาโครแอตที่ชาวโครแอตเรียกแทนตนเองรวมไปถึงใช้เรียกแทนชื่อประเทศโครเอเชียด้วย โดยในการกรอกข้อมูลในอินเตอร์เนทบางเวบไซท์ หากมีช่องให้เลื่อนเลือกชื่อประเทศ อาจจะไม่มีชื่อประเทศ Croatia ให้เลือก โดยจะมี “ Hrvatska ” ให้เลือกแทน ดังนั้นจึงเป็นที่มาของ “ .hr ” ซึ่งใช้เป็นโดเมนเนมของประเทศโครเอเชีย และตัวอักษร “ HR ” เป็นตัวย่อของชื่อประเทศ
แม้ว่าปัจจุบันประเทศโครเอเชียจะเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่ก็ยังคงใช้สกุลเงินท้องถิ่นของตัวเอง คือ “ คูน่า ” ( Kuna ) โดยคูน่า เป็นภาษาโครแอตหมายถึง “ มาร์-เทน ” ( Marten ) เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างคล้าย ๆ แรคคูน พบได้ทั่วไปในทวีปยุโรป โดยในสมัยอดีต ช่วงยุคกลาง ( Middle Ages ) ของยุโรป การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวโครแอตนั้น จะใช้ขนของคูน่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายเสมือนเงินในปัจจุบัน ขนของคูน่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และยังถือว่า “ คูน่า ” เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศโครเอเชียอีกด้วย ส่วนหน่วยเงินรองจากคูน่านั้น คือ “ ลิป้า ” ( Lipa ) โดย 1 คูน่า = 100 ลิป้า คำว่าลิป้านั้นมีที่มาคือเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งซึ่งจะเห็นอยู่ในเหรียญลิป้า ลักษณะของดอกและต้นลิป้านั้น คล้าย ๆ ต้นมะนาว ( Lime Trees ) แต่ดอกไม้ประจำชาติโครเอเชียนั้นไม่ใช่ดอกลิป้า แต่เป็นดอก “ Iris croatica “ ซึ่งจะมีสีม่วงเข้มสวยสดงดงาม แต่ก็มีดอกสีเหลืองหรือสีขาวบ้างในบางพื้นที่
วัฒนธรรมการดื่มการกิน
อาหารโครเอเชียนเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ มีการหล่อหลอมรวมจุดเด่นของวัฒนธรรมการกินจากหลากหลายอารยธรรมมารวมกัน ไม่ว่าจะอารยธรรมกรีก, โรมันในสมัยเก่า รวมไปถึงสไตล์อิตาเลียนและฝรั่งเศส และที่โดดเด่นอีกประการ คือการที่เป็นประเทศทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขนานแท้ จึงทำให้อุดมไปด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศจากท้องทะเลในการนำมาประกอบอาหาร และมีการใช้ “ น้ำมันมะกอก ” ( Olive Oil ) มรดกล้ำค่าแห่งอารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียนผสมผสานกับสมุนไพรต่าง ๆ เช่น โรสแมรี่ ( Rosemary ), เซจ ( Sage ), นัทเมก ( Nutmeg ), ออริกาโน่ ( Oregano ) เข้ามาปรุงแต่งอาหาร ทำให้ได้อาหารโครเอเชียนสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนจานเด็ดขึ้นชื่อเป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลิ้มลอง
โครเอเชียยังมีวัตถุดิบประเภทเครื่องปรุงที่ใช้ประกอบอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการนำมาปรุงอาหารอิตาเลียนและอาหารฝรั่งเศสในภัตตาคารชั้นเลิศทั่วโลก วัตถุดิบชนิดนี้ได้รับฉายาว่าเป็น “ เพชรแห่งห้องครัว ” ( Diamond of the kitchen ) นั่นก็คือ “ เห็ดทรัฟเฟิล ” ( Truffle ) เป็นเห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยเห็ดทรัฟเฟิลนั้น มี 2 ชนิด คือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว และ เห็ดทรัฟเฟิลดำ แม้ว่าความจริงแล้วเห็ดทรัฟเฟิลขาวจะมีกลิ่นและรสชาติที่จัดกว่า แต่ในการบริโภคทั่วไปจะนิยมเห็ดทรัฟเฟิลดำเพราะเรื่องของราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก วิธีการนำไปประกอบอาหารที่นิยมเช่น ฝานเป็นชิ้นบาง ๆ แทรกไว้ในสเต็ก, ซอสทรัฟเฟิลเคียงอาหารย่าง, หมักกับตับห่าน หรือโรยบนพาสต้า เป็นต้น
เห็ดทรัฟเฟิลส่วนมากจะพบในแคว้นอิสเตรีย ( Istria ) ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ภาคตะวันตกของประเทศโครเอเชีย โดยเห็ดทรัฟเฟิลจะซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นโอ๊ก ต้นบีช ในการค้นหาจึงใช้หมาช่วยดมกลิ่นค้นหา มีความนิยมในการใช้ “ หมู ” ในการค้นหาเห็ดทรัฟเฟิลเช่นกัน และที่แคว้นอิสเตรีย ในปี ค.ศ.1999 Mr.Giancarlo Zigante และ “ Diana ” สุนัขผู้ช่วยของเขา ได้ค้นพบเห็ดทรัฟเฟิลขนาดใหญ่ หนักประมาณ 3 ปอนด์ ( ประมาณ 1.31 กิโลกรัม ) จนมีการบันทึกลงกินเนสบุ๊คว่าเป็นเห็ดทรัฟเฟิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในปี ค.ศ. 2014 ได้เสียตำแหน่งนี้ให้แก่ประเทศอิตาลีไป มีการค้นพบเห็ดทรัฟเฟิลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นสถิติใหม่ที่มีน้ำหนักถึง 4.1 ปอนด์
สถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ
ด้วยพื้นที่ขนาด 56,594 km2 โครเอเชียจึงเป็นประเทศที่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก อยู่ในอันดับที่ 127 ของโลก ( ประเทศไทย 513,120 km2 อันดับที่ 50 ) แต่ร่ำรวยไปด้วยประวัติศาสตร์ อารยธรรม และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เหตุนี้เองทำให้อุตสาหกรรมหลักของประเทศเป็นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยอุตสาหกรรมประมง องค์การยูเนสโกได้ทำการรับรองให้ประเทศโครเอเชียมีมรดกโลกรวมทั้งสิ้นถึง 10 แห่งด้วยกัน ( ประเทศไทย 5 แห่ง ) โดยมี 8 แห่งได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ได้แก่
1.โบสถ์ยูฟาเซียน ศูนย์ประวัติศาสตร์เมืองโพเรค
2. เกาะโทรเกียร์
3. พระราชวังดิโอคลีเชียน เมืองสปลิท
4. เมืองเก่าดูบรอฟนิค
5. พื้นที่เกษตรกรรมอารยธรรมกรีกโบราณ บนเกาะบราค
6. มหาวิหารเซนต์เจมส์ เมืองชิบินิค
7. สุสานหินโบราณ บริเวณแนวเทือกเขาตอนใต้ประเทศ ( ร่วมกับบอสเนียฯ, เซอร์เบีย, มอนเตเนโกร )
Read more: Swansea City A.F.C.
8. แนวกำแพงระบบป้องกันแบบเวเนเชี่ยน ณ เมืองซาดาร์และชิบินิค ( ร่วมกับอิตาลี, มอนเตเนโกร )
และอีก 2 แห่งที่ได้รับรองเป็นมรดกโลกทางด้านธรรมชาติ คือ
1. อุทยานแห่งชาติพลิทวิตเซ่ เมืองคาโลวัค
2. ป่าบีชโบราณ บริเวณอุทยานแห่งชาติพาเคลนนิก้า ( ร่วมกับอีก 11 ประเทศในยุโรป )
โดยอุทยานแห่งชาติพลิทวิเซ่ถือว่าเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่เก่าแก่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป มีการยกย่องว่าทะเลสาบในอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่เป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก และถ้าหากใครติดตามข่าวสารวงการท่องเที่ยว เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในประเทศไทยมีความเข้าใจผิดเนื่องจากมีการส่งรูปภาพอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่โดยการส่งต่ออีเมลล์ซึ่งกล่าวถึงน้ำตกเหลาเหลียง จ.ตรังประกอบกับไฟล์ภาพน้ำตกอย่างสวยงาม ความจริงแล้วเป็นการนำภาพของอุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่มาประกอบอ้างอิง แต่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวไทยได้เดินทางไปท่องเทียวประเทศโครเอเชียเพิ่มมากขึ้น มีการบันทึกภาพและแบ่งปันข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อต่าง ๆ ทำให้อุทยานแห่งชาติพลิตวิเซ่เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย
นอกจากมรดกโลกยูเนสโกทั้ง 10 แห่งแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่ในขั้นตอนรอการประกาศรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีก 16 แห่ง ซึ่งหากเทียบกับขนาดพื้นที่ของประเทศแล้ว ถือว่ามีปริมาณเป็นจำนวนมาก และประเทศโครเอเชียยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกนิยมเดินทางไปเยี่ยมเยียน
เช่น พูล่าอารีน่า ( Pula Arena ) โรมันแอมฟิเธียเตอร์ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก, เมืองวูโควาร์บริเวณแม่น้ำดานูบภาคตะวันออกของโครเอเชีย, ซีออร์แกน ( Sea Organ ) ณ เมืองซาดาร์, เมืองโรวินจน์ – เมืองโอพาเทีย – เมืองริเยก้า ( Rovinj – Opatija – Rijeka ) เมืองรีสอร์ทระดับโลกริมทะเลอาเดรียติกบนแคว้นอีสเตรีย, เกาะบราค – เกาะคอร์ชูลา – เกาะฮาวาร์ ( Brac – Korcula – Hvar ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาะฮาวาร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ island of lavender ” เมื่อถึงช่วงซัมเมอร์ของโครเอเชีย จะมีดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่งเป็นจำนวนมาก
ไม่เพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น โครเอเชียยังคงมีเรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอีกมากมาย อย่างเช่น มหาวิหารเซนต์ดอมินุส ณ พระราชวังดิโอเคลเชี่ยน เมืองสปลิท ถือว่าเป็นมหาวิหารของชาวคริสต์โรมันคาทอลิก ที่ตัวอาคารเก่าโครงสร้างดั้งเดิมยังคงใช้งานอยู่เก่าแก่ที่สุดในโลก ( เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 295 )
โฆษณาเครื่องดื่มไฮเนเก้น ที่ใช้เมืองสวยงามอย่างโรวินจน์, โอพาเทีย เป็นฉากถ่ายทำ
และสำหรับเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวที่สุดของประเทศโครเอเชีย คงต้องยกให้เมือง “ ดูบรอฟนิค ” ( Dubrovnik ) มีภาพยนต์ระดับโลกหลายเรื่องที่มาใช้เมืองนี้เป็นฉากถ่ายทำภาพยนต์ เช่น “ Game of Thrones ” ใช้เป็นฉากเมืองหลวงแห่ง 7 อาณาจักร “ King ’ s Landing ”, Star Wars ( The last Jedi ), Robin Hood ( 2017 ), James Bond 007 ( 2018 ) มีแผนมาถ่ายทำเช่นเดียวกันแต่สุดท้ายยกเลิกไป
สุดท้ายนี้ ผมขอฝากข้อความจากกวีรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมชาวไอริช ของคุณ จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ ( Mr.George Bernard Shaw ) ที่กล่าวไว้ว่า “ Those who seek eden on Earth should come to Dubrovnik and find it ”
ประโยคนี้จะแปลความหมายสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อท่านเดินทางมาเยี่ยมเยือน มาสัมผัสเมืองดูบรอฟนิคด้วยตัวเองเท่านั้น หากมีโอกาสก็เชิญทุกท่านเดินทางท่องเที่ยวประเทศโครเอเชียแห่งนี้ และถ้าหากท่านอยากรู้จักกับประเทศโครเอเชียให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น สามารถเยี่ยมชมบทความ เที่ยวสนุกแน่แค่รู้ก่อนเดินทางกับ 5 เรื่องที่มีต้นกำเนิดจากโครเอเชีย ได้ รับรองว่าสนุกเพลิดเพลินไม่แพ้กันครับ
ขอขอบพระคุณสำหรับการเยี่ยมชม
Jobby .