ออลเทอร์นาทิฟร็อก ( อังกฤษ : alternative rock ในบางครั้งอาจเรียกว่า ดนตรีออลเทอร์นาทิฟ ( option music ), ออลต์-ร็อก ( alt-rock ) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ออลเทอร์นาทิฟ ) เป็นแนวเพลงร็อกที่เกิดขึ้นจาก เพลงใต้ดิน อิสระในคริสต์ทศวรรษ 1980 และเริ่มได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในคริสต์ทศวรรษ 1990 ทั้งนี้ คำว่า “ ออลเทอร์นาทิฟ ” นั้นหมายถึง ความแตกต่างด้านแนวเพลงจากดนตรีร็อกกระแสหลัก ความหมายของคำนี้แต่เดิมกว้างกว่านี้ คือหมายถึงยุคของนักดนตรี ไปจนถึงแนวเพลงหรืออาจเป็นแค่ทำงานอิสระ กลุ่มคนที่ทำงานแบบ ดีไอวาย ในแนวพังก์ร็อก ซึ่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 นี้เองได้ปูพื้นฐานให้กับดนตรีออลเทอร์นาทิฟ [ 5 ] ในช่วงเวลานี้เอง “ ออลเทอร์นาทิฟ ” ล้วนอธิบายว่าหมายถึงดนตรีจากศิลปินร็อกใต้ดินที่ได้เป็นที่รู้จักในกระแสหลัก หรือดนตรีประเภทไหนก็ตาม ไม่ว่าจะใช่ร็อกหรือไม่ ที่สืบทอดมาจากดนตรีพังก์ร็อก ( ตัวอย่างเช่น พังก์ นิวเวฟ และ โพสต์พังก์ ) ออลเทอร์นาทิฟร็อก มีความหมายครอบคลุมถึงดนตรีที่แตกต่าง ในแง่ของซาวด์เพลง บริบททางสังคม และรากเหง้าท้องถิ่น เมื่อสิ้นสุดคริสต์ทศวรรษ 1980 นิตยสารและ ซีน ( Zine ), สถานีวิทยุในวิทยาลัย และการพูดแบบปากต่อปากนี้เองที่ทำให้แนวนี้โดดเด่นขึ้นมาและถือเป็นจุดเด่นความหลากหลายของออลเทอร์นาทิฟร็อก ยังช่วยให้กำหนดนิยามแนวเพลงที่แตกต่างให้ชัดเจน ( กระแสดนตรี ) เช่น นอยส์ป็อป, อินดีร็อก, กรันจ์ และ ชูเกซ แนวเพลงย่อยจำพวกนี้ส่วนใหญ๋แล้วจะประสบความสำเร็จในกระแสหลักได้เพียงเล็กน้อยและมีไม่กี่วง อย่าง ฮุสเกอร์ดุ และ อาร์.อี.เอ็ม. ที่ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ แต่วงออลเทอร์นาทิฟส่วนใหญ่แล้วจะประสบความสำเร็จด้านยอดขายที่ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับแนวร็อกอื่น ๆ และดนตรีป็อปในช่วงนั้น วงส่วนใหญ่จะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอิสระและได้รับความสนใจจากวิทยุที่เปิดเพลงกระแสหลัก โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ เพียงเล็กน้อย และจากการแจ้งเกิดของวง เนอร์วานา และความนิยมในกระแสเพลงกรันจ์และบริตป็อปในคริสต์ทศวรรษ 1990 ออลเทอร์นาทิฟร็อกก็สามารถก้าวสู่ดนตรีกระแสหลัก มีวงออลเทอร์นาทิฟหลายวงประสบความสำเร็จ
ก่อนที่ชื่อ ออลเทอร์นาทิฟร็อก จะใช้กันอย่างกว้างขวางราวปี 1990 จำพวกของเพลงที่ถูกอ้างถึงมีความหมายที่หลากหลายกันไป [ 6 ] ปี 1979 เทอร์รี ทอลคิน ใช้คำว่า ดนตรีออลเทอร์นาทิฟ ( Alternative Music ) เพื่อบรรยายถึงวงที่เขากำลังเขียนถึงอยู่ [ 7 ] ปี 1979 สถานีวิทยุจากดัลลาสคลื่น เคเซดอีดับเบิลยู ( KZEW ) มีรายการคลื่นลูกใหม่ช่วงดึกที่ชื่อ “ ร็อกแอนด์โรลล์ออลเทอร์นาทิฟ ” ( Rock and Roll Alternative ) [ 8 ] ส่วนคำว่า “ คอลเลจร็อก “ ใช้ในสหรัฐเพื่ออธิบายหมายถึงดนตรีในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 เพื่อเชื่อมโยงกับขอบเขตสถานีมหาวิทยาลัยและรสนิยมของนักเรียนระดับมหาวิทยาลัย [ 9 ] ในสหราชอาณาจักรค่ายเพลงประเภทดีไอวายมากมายเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากวัฒนธรรมย่อยพังก์ จากข้อมูลของหนึ่งในผู้ก่อตั้งค่ายเชอร์รีเรด กล่าวว่านิตยสาร เอ็นเอ็มอี และนิตยสาร ซาวส์ ได้เผยแพร่ชาร์ตเพลงจากข้อมูลของร้านขายแผ่นเล็ก ๆ เรียกชาร์ตนี้ว่า “ ออลเทอร์นาทิฟชาตส์ ” ( Alternative Charts ) ส่วนชาร์ตระดับชาติชาร์ตแรกที่ดูจากยอดขายเรียกว่า อินดี้ชาร์ต ( Indie Chart ) ตีพิมพ์ในเดือนมกราคม 1982 ชาร์ตประสบความสำเร็จทันทีจากการช่วยเหลือของค่ายเพลงเหล่านี้ ณ ตอนนั้นคำว่าอินดี้ใช้เพื่ออธิบายถึงค่ายอิสระ [ 10 ] ในปี 1985 อินดี้มีความหมายเจาะจงไปทางแนวเพลง หรือกลุ่มแนวเพลงย่อย มากกว่าแค่สถานะการเผยแพร่เพลง [ 9 ]

การใช้คำว่า ออลเทอร์นาทิฟ เพื่ออธิบายถึงเพลงร็อกเกิดขึ้นราวกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 [ 11 ] ขณะนั้นเป็นคำทั่วไปที่อธิบายถึงเพลงล้ำสมัย เป็น เพลงแบบใหม่ และ ดนตรีโพสต์โมเดิร์น ที่เป็นการบ่งบอกถึงความสดใหม่ และพิเศษ ตามลำดับ เพื่อบ่งซาวด์ให้ต่างจากเพลงในอดีต [ 5 ] [ 12 ] คนที่ทำงานด้านดีเจและโปรโมเตอร์ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 อ้างว่าที่มาของคำนี้เกิดขึ้นจากสถานีวิทยุเอฟเอ็มอเมริกันในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 ที่เปิดเพลงรูปแบบทางเลือกใหม่ก้าวหน้าไปจนถึงเพลงรูปแบบท็อป 40 โดยเปิดเพลงยาวขึ้นและให้อิสระแก่ดีเจในการเลือกเพลงมากกว่า จากข้อมูลของหนึ่งในดีเจและโปรโมเตอร์ “ บางครั้งคำว่า ‘ออลเทอร์นาทิฟ ‘ ถือเป็นการค้นพบใหม่ และยืมมาจากบุคลากรสถานีวิทยุมหาวิทยาลัยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ที่พวกเขาประยุกต์มาใช้กับเพลงโพสต์พังก์ใหม่, อินดี้ และเพลงใต้ดินอะไรก็ตาม ” [ 13 ] ในช่วงแรกคำนี้ตั้งใจให้หมายถึง เพลงร็อกนอกกระแส ที่ไม่ได้รับอิทธิพลจาก “ เพลงเฮฟวีเมทัลบัลลาด, เพลงนิวเวฟบาง ๆ ” และ “ เพลงชาติเต้นรำอันทรงพลัง ” [ 14 ] การใช้คำนี้ก็กว้างมากขึ้นให้รวมถึงเพลง นิวเวฟ, ป็อป, พังก์ร็อก, โพสต์พังก์ และในบางครั้งหมายถึงเพลง คอลเลจ / อินดี้ ร็อก ที่พบเห็นได้ในสถานีวิทยุ “ ออลเทอร์นาทิฟเพื่อการค้า ” ในยุคนั้นอย่างเช่น เคอาร์โอคิว-เอฟเอ็ม ( KROQ-FM ) ในลอสแอนเจลิส นักข่าว จิม เกอร์ ( Jim Gerr ) เขียนไว้ว่า ออลเทอร์นาทิฟได้รวบความหลากหลายอย่างเช่น “ แร็ป, แทรช, เมทัล และอินดัสเทรียล ” ไว้ด้วยกัน [ 15 ] ในเดือนธันวาคม 1991 นิตยสาร สปิน เขียนว่า “ ปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เป็นที่โด่งดังแจ่มแจ้งว่า อะไรก่อนหน้าถือว่าเป็น ออลเทอร์นาทิฟร็อก ที่เป็นกลุ่มศูนย์กลางการตลาดของเด็กมหาวิทยาลัย ที่ทำกำไรพอควร หากจะตั้งขอบเขตแนวโน้มแล้ว ในความเป็นจริงคือได้ก้าวสู่กระแสหลักเรียบร้อยแล้ว ” [ 15 ] รายการครั้งแรกของ ลอลลาพาลูซา เทศกาลของนักท่องเที่ยวในอเมริกาเหนือ ให้นึกถึงหัวหน้าวง เจนส์แอดดิกชัน เพอร์รี ฟาร์เรลล์ ที่กลับมารวมตัวกันใหม่ “ โดยมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของชุมชนออลเทอร์นาทิฟร็อก ” ร่วมด้วย เฮนรี โรลลินส์, บัตต์โฮลเซิฟเฟอส์, ไอซ์-ที, ไนน์อินช์เนลส์, ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์ และเจนส์แอดดิกชัน [ 15 ] ปีเดียวกันฟาร์เรลล์เป็นคนต้นคิดคำว่า ออลเทอร์นาทิฟเนชัน ( Alternative Nation ) [ 16 ] ปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 คำนี้มีนิยามที่เจาะจงอีกครั้ง [ 5 ] ปี 1997 นีล สเตราสส์แห่ง เดอะนิวยอร์กไทมส์ จำกัดความหมายของออลเทอร์นาทิฟร็อกว่า “ ร็อกแน่วแน่ที่แยกโดยความเปราะบาง, ท่อนริฟฟ์กีตาร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากคริสต์ทศวรรษ 1970 และนักร้องที่เจ็บปวด เต็มไปด้วยปัญหา จนพวกเขานำไปสู่มิติแห่งมหากาพย์ ” [ 14 ] การนิยามดนตรีออลเทอร์นาทิฟมักเป็นเรื่องยากลำบากเหตุเพราะ มีการประยุกต์ใช้คำที่ขัดแย้งกัน 2 อย่าง ออลเทอร์นาทิฟสามารถอธิบายถึงดนตรีที่ท้าทายดนตรีมีเป็นอยู่ และ “ นอกคอกอย่างรุนแรง, ต่อต้านการค้า และต่อต้านกระแสหลัก ” แต่คำนี้ก็ยังใช้ในอุตสาหกรรมดนตรีเพื่อแสดงถึง “ ทางเลือกของผู้บริโภคจากร้านแผ่นเสียง, วิทยุ, เคเบิลทีวี และอินเทอร์เน็ต ” [ 17 ] อย่างไรก็ดี ดนตรีออลเทอร์นาทิฟก็เหมือนจะขัดแย้งในตัวเอง เพราะได้กลายมาธุรกิจและสามารถทำเงินได้แบบเพลงร็อกกระแสนิยม โดยค่ายเพลงใช้คำว่า “ ออลเทอร์นาทิฟ ” เป็นดนตรีการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มผู้ฟังในกลุ่มที่เพลงร็อกกระแสนิยมไม่สามารถเข้าถึงได้ [ 18 ] การนิยามความหมายที่กว้างขึ้นของแนวเพลงนี้ เดฟ ทอมป์สันได้พูดถึงในหนังสือของเขา ออลเทอร์นาทิฟร็อก ว่าการเกิดวง เซ็กซ์พิสทอลส์ หรืออย่างการออกจำหน่ายอัลบัม ฮอร์ซิส ของแพตตี สมิท และ เมทัลแมชชีนมิวสิก ของ ลู รีด เป็น 3 ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดออลเทอร์นาทิฟร็อก [ 19 ] จนในช่วงที่ผ่านมา ( ต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 ) เมื่อ อินดี้ร็อก กลายเป็นคำทั่วไปในสหรัฐที่อธิบายหมายถึง โมเดิร์นป็อป และร็อก คำว่า “ อินดี้ร็อก ” และ “ ออลเทอร์นาทิฟร็อก ” จึงสามารถใช้สลับสับเปลี่ยนกันได้ [ 20 ] ขณะที่มุมมองของ 2 แนวเพลงนี้ที่เหมือนกันคือ อินดี้ร็อกเป็นคำที่ใช้จากวงอังกฤษ แต่ออลเทอร์นาทิฟร็อกมักใช้กับวงอเมริกันมากกว่า [ 21 ]
คำว่า “ ออลเทอร์นาทิฟร็อก ” โดยพื้นฐานแล้วอยู่ภายใต้ความหมายของ ดนตรีใต้ดิน ที่เกิดขึ้นมาในช่วงตื่นตัวของ พังก์ร็อก ตั้งแต่กลางคริสต์ทศวรรษ 1980 [ 22 ] ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อกนั้น ได้นิยามคำจำกัดความส่วนใหญ่โดยผู้ปฏิเสธความสำเร็จทางธุรกิจของวัฒนธรรมกระแสหลัก ถึงแม้ว่าอาจมีข้อถกเถียงเกิดขึ้นตั้งแต่ศิลปินใหญ่แนวออลเทอร์นาทิฟจะประสบความสำเร็จในกระแสหลักหรือได้ทำงานกับค่ายใหญ่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ( โดยเฉพาะตั้งแต่สหัสวรรษใหม่เป็นต้นมา ) วงออลเทอร์นาทิฟร็อกในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยมากจะเล่นในคลับเล็ก ๆ บันทึกเสียงกับค่ายอินดี และเผยแพร่ความนิยมแบบปากต่อปาก [ 23 ] ดังนั้นเพลงออลเทอร์นาทิฟจึงไม่ได้สร้างขึ้นจากสไตล์ดนตรีโดยทั้งหมด ถึงแม้ว่า เดอะนิวยอร์กไทมส์ จะอธิบายในปี 1989 ว่าเป็นแนวเพลงที่ “ อย่างแรกคือเป็นดนตรีกีตาร์ ด้วยกีตาร์นี้เองที่ระเบิดคอร์ดอันทรงพลัง ทำให้ชัดขึ้นโดยท่อนริฟฟ์ที่ก้องกังวาน เสียงอื้ออึงโดยกีตาร์ฟัซซ์โทนและความแหลมจากเสียงสะท้อนกลับ ” [ 24 ] โดยปกติแล้วเพลงร็อกในสไตล์อื่น ตั้งแต่ช่วงเพลงร็อกกระแสหลักในคริสต์ทศวรรษ 1970 เนื้อเพลงแนวออลเทอร์นาทิฟร็อกจะมีแนวโน้มที่จะพูดถึงเนื้อหาเรื่องสังคม อย่างเช่น การใช้ยา ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ การฆ่าตัวตาย และสิ่งแวดล้อมนิยม [ 23 ] วิถีเนื้อเพลงที่พัฒนาขึ้นเป็นการสะท้อนถึงสังคมและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจในสหรัฐและสหราชอาณาจักรในคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 [ 25 ]

ยุคก่อนออลเทอร์นาทิฟร็อก ( คริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 ) [แก้ ]

ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1960 ก่อนการเกิดของออลเทอร์นาทิฟร็อก อยู่ในช่วงกระแส โพรโตพังก์ [ 26 ] ต้นกำเนิดของออลเทอร์นาทิฟร็อก สามารถย้อนกลับไปได้ถึงอัลบัม เดอะเวลเวตอันเดอร์กราวด์แอนด์นีโก ( 1967 ) ของ เดอะเวลเวตอันเดอร์กราวด์ [ 27 ] ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่วงนออลเทอร์นาทิฟร็อกหลายวงในยุคหลัง [ 28 ] อัลบัม วีร์ออนลีอินอิตฟอร์เดอะมันนี ( We ‘re alone In It For The Money ) ของ เดอะมาเทอส์ออฟอินเวนชัน ( 1968 ) ได้ถูกยอมรับว่าเป็นอัลบัมเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อกยุคแรก [ 29 ] ศิลปินเช่น ซิด บาร์เร็ตต์ ( Syd Barrett ) มีอิทธิพลต่อออลเทอร์นาทิฟร็อกโดยทั่ว ๆ ไป [ 30 ] รวมทั้งวงคาบาเรต์วอลแทร์ ( Cabaret Voltaire ) เดอะโมโนโครมเซ็ต ( The Monochrome Set ) สเวลแม็ปส์ ( Swell Maps ) พอปกรุป ( Pop Group ) และพีไอแอล ( PIL ) [ 31 ] เป็นวงออลเทอร์นาทิฟร็อกในคริสต์ทศวรรษที่ 1970
ช่วงปี 1984 วงดนตรีโดยมากมักจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอิสระที่มีเพลงร็อกหลากหลายรูปแบบและได้รับอิทธิพลเพลงร็อกในคริสต์ทศวรรษ 1960 เป็นบางส่วน [ 32 ] ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 ออลเทอร์นาทิฟร็อกยังคงถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใต้ดิน ขณะที่มีบางเพลงที่ได้รับความนิยมจนกลายเป็นเพลงฮิตหรืออัลบัมฮิต จนได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากสิ่งพิมพ์กระแสหลักอย่าง โรลลิงสโตน ออลเทอร์นาทิฟร็อกในคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยมากจะอยู่กับค่ายเพลงอิสระ ตีพิมพ์ใน แฟนซีน หรือเล่นในสถานีวิทยุของวิทยาลัย วงออลเทอร์นาทิฟได้สร้างกลุ่มคนฟังใต้ดินโดยการออกทัวร์อย่างคงเส้นคงวา และออกอัลบัมต้นทุนต่ำอยู่เป็นประจำ อย่างในสหรัฐ วงใหม่ ๆ จะเจริญรอยตามแบบวงที่มาก่อน นี่ทำให้ขยายขอบเขตของเพลงใต้ดินในอเมริกา เพิ่มเติมเข้ากับแวดวงต่าง ๆ ในหลาย ๆ แห่งของสหรัฐ [ 22 ] แม้ศิลปินออลเทอร์นาทิฟอเมริกันในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 จะไม่เคยมียอดขายอัลบัมที่ดี การลงทุนลงแรงของพวกเขาก็ถือได้ว่ามีอิทธิพลให้กับนักดนตรีออลเทอร์นาทิฟในยุคต่อมา และได้ปูพื้นฐานความสำเร็จให้แก่พวกเขาเอง [ 33 ] เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1988 เกิดชาร์ตเพลงออลเทอร์นาทิฟขึ้นบนนิตยสาร บิลบอร์ด เป็น 40 อันดับเพลงที่ถูกเล่นบ่อยที่สุดบนสถานีวิทยุออลเทอร์นาทิฟและโมเดิร์นร็อกในสหรัฐ เพลงอันดับ 1 เพลงแรกคือเพลง “ พีก-อะ-บู “ ของ ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์ [ 34 ] ในปี 1989 แนวเพลงนี้ได้รับความนิยมมากเพียงพอจนเกิดทัวร์รวมศิลปินอย่าง นิวออร์เดอร์, พับลิกอิมเมจลิมิเตด และ เดอะชูการ์คิวส์ ออกทัวร์กันในสหรัฐ [ 35 ] อีกฟากหนึ่ง ออลเทอร์นาทิฟร็อกอังกฤษเริ่มมีความโดดเด่นขึ้นมาในช่วงที่สหรัฐอยู่ในช่วงแรก โดยเริ่มใส่ความเป็นป็อปมากกว่า ( ดูได้จากอัลบัมและซิงเกิลที่โดดเด่น เช่นเดียวกับการเปิดกว้างที่มักใส่องค์ประกอบเพลงเต้นรำและวัฒนธรรมในคลับเข้ามาด้วย ) และเนื้อเพลงให้ความสำคัญกับความเป็นชาวอังกฤษ ผลก็คือ วงออลเทอร์นาทิฟร็อกจำนวนหนึ่งประสบความสำเร็จด้านยอดขายในสหรัฐด้วย [ 36 ] ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมาเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อกได้รับการเปิดออกอากาศอย่างแพร่หลายบนวิทยุในสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดีเจหลายคน อาทิ จอห์น พีล ( ทำงานสถานีวิทยุออลเทอร์นาทิฟบน บีบีซีเรดิโอวัน ), ริชาร์ด สกินเนอร์ และแอนนี ไนติงเกล นอกจากนี้ศิลปินยังมีกลุ่มผู้ติดตามอย่างเหนียวแน่ทั้งในสหรัฐ โดยผ่านสถานีวิทยุแห่งชาติอังกฤษและสื่อดนตรีรายสัปดาห์ และยังมีวงออลเทอร์นาทิฟหลายวงประสบความสำเร็จที่ชาร์ตในสหรัฐนี้ด้วย [ 37 ]
วงออลเทอร์นาทิฟอเมริกันยุคแรก ๆ อย่างเช่น เดอะดรีมซินดิเคต, เดอะบอนโกส, เทนเทาซันด์แมนิแอกส์, อาร์.อี.เอ็ม., เดอะฟีลีส์ และ ไวโอเลนต์เฟมส์ ได้รวมเพลง พังก์ เข้ากับเพลง โฟล์ก รวมถึงเพลงกระแสหลักมาไว้ด้วยกัน อาร์.อี.เอ็ม. เป็นวงที่ประสบความสำเร็จที่สุดโดยทันที อัลบัมเปิดตัวชุด เมอร์เมอร์ ( 1983 ) เข้าใน 40 อันดับแรก และยังได้ฐานผู้ฟังเพลง แจงเกิลป็อป จำนวนมาก [ 38 ] อีกหนึ่งในผู้อยู่ในกระแสเพลงแจงเกิลในต้นยุคคริสต์ทศวรรษ 1980 วง เพรสลีย์อันเดอร์กราวด์ จาก ลอสแอนเจลิส นำซาวด์ในคริสต์ทศวรรษ 1960 มาฟื้นฟู เข้ากับความหลอน เสียงร้องอันกลมกลืนอิ่มเอิบ และกีตาร์ที่ประสานกันกับโฟล์กร็อก เช่นเดียวกับเพลงพังก์และเพลงใต้ดิน อย่างวง เดอะเวลเวตอันเดอร์กราวด์ [ 22 ] ค่ายเพลงอิสระอเมริกันอย่าง เอสเอสทีเรเคิดส์, ทวิน/โทนเรเคิดส์, ทัชแอนด์โกเรเคิดส์ และ ดิสคอร์ดเรเคิดส์ มีความโดดเด่นขึ้นมาจากการสลับเปลี่ยนจากเพลงฮาร์ดคอร์พังก์ที่โดดเด่นในกระแสเพลงใต้ดินอเมริกัน ไปสู่แนวเพลงที่หลากหลายมากขึ้นของเพลงออลเทอร์นาทิฟร็อกที่กำลังโดดเด่นขึ้นมา [ 39 ] วงจาก มินนีแอโพลิส อย่าง ฮุสเกอร์ดุ และ เดอะรีเพลซเมนส์ ก็เป็นหนึ่งในวงที่สลับเปลี่ยนแนวเพลงนี้ ทั้ง 2 วงเริ่มจากการเป็นวงพังก์ร็อก จากนั้นก็เปลี่ยนซาวด์ดนตรีให้ฟังดูมีเมโลดีมากขึ้น [ 22 ] ไมเคิล แอเซอร์แรดยืนยันว่า ฮุสเกอร์ดุถือเป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมเปลี่ยนเพลงฮาร์ดคอร์พังก์และเพลงที่มีเมโลดี้มากขึ้น ทำให้ดนตรี คอลเลจร็อก ที่เกิดขึ้นมีความหลากหลาย แอเซอร์แรดเขียนไว้ว่า “ ฮุสเกอร์ดุมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้เพลงใต้ดินที่มีเมโลดีและเพลงพังก์ร็อกให้ไม่เป็นเรื่องแย้งกัน ” [ 40 ] วงยังได้สร้างตัวอย่างที่ดี ด้วยการเป็นวงอินดีอเมริกันวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ ยังได้ทำให้สร้างเพลงคอลเลจร็อกให้ “ เป็นกิจการเพื่อการค้าอย่างชัดเจน ” [ 41 ] ขณะที่วงเดอะรีเพลสเมนส์ที่แต่งเพลงอกหักและเล่นคำมากกว่าที่จะพูดเรื่องการเมือง ก็ทำให้เกิดกระแสเพลงใต้ดินได้อย่างมาก แอเซอร์แรดเขียนว่า “ ร่วมกับวง อาร์.อี.เอ็ม. แล้ว เดอะรีเพลสเมนส์เป็นหนึ่งในวงใต้ดินไม่กี่วงที่คนฟังเพลงกระแสหลักชื่นชอบ ” [ 42 ] ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 กระแสออลเทอร์นาทิฟร็อกอเมริกันมีอิทธิพลกว้างขึ้นตั้งแต่เพลงออลเทอร์นาทิฟพอปแปลก ๆ ( เดย์ไมต์บีไจแอนส์ และ แคมเปอร์แวนบีโทเฟน ) ไปจนถึง นอยส์ร็อก ( โซนิกยูท, บิกแบล็ก, เดอะจีสัสไลซาร์ด [ 43 ] ) และ อินดัสเทรียลร็อก ( มินิสทรี, ไนน์อินช์เนลส์ ) ซาวด์ดนตรีเหล่านี้ทำให้มีวงที่ตามมา อย่างวงจาก บอสตัน ที่ชื่อ พิกซีส์ และวงจาก ลอสแอนเจลิส ที่ชื่อ เจนส์แอดดิกชัน [ 22 ] ในช่วงเวลาเดียวกัน แนวย่อยเพลงกรันจ์กำเนิดขึ้นใน ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ในช่วงแรกใช้ชื่อว่า “ เดอะซีแอตเทิลซาวด์ ” ( The Seattle Sound ) จนกระแสกระแสเพลงแนวนี้ได้รับความนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 [ 44 ] กรันจ์เป็นเพลงที่มีส่วนผสมดนตรีกีตาร์ที่ฟังดูเลอะเทอะและมืดมัว ที่ปะติดปะต่อเข้ากับ เฮฟวีเมทัล และพังก์ร็อก [ 45 ] มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางโดยค่ายเพลงอิสระที่ชื่อ ซับป็อป วงกรันจ์ได้รับการกล่าวว่ามีแฟชั่นจากร้านราคาถูก มักเป็นเสื้อเชิร์ตสักหลาดและใส่รองเท้าบูตคอมแบต เข้ากับภูมิอากาศท้องถิ่น [ 46 ] วงกรันจ์ยุคแรกเช่น ซาวด์การ์เดน และ มัดฮันนีย์ ที่ได้รับการกล่าวถึงในสหรัฐและสหราชอาณาจักรตามลำดับ [ 22 ] ในช่วงสิ้นทศวรรษ มีหลายวงออลเทอร์นาทิฟเริ่มเซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ ขณะที่วงที่เซ็นกับค่ายใหญ่แรก ๆ อย่าง ฮุสเกอร์ดุ และเดอะรีเพลซ์เมนส์ ได้รับความสำเร็จเล็กน้อย ค่ายที่ได้เซ็นสัญญากับวงอย่าง อาร์.อี.เอ็ม. และเจนส์แอดดิกชัน ก็ได้รับแผ่นเสียงทองคำและแผ่นเสียงทองคำขาว ก่อให้เกิดการแจ้งเกิดของออลเทอร์นาทิฟในเวลาต่อมา [ 47 ] [ 48 ] บางวงอย่างเช่น พิกซีส์ ประสบความสำเร็จข้ามทวีป ขณะที่ในประเทศบ้านเกิดไม่ประสบความสำเร็จ [ 22 ] ในช่วงกลางทศวรรษ อัลบัม เซนอาร์เคต ของฮุสเกอร์ดุมีอิทธิพลด้านดนตรีต่อวงฮาร์ดคอร์ดโดยมีการพูดเรื่องส่วนตัว นอกจากนั้นกระแสเพลงฮาร์ดคอร์ใน วอชิงตันดีซี ที่เรียกเพลงเหล่านี้ว่า “ อีโมคอร์ ” หรือ “ อีโม ” เกิดขึ้นมา และได้รับการพูดถึงเรื่องเนื้อเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ส่วนตัวเป็นสาระสำคัญอย่างมาก ( นักร้องบางคนร้องไห้ ) และยังเพิ่มเติมบทกวีแบบการเชื่อมโยงเสรี ( release association ) และโทนเพลงแบบสารภาพผิด วง ไรตส์ออฟสปริง ได้รับคำจำกัดความว่าเป็นวงอีโมวงแรก เอียน แม็กเคย์ อดีตสมาชิกวง ไมเนอร์ทรีต ผู้ก่อตั้งค่ายดิสคอร์ดเรเคิดส์ ถือเป็นศูนย์กลางเพลงอีโมของเมือง [ 49 ]
แนวเพลง กอทิกร็อก เริ่มพัฒนานอกเหนือจากโพสต์พังก์อังกฤษในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 กิตติศัพท์ว่าเป็น “ รูปแบบเพลงร็อกใต้ดินที่มืดหม่นและเศร้าหมองที่สุด ” กอทิกร็อกใช้ซาวด์เครื่องสังเคราะห์เสียงและกีตาร์เป็นพื้นฐานซึ่งเป็นผลมาจากโพสต์พังก์ เพื่อสร้าง “ ลางสังหรณ์ ความโศกเศร้า และมักใช้ทัศนียภาพของเสียงแบบมหากาพย์ ” ผนวกกับเนื้อเพลงของแนวนี้ที่มักเอ่ยถึง วรรณกรรมจินตนิมิต, โรคภัย, สัญลักษณ์ทางศาสนา และเรื่องไสยศาสตร์เหนือธรรมชาติ [ 50 ] วงแนวนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มโพสต์พังก์อังกฤษ 2 วง คือ จอยดิวิชัน กับ ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์ [ 51 ] ซิงเกิลเปิดตัวของ เบาเฮาส์ ที่ชื่อ “ เบลาลูโกซีส์เดด ” ( Bela Lugosi ‘s Dead ) ออกขายปี 1979 ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์ของแนวเพลงกอทิกร็อก [ 52 ] อัลบัมวง เดอะเคียวร์ หลายอัลบัมที่ “ หดหู่น่าสลดใจ ” อาทิ พอร์โนกราฟี ( 1982 ) ก็ทำให้วงมีสัณฐานในแนวเพลงนี้ อีกทั้งยังปูฐานรากให้มีกลุ่มผู้ฟังติดตามกลุ่มใหญ่ [ 53 ] วงออลเทอร์นาทิฟร็อกอังกฤษกุญแจดอกสำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 คือวงจากแมนเชสเตอร์ที่ชื่อ เดอะสมิทส์ นักข่าวดนตรี ไซมอน เรย์โนลส์ ชี้ว่าเดอะสมิทส์และวงอเมริกันร่วมสมัย อาร์.อี.เอ็ม. ถือเป็น “ 2 วงสำคัญออลต์-ร็อกของวันนั้น ” แสดงความเห็นว่า “ พวกเขาเป็นวงยุค 80 ที่ให้ความรู้สึกถึงการต่อต้านยุค 80 แต่เพียงผู้เดียว ” เรย์โนลส์พูดถึงเดอะสมิทส์ว่า “ ทีท่าทั้งหมดนั้นมีนัยยะต่อผู้ฟังชาวอังกฤษที่ไร้ยุค เหมือนถูกขับไล่จากดินแดนพวกเขา ” [ 54 ] เสียงกีตาร์ที่เดอะสมิทส์ได้นำมาใช้ในยุคนั้น คือดนตรีโดดเด่นด้วยเสียงสังเคราะห์ ถูกมองว่าเป็นสัญญาณจบของยุคนิวเวฟและเป็นการมาถึงของออลเทอร์นาทิฟร็อกในสหราชอาณาจักร แม้วงจะประสบความสำเร็จไม่มากบนอันดับเพลงและมีงานในระยะสั้น เดอะสมิทส์ก็สำแดงอิทธิพลไปทั่วกระแสเพลงอินดีในอังกฤษจนสิ้นศตวรรษ ซึ่งหลายวงก็ได้รับหลักเกณฑ์เนื้อเพลงของนักร้องวง มอร์ริสซีย์ และแนวทางการเล่นกีตาร์แข็งกร้าวของ จอห์นนี มาร์ [ 36 ] เทปคาสเซตต์รวมเพลง ซีเอตตีซิก ออกพิเศษโดยนิตยสาร เอ็นเอ็มอี ในปี 1986 มีศิลปินอย่าง ไพรมัลสกรีม, เดอะเวดดิงพรีเซนต์ และวงอื่น ๆ ก็มีอิทธิพลในการพัฒนากระแสอินดีป็อปและอินดีอังกฤษมาโดยตลอด [ 55 ] [ 56 ] ยังมีอีกหลายรูปแบบของออลเทอร์นาทิฟร็อกที่พัฒนาขึ้นในสหราชอาณาจักรในคริสต์ทศวรรษ 1980 ซาวด์ของวง เดอะจีซัสแอนด์แมรีเชน ได้รวมเอา “ เสียงเศร้า ” ของวง เดอะเวลเวตอันเดอร์กราวด์ เข้ากับเมโลดี้เพลงป็อปของ เดอะบีชบอยส์ และงานผลิตแบบ วอลล์ออฟซาวด์ ของ ฟิล สเปกเตอร์ [ 57 ] [ 58 ] ขณะที่ นิวออร์เดอร์ เกิดขึ้นมาหลังจากวงโพสต์พังก์ จอยดิวิชัน สิ้นสลาย พวกเขาได้ทำการทดลองดนตรี เทคโน กับ เฮาส์ [ 36 ] เดอะแมรีเชน รวมถึงไดโนเสาร์จูเนียร์, ซีเอตตีซฺก และวงดรีมป็อป ค็อกโททวินส์ เป็นผู้เป็นต้นแบบอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหว ชูเกซซิง ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ได้รับการขนานนามเรื่องสมาชิกของวงจ้องมองเท้าตัวเอง และเหยียบ เอฟเฟกต์กีตาร์ [ 59 ] บนเวที มากกว่าที่จะปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม วงชูเกซซิงอย่าง มายบลัดดีวาเลนไทน์ และ สโลว์ไดฟ์ ได้สร้างสรรค์เสียงอึกทึกอันท้วมท้น “ อย่างไม่สนใจซาวด์เพลง ” ที่ร้องอย่างคลุมเครือ และเล่นเมโลดีที่มีท่อนริฟฟ์เสียงต่ำ เสียงบิด และเสียงสะท้อน อย่างยาวนาน [ 60 ] วงชูเกซซิงโดดเด่นขึ้นมาในสื่อเพลงอังกฤษในปลายทศวรรษ ร่วมไปกับกระแสเพลง แมดเชสเตอร์ การแสดงส่วนใหญ่ที่ไนต์คลับในแมนเชสเตอร์ที่ชื่อ เดอะฮาเซียนดา มีเจ้าของคือนิวออร์เดอร์และแฟกทอรีเรเคิดส์ มีการแสดงวงแมดเชสเตอร์อย่างเช่น แฮปปี้มันเดส์ และ เดอะสโตนโรสเซส ที่ผสมเข้ากับจังหวะเต้นรำ แอซิดเฮาส์ กับความป็อปของเมโลดีกีตาร์ [ 61 ]

ช่วงเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 อุตสาหกรรมดนตรีถูกชักนำจากความเป็นไปได้ทางธุรกิจออลเทอร์นาทิฟร็อก และค่ายใหญ่หาวงต่าง ๆ อย่างแข็งขัน อาทิ เจนส์แอดดิกชัน, เรดฮอตชิลีเพปเปอส์, ไดโนเสาร์จูเนียร์, ไฟร์โฮส และ เนอร์วานา [ 47 ] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสำเร็จของอาร์.อี.เอ็ม. ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวให้กับวงออลเทอร์นาทิฟจำนวนมากในปลายยุคคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 วงมีผลงานอย่างยาวนานและในคริสต์ทศวรรษ 1990 ถือเป็นหนึ่งในวงที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก [ 22 ]
การแจ้งเกิดของวงเนอร์วานานำไปสู่ความนิยมอย่างกว้างขวางของออลเทอร์นาทิฟร็อกในคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อซิงเกิล “ สเมลส์ไลก์ทีนสปิริต “ จากอัลบัมชุด 2 เนเวอร์ไมนด์ ( 1991 ) ออกขาย “ ได้เป็นสัญลักษณ์กระตุ้นปรากฏการณ์ดนตรีกรันจ์ ” เป็นผลจากการออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ทางช่อง เอ็มทีวี ทำให้ เนเวอร์ไมนด์ มียอดขาย 400,000 ชุดในสัปดาห์คริสต์มาส 1991 [ 62 ] จากความสำเร็จของ เนเวอร์ไมนด์ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับอุตสาหกรรมดนตรี เนเวอร์ไมนด์ ยังไม่เพียงทำให้เพลงกรันจ์เป็นที่นิยม แต่ยังสร้าง “ วัฒนธรรมและออลเทอร์นาทิฟร็อกเพื่อการค้าอย่างชัดเจนโดยทั่วไป ” [ 63 ] ไมเคิล แอเซอร์แรดยังยืนยันว่า เนเวอร์ไมนด์ เป็นสัญลักษณ์ “ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการเพลงร็อก ” ซึ่งขณะนั้นเพลง แฮร์เมทัล มีความโดดเด่นอยู่ตอนนั้นก็ได้เสื่อมลง เนเวอร์ไมนด์ เป็นโฉมหน้าทางดนตรีที่แท้จริงและมีความสำคัญทางวัฒนธรรม [ 64 ] ความสำเร็จที่สร้างความประหลาดใจของเนอร์วานาในอัลบัม เนเวอร์ไมนด์ เป็นการประกาศ “ การเปิดรับครั้งใหม่ให้กับออลเทอร์นาทิฟ ” ให้กับสถานีวิทยุเพื่อการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดประตูให้กับวงออลเทอร์นาทิฟที่หนักกว่านี้ [ 65 ] การตื่นตัวใน เนเวอร์ไมนด์ ออลเทอร์นาทิฟ “ ได้ขัดขืนใจตัวเองเพื่อก้าวสู่เพลงกระแสหลัก ” รวมถึงค่ายเพลง ยังสร้างความสับสนของความสำเร็จในแนวเพลงนี้ ที่ยังไม่อยากกระตือรือล้นแย่งชิงเซ็นสัญญากับวงต่าง ๆ [ 66 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ เขียนไว้ในปี 1993 ว่า “ ออลเทอร์นาทิฟร็อกยังดูไม่เหมือนเป็นทางเลือกอีกต่อไป ค่ายใหญ่ทุกค่ายมีวงที่ขับเคลื่อนโดยกีตาร์อยู่เต็มมือ สวมเสื้อเชิร์ตที่ไร้รูปร่างและยีนส์เก่า ๆ วงที่วางท่าแย่ ๆ กับท่อนริฟฟ์ที่ดีงาม ที่ยังไม่ติดหู และซ่อนความสามารถเบื้องหลังความไม่แยแสอะไร ” [ 67 ] อย่างไรก็ดี ศิลปินออลเทอร์นาทิฟหลายวงก็ดูปฏิเสธความสำเร็จที่ขัดแย้งกับความหัวรั้น ในหลักการแนวเพลงแบบ ดีไอวาย ที่พวกเขาสนับสนุนก่อนที่จะระเบิดมาในกระแสหลัก รวมถึงแนวคิดเรื่องความเป็นศิลปินที่แท้จริงของพวกเขา [ 68 ]
กรันจ์วงอื่นเริ่มทำสำเนาความสำเร็จแบบเนอร์วานาในเวลาต่อมา เพิร์ลแจม ออกอัลบัมชุดแรกที่ชื่อ เท็น ออกก่อน เนเวอร์ไมนด์ 10 เดือน ในปี 1991 แต่ยอดขายอัลบัมกลับเพิ่มขึ้นในปีถัดมา [ 69 ] ครึ่งหลังของปี 1992 เท็น แจ้งเกิดได้สำเร็จ ได้รับการยืนยันแผ่นเสียงทองคำขาวและขึ้นอันดับ 2 บน บิลบอร์ด 200 [ 70 ] อัลบัม แบดมอเตอร์ฟิงเกอร์ ของ ซาวด์การ์เดน, เดิร์ต ของ อลิซอินเชนส์ และ คอร์ ของ สโตนเทมเพิลไพล็อตส์ รวมถึงอัลบัม เทมเพิลออฟเดอะดอก อัลบัมการร่วมงานของสมาชิกจากวงเพิร์ลแจมและซาวด์การ์เดน อัลบัมเหล่านี้เป็นอัลบัมขายดีใน 100 อัลบัมแห่งปี 1992 [ 71 ] เมื่อความนิยมในวงกรันจ์เหล่านี้เกิดขึ้น โรลลิงสโตน ก็เรียกเมืองซีแอตเทิลว่า “ ลิเวอร์พูล ใหม่ ” [ 46 ] ค่ายหลักเซ็นสัญญากับวงกรันจ์ที่โดดเด่นขึ้นมาที่เมืองซีแอตเทิล ขณะที่การไหลบ่าของวงต่าง ๆ มายังเมืองนี้ เพราะหวังว่าจะประสบความสำเร็จ [ 72 ] ในเวลาเดียวกัน นักวิจารณ์ยืนยันว่า การโฆษณาได้รับองค์ประกอบแนวคิดของกรันจ์แล้วจะกลายมาเป็นแฟชันสมัยนิยม เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี แสดงความเห็นในบทความปี 1993 ว่า “ ไม่มีรูปแบบการหาผลประโยชน์ในวัฒนธรรมย่อยนับตั้งแต่สื่อค้นพบฮิปปีในคริสต์ทศวรรษ 1960 ” [ 73 ] เดอะนิวยอร์กไทมส์ เปรียบเทียบ “ กรันจ์อเมริกา ” กับตลาดมวลชนแบบพังก์ร็อก, ดิสโก้ และ ฮิปฮอป ที่มาก่อนหน้านี้ ผลคือแนวเพลงกรันจ์ได้รับความนิยม ส่งผลกลับอย่างรุนแรงต่อกรันจ์ที่พัฒนาขึ้นมาในซีแอตเทิล [ 46 ] อัลบัมถัดมาของเนอร์วานา อินยูเทโร ( 1993 ) ฟังดูโมโหอย่างตั้งใจ มือเบสของวง คริสต์ โนโวเซลิช อธิบายว่า “ เป็นซาวด์ก้าวร้าวป่าเถื่อน เป็นอัลบัมทางเลือกอย่างแท้จริง ” [ 74 ] อย่างไรก็ตาม เมื่อออกอัลบัมในเดือนกันยายน 1993 อินยูเทโร ก็ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต บิลบอร์ด [ 75 ] เพิร์ลแจมก็ยังมียอดขายดีอยู่ในอัลบัมชุด 2 Vs. ( 1993 ) โดยขึ้นอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 950,378 ชุด ในสัปดาห์แรกที่ออกขาย [ 76 ]
เมื่อกระแสแมดเชสเตอร์เสื่อมลง และชูเกซซิงก็ดูขาดเสน่ห์ กรันจ์ในอเมริกาก้าวสู่ขาขึ้น ยังมีอิทธิพลต่อกระแสออลเทอร์นาทิฟในอังกฤษ และสื่อดนตรีในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 [ 36 ] การตอบสนองคือ วงอังกฤษปะปรายได้เกิดขึ้นมาด้วยความปรารถนาที่จะ “ กำจัดเพลงกรันจ์ ” และ “ ประกาศสงครามแก่อเมริกา ” ได้เข้ามาครอบงำมวลชนและสื่อดนตรีท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว [ 77 ] ชื่อ “ บริตป็อป ” ที่ตั้งโดยสื่อ การเคลื่อนไหวครั้งนี้นำโดย พัลป์, เบลอ, สเวด และ โอเอซิส เป็นเสมือนการปะทุของกรันจ์ในแบบอังกฤษ ศิลปินเหล่านี้ได้ขับเคลื่อนออลเทอร์นาทิฟขึ้นสู่จุดสูงสุดของอันดับเพลงในประเทศบ้านเกิด [ 36 ] วงบริตป็อปได้รับอิทธิพลและนำเสนอการแสดงความนับถือดนตรีกีตาร์อังกฤษในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสและแนวเพลงอย่างเช่น บริติชอินเวชัน, แกลมร็อก และ พังก์ร็อก [ 78 ] ในปี 1995 ปรากฏการณ์บริตป็อปขึ้นสู่จุดสุดยอดจากสองอริ โอเอซิส และเบลอ ที่ได้สร้างสัญลักษณ์โดยการแข่งขันด้วยการออกซิงเกิลในวันเดียวกัน ผลคือ เบลอเป็นผู้ชนะใน “ ศึกแห่งบริตป็อป ” ( The Battle of Britpop ) แต่โอเอซิสก็ได้รับความนิยมมากกว่าเบลอในอัลบัมชุดที่ 2 (วอตส์เดอะสตอรี) มอร์นิงกลอรี? ( 1995 ) [ 79 ] ซึ่งเป็นอัลบัมขายดีอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักร [ 80 ]
ล้วนมีความหมายเดียวกับออลเทอร์นาทิฟร็อกในสหรัฐ อินดี้ร็อกมีความโดดเด่นขึ้นมาหลังจากเนอร์วานาแจ้งเกิด [ 81 ] อินดี้ร็อกได้บัญญัติว่าเป็นการปฏิเสธออลเทอร์นาทิฟร็อกที่ซึมซับเข้าสู่กระแสหลักโดยศิลปินที่ไม่สามารถข้ามฟากไปได้หรือปฏิเสธการข้ามฟาก และระมัดระวังเรื่องสุนทรีย์แห่งความเป็นชาย ( macho ) ขณะที่ศิลปินอินดี้ร็อกไม่เชื่อใจลัทธิการค้าแบบพังก์ร็อก ด้วยแนวเพลงที่ไม่สามารถระบุนิยามได้อย่างแท้จริง ต่อคำที่ว่า “ สมมติฐานโดยทั่วไปแล้วคือ มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริงที่จะสร้างดนตรีอันหลากหลายของอินดี้ร็อกให้เข้ากันได้กับรสนิยมกระแสหลักเป็นสิ่งแรก ” [ 81 ] ค่ายเพลงอย่างเช่น มาทาดอร์เรเคิดส์, เมิร์จเรเคิดส์ และดิสคอร์ด และชาวร็อกอินดี้อย่าง เพฟเมนต์, ซูเปอร์ชังก์, ฟูกาซี และ สลีเตอร์-คินนีย์ เป็นผู้โดดเด่นในกระแสอินดี้อเมริกันตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 [ 82 ] หนึ่งในการเคลื่อนไหวที่สำคัญของอินดี้ร็อกในคริสต์ทศวรรษ 1990 คือ เพลงโลฟาย การเคลื่อนไหวนี้มุ่งไปที่การบันทึกเสียงและแจกจ่ายดนตรีที่มีคุณภาพต่ำอย่าง ตลับเทป ที่ตอนแรกเกิดขึ้นมาในคริสต์ทศวรรษ 1980 จนปี 1992 วงเพฟเมนต์, ไกด์บายวอยซ์ และเซบาโดห์ ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบแนวโลฟายในสหรัฐ ขณะที่ศิลปินที่ตามมาทีหลังอย่าง เบ็ก และ ลิซ แฟร์ ได้สร้างสุนทรีย์แก่คนฟังกระแสหลัก [ 83 ] ยุคนี้ยังเห็นนักร้อง-นักแต่งเพลงออลเทอร์นาทิฟหญิงแนวสารภาพ นอกเหนือจากลิซ แฟร์ ก็มี พีเจ ฮาร์วีย์ ที่อยู่ในกลุ่มย่อยนี้ [ 84 ]
ในต่อจากครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 1990 กรันจ์ถูกแทนที่ด้วย โพสต์กรันจ์ วงโพสต์กรนจ์หลายวงขาดรากฐานความเป็นเพลงใต้ดินของกรันจ์และได้รับอิทธิพลอย่างมากจากที่กรันจ์ยุคเปลี่ยน กล่าวคือ “ เป็นรูปแบบหนึ่งของความนิยมอย่างรนแรงที่มองเข้าไปข้างใน, ดนตรีฮาร์ดร็อกที่มุ่งมั่นจริงจัง ” วงโพสต์กรันจ์หลายวงเลียนแบบซาวด์และสไตล์ของกรันจ์ “ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวประหลาดเหมือนอย่างศิลปินต้นฉบับ ” [ 85 ] โพสต์กรันจ์เป็นแนวเพลงที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่า โดยลดเสียงบิดกีตาร์ของกรันจ์ให้ดีขึ้น พร้อมเพื่อออกอากาศทางวิทยุ [ 85 ] เดิมทีโพสต์กรันจ์เป็นการแบ่งประเภทอย่างเหยียบหยาม กับวงเกือบแทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกรันจ์อยู่ในกระแสหลักและลอกเลียนแบบซาวด์ของกรันจ์ การแบ่งประเภทนี้บ่งถึงวงที่ใช้ว่าโพสต์กรันจ์ว่า เป็นดนตรีดัดแปลง หรือตอบโต้อย่างถากถางกับการเคลื่อนไหวร็อกทีเป็นของแท้ [ 86 ] บุช, แคนเดิลบอกซ์ และ คอลเลกทีฟโซล ถูกเย้ยว่าเป็น โพสต์กรันจ์ ทิม เกรียร์สันจาก อะเบาต์.คอม เขียนว่า “ แทนที่จะเป็นการเคลื่อนไหวทางดนตรีโดยความชอบของตน พวกเขาเป็นอย่างที่คิด ได้รับการตอบรับอย่างถากถางต่อการเปลี่ยนสไตล์เป็นดนตรีร็อกของเก๊ ” [ 86 ] โพสต์กรันจ์ได้แปลเปลี่ยนไปในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 อาทิวงอย่าง ฟูไฟเตอส์, ครีด และ นิกเคลแบ็ก ได้เกิดขึ้นมา [ 86 ]
โพสต์ร็อก กำเนิดขึ้นจากอัลบัม ลาฟฟิงสต็อก ของ ทอล์กทอล์ก และอัลบัม สไปเดอร์แลนด์ ของ สลินต์ ทั้ง 2 ชุด ออกในปี 1991 [ 87 ] โพสต์ร็อกได้รับอิทธิพลจากหลากหลายแนวเพลง อาทิ เคราต์ร็อก, โพรเกรสซิฟร็อก และ แจ๊ซ แนวนี้โค่นล้มหรือปฏิเสธจารีตเพลงร็อก และมักจะรวมเพลงอิเล็กทรอนิกส์ [ 87 ] ขณะที่ชื่อของแนวเพลงเกิดขึ้นโดยนักข่าวดนตรี ไซมอน เรย์โนลส์ ในปี 1994 สไตล์ของแนวเพลงที่แข็งแรงขึ้นจากการออกวางขายอัลบัม มิลเลียนส์นาวลิฟวิงวิลล์เนเวอร์ดาย ( 1996 ) ของศิลปินจาก ชิคาโก ทอร์ทอยส์ [ 87 ] โพสต์ร็อกโดดเด่นขึ้นในรูปแบบของดนตรีร็อกทดลองในคริสต์ทศวรรษ 1990 หลายวงในแนวนี้ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงเช่น ทริลล์จอกกี, แครงกี, แดรกซิตี และ ทูเพียวร์ [ 87 ] แนวเพลงที่ใกล้เคียงกัน อย่าง แมทร็อก ถึงจุดสูงสุดในกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อเปรียบเทียบโพสต์ร็อกกับแมทร็อกที่ดู “ ร็อกกิสต์ ” มากกว่า ( คนที่เห็นว่าร็อกดีกว่าป็อป ) และเชื่อใจใน เครื่องหมายกำหนดจังหวะ อันซับซ้อน และถ้อยคำอันสอดประสาน [ 88 ] เมื่อสิ้นศตวรรษเกิดกระแสย้อนกลับอย่างรุนแรงต่อเพลงโพสต์ร็อกอันเนื่องจาก “ ไร้สติปัญญา ” และสามารถสัมผัสได้ถึงการคาดเดาที่เพิ่มขึ้นได้ แต่วงโพสต์ร็อกคลื่นลูกใหม่อย่าง กอดสปีดยู ! แบล็กเอมเพอร์เรอร์ และ ซีกือร์โรส เกิดขึ้นมาพร้อมกับการขยับขยายแนวเพลงให้กว้างขึ้นไป [ 87 ]
รีลบิกฟิชในปี 2008 ปี 1993 อัลบัม ไซมิสดรีม ของ เดอะสแมชชิงพัมป์กินส์ ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมาก อัลบัมได้รับอิทธิพลเพลง เฮฟวีเมทัล และ โพรเกรสซิฟร็อก อย่างมาก ทำให้ออลเทอร์นาทิฟร็อกก้าวสู่รายการกระแสหลักทางวิทยุและปิดช่องโหว่ระหว่างออลเทอร์นาทิฟร็อกกับดนตรีร็อกที่เล่นเพลงร็อกอเมริกันยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 [ 89 ] ในปี 1995 สแมชชิงพัมป์กินส์ยังออกอัลบัมคู่ชุด เมลลอนคอลลายแอนด์เดอะอินฟินิตแซดเนสส์ ที่ขายได้ 10 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐ ได้รับการยืนยันแผ่นเสียงเพชรอีกด้วย หลังจากเกือบ 10 ปีที่เพลงใต้ดิน, สกาพังก์ และเพลงที่มีส่วนผสมของสกาอังกฤษยุคแรก ๆ กับพังก์ ได้รับความนิยมในสหรัฐ วง แรนซิด เป็นวงแรกที่ได้แจ้งเกิดจาก “ การกลับมาคลื่นลูกที่ 3 ของสกา ” และในปี 1996 วง ไมตีไมตีบอสสโตนส์, โนเดาต์, ซับไลม์, โกลด์ฟิงเกอร์, รีลบิกฟิช, เลสส์แดนเจก และ เซฟเฟอร์ริส มีเพลงเข้าชาร์ตหรือได้รับกระแสตอบรับท่วมท้นทางวิทยุ [ 90 ] [ 91 ]
ช่วงสิ้นสุดทศวรรษ สไตล์ของออลเทอร์นาทีฟได้เปลี่ยนไปเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย เรื่องที่น่าจดจำอย่างเช่น การเสียชีวิตของ เคิร์ต โคเบน แห่งวงเนอร์วานาในปี 1994 และการมีคดีความของวงเพิร์ลแจมต่อผู้จัดงานคอนเสิร์ต ทิกเกตมาสเตอร์ ที่ส่งผลกีดกันให้วงไม่ได้เล่นงานใหญ่ ๆ หลายงานในสหรัฐ [ 68 ] นอกจากนี้เกิดความเสื่อมความนิยมในวงกรันจ์ บริตป็อปก็ร่วงโรยกันไป อย่างอัลบัมชุดที่ 3 ของโอเอซิส บีเฮียร์นาว ( 1997 ) ได้คำวิจารณ์ไม่สดใสนัก ส่วนวงเบลอก็เริ่มได้รับอิทธิพลจากออลเทอร์นาทิฟร็อกอเมริกัน [ 92 ] การเปลี่ยนสัญญะที่สื่อความหมายของออลเทอร์นาทิฟร็อกก่อให้เทศกาลดนตรีลอลลาปาลูซาหายไปหลังจากพยายามหาวงนำมาแสดงไม่สำเร็จในปี 1998 ความจริงคือปัญหาที่เกิดในปีนั้น สปิน ได้บอกไว้ว่า “ ลอลลาปาลูซาดูเฉื่อยชาเหมือนอย่างออลเทอร์นาทิฟร็อกตอนนี้ ” [ 93 ] แม้จะเปลี่ยนไปในแง่สไตล์ ออลเทอร์นาทิฟร็อกยังคงอยู่ในกระแสได้อยู่ โพสต์กรันจ์ยังคงทำเงินได้เมื่อเริ่มศตวรรษที่ 21 เมื่อวงอย่าง ครีด และ แมตช์บ็อกซ์ทเวนตี ถือเป็นวงร็อกที่ได้รับความนิยมที่สุดในสหรัฐ [ 85 ] ขณะเดียวกัน บริตป็อปเริ่มเสื่อมความนิยม เรดิโอเฮด ที่เคยได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีในอัลบัมชุด 3 โอเคคอมพิวเตอร์ ( 1997 ) จนอัลบัมถัดมา คิดเอ ( 2000 ) และ แอมนีซิแอก ( 2001 ) ที่ได้รับการกล่าวว่าแตกต่างจากประเพณีนิยมบริตป็อป เรดิโอเฮดและวงบริตป็อปยุคหลังอย่าง แทรวิส และ โคลด์เพลย์ ถือเป็นกำลังสำคัญของร็อกอังกฤษในยุคถัดมา [ 94 ]
กลางคริสต์ทศวรรษ 1990 วง ซันนีเดย์รีลเอสเตต ได้กำหนดนิยามเพลง อีโม ขึ้นมา อัลบัม พิงเคอร์ตัน ( 1996 ) ของ วีเซอร์ ก็ถือว่าเป็นอัลบัมที่สร้างผลกระทบ ในปี 2000 เมื่อก้าวทศวรรษใหม่ อีโมเป็นแนวเพลงร็อกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแนวเพลงหนึ่ง [ 49 ] ผลงานยอดนิยมที่ประสบความสำเร็จได้ยอดขายได้แก่ บลีดอเมริกา ของ จิมมีอีตเวิลด์ ( 2001 ) และ เดอะเพลซซิสยูแฮฟคัมทูเฟียร์เดอะโมสต์ ของ แดชบอร์ดคอนเฟชชันนอล ( 2003 ) [ 95 ] อีโมแบบใหม่มีซาวด์แบบกระแสหลักมากขึ้นมากกว่าในคริสต์ทศวรรษ 1990 และดูดึงดูดใจต่อวัยรุ่นได้อย่างมาก มากกว่าช่วงก่อร่างสร้างตัวในช่วงก่อนหน้านี้ [ 95 ] ขณะเดียวกัน การใช้คำว่า “ อีโม ” ขยับขยายไปมากกว่าคำว่าแนวเพลง ได้กลายมาเป็นแฟชั่น ทรงผม และดนตรีที่ปลดปล่อยอารมณ์ [ 96 ] ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของอีโมในกระแสหลักกับวงที่เกิดขึ้นใหม่ในคริสต์ทศวรรษ 2000 อาทิวงที่ทำผลงานหลักแผ่นเสียงทองคำขาวหลายชุดอย่าง ฟอลล์เอาต์บอย [ 97 ] และ มายเคมิคอลโรแมนซ์ [ 98 ] รวมถึงวงในกระแสหลักอย่าง พาร์อะมอร์ [ 97 ] และ แพนิก ! แอตเดอะดิสโก [ 99 ]

ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 มีวงออลเทอร์นาทิฟร็อกเกิดขึ้นหลายวง เช่น เดอะสโตรกส์, ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์, อินเตอร์พอล และ เดอะแรปเจอร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญจากโพสต์พังก์และนิวเวฟ ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของ โพสต์พังก์ริไววัล [ 100 ] หลังจากความสำเร็จของวงอย่าง เดอะสโตรกส์ และเดอะไวต์สไตรปส์ก่อนหน้านี้ในทศวรรษก่อน วงออลเทอร์นาทิฟร็อกหน้าใหม่ก็ไหลบ่ามา เช่นวงโพสต์พังก์ริไววัล และศิลปินแนวอื่นอย่าง เดอะคิลเลอส์ และ เยเยเยส์ ประสบความสำเร็จด้านยอดขายช่วงต้นและกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 เชื่อว่าน่าจะเป็นผลจากความสำเร็จของวงเหล่านี้ เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ประกาศไว้ในปี 2004 ว่า “ หลังจากเกือบทศวรรษที่วง แร็ปร็อก และ นูเมทัล มีความโดดเด่น ในที่สุดออลต์-ร็อกก็กลับมาดีอีกครั้ง ” [ 101 ] เทอร์ตีเซคันส์ทูมาส์ ได้รับความนิยมอย่างชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ทศวรรษ 2000 [ 102 ] วงอเมริกันร็อก เรดฮอตชิลีเพปเปอส์ ได้ความนิยมครั้งใหม่ในปี 1999 หลังจากออกอัลบัมชุด แคลิฟอร์นิเคชัน ( 1999 ) ที่ยังคงประสบความสำเร็จล่วงเลยถึงคริสต์ทศวรรษ 2000 สิ่งที่ถูกอ้างถึงเกี่ยวกับออลเทอร์นาทิฟร็อกมากที่สุดในสหรัฐเมื่อผ่านปี 2010 คือแนวเพลง อินดี้ร็อก แต่เดิมคำนี้จำกัดการใช้อยู่แค่เพียงสื่อและช่องออลเทอร์นาทิฟร็อก [ 20 ] สถานีวิทยุในคริสต์ทศวรรษ 2010 เปลี่ยนรูปแบบที่ไกลไปจากออลเทอร์นาทิฟร็อกยิ่งขึ้น แต่เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้หาโฆษณาให้มากกว่ายอดขายของสถานีประเภทท็อป 40/ท็อป 100 [ 103 ] ขณะเดียวก็เกิดความเห็นขัดแย้งในประเด็นออลเทอร์นาทิฟร็อกต่อกลุ่มผู้ฟังเพลงกระแสหลักหลังปี 2010 [ 104 ] [ 105 ] เดฟ โกรล แสดงความเห็นต่อบทความเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2013 บน นิวยอร์กเดลีนิวส์ ที่จั่วหัวว่า ร็อกได้ตายไปแล้ว [ 106 ] “ ขอพูดเองเออเองว่า สำหรับตัวผมแล้ว ร็อกเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่ ” [ 107 ]