k Book ภาพยนตร์ดราม่า-คอมเมดี้ ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ครั้งที่ 91 จากผลงานการกำกับโดย “ ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี ” นำแสดงโดย 2 นักแสดงคุณภาพ “ วิกโก้ มอร์เทนเซน ” ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก Eastern Promises, Captain Fantastic ร่วมด้วย “ มาเฮอร์ชาลา อาลี ” เจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก Moonlight ( ครั้งที่ 89 ) และ รางวัลออสการ์สาขานักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม จาก Green Book ( ครั้งที่ 91 ) และอีกหนึ่งรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
Reading: สัมภาษณ์ 2 นักแสดงนำ ‘Green Book’ เรื่องราวมิตรภาพต่างสีผิว ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ครั้งที่ 91
เรื่องราวเล่าถึงชาย 2 คน ที่มาจากโลก 2 ใบ “ ดร. ดอน เชอร์ลีย์ ” – นักเปียโนคลาสสิคผิวสีระดับโลก ( มาเฮอร์ชาลา อาลี ) และ “ โทนี่ ลิป ” – โชเฟอร์ตัวขาวพี่ล่ำขาใหญ่เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกัน ( วิกโก้ มอร์เทนเซน ) ที่ต้องร่วมเดินทางสู่ตอนใต้ของอเมริกาในยุค 60 ’ randomness อันเป็นยุคที่ประเด็นการเหยียดสีผิวยังคงรุนแรงอยู่ สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ “ สมุดปกเขียว ” ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี เส้นทางการเดินทางครั้งนี้จะสร้างหนึ่งมิตรภาพ ข้ามเส้นแบ่งพรมแดนของสีผิว-ชนชั้น และส่งต่อเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
วิกโก้ มอร์เทนเซน แสดงความยินดีกับ มาเฮอร์ชาลา อาลี ที่คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม
หลังจากที่เปิดตัวภาพยนตร์ในเทศกาลต่างๆ มาแล้วมากมาย “ Green Book กรีนบุ๊ค ” กวาดรางวัลใหญ่มาแล้วถึง 18 รางวัล จาก 16 เทศกาลและสถาบันชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “ รางวัลขวัญใจผู้ชม ” จาก เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต, เทศกาลภาพยนตร์เดนเวอร์, เทศกาลภาพยนตร์มิดเดิลเบิร์ก, เทศกาลภาพยนตร์มิลล์วัลเลย์, เทศกาลภาพยนตร์นิว ออร์ลีนส์, เทศกาลฟิลาเดเฟีย, เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเซนต์หลุยส์, เทศกาลเวอร์จิเนีย รวมถึง “ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ” จาก เทศกาลภาพยนตร์ทวินซิตี้, เทศกาลภาพยนตร์บอสตัน และ National Board of Review โดยเทศกาลภาพยนตร์บอสตันและ Na-tional Board Of Review ยังได้รับ “ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ” ( วิกโก้ มอร์เทนเซน ) ด้วย นอกจากนี้ยังได้ “ รางวัลภาพยนตร์สุดประทับใจ ” จากเทศกาลฮาร์ทแลนด์ฟิล์ม, “ รางวัล Chairman ‘s Vanguard ” จากเทศกาลปาล์มสปริง และ “ รางวัลทีมเขียนบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ” จากฮอลลีวูดฟิล์ม อวอร์ดส์ และยังผงาดต่อเนื่องจากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากเวทีต่างๆอีกมากมาย อาทิเช่น “ Washington Film D.C. Area Film Critics ” และ “ Detroit Film Critics Society Awards ” รวมถึงรางวัลล่าสุดจากงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ ( Golden Globe Awards ) ครั้งที่ 76 กับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสาขาตลก/มิวสิคัล, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นำแสดงโดย มาเฮอร์ชาลา อาลี และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยนิค วัลเลลองก้า, ไบรอัน เฮยส์ เคอร์รี่ และ ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี
เราจะมาพูดคุยกับ 2 นักแสดงนำ “ วิกโก้ มอร์เทนเซน ” และ “ มาเฮอร์ชาลา อาลี ” ถึงตัวตน รวมถึงเรื่องราวของภาพยนตร์ การทำงาน ความประทับใจและมิตรภาพของทั้ง 2 คน
- ชื่อ Green Book คืออะไร พวกคุณอธิบายที่มาของมันให้เราฟังหน่อยได้ไหม?
อาลี: ชื่อ Green Book มาจากชื่อหนังสือThe Negro Motorist Green Book มันคู่มือการเดินทางที่ตีพิมพ์รายปีระหว่าง ปี 1936 ถึง 1966 มันรวบรวมข้อมูลร้านขายของและที่พักที่เปิดให้บริการกับคนดำ มันถูกเรียกสั้นๆ ว่า สมุดปกเขียว มันกลายมาเป็นเครื่องมือเอาตัวรอดของคนแอฟริกันอเมริกันที่เดินทางด้วยรถ ในตอนแรกมันครอบคลุมเฉพาะพื้นที่นิวยอร์ก ต่อมามันขยายพื้นที่ไปทั่วอเมริกาเหนือ ไปถึงเบอร์มิวด้านู้นเลย มันกลายมาเป็นของมีค่ามากที่ทางใต้ของอเมริกา เพราะเมื่อก่อนแถวนั้นปกครองด้วยกฏหมาย จิม โครว์
มอร์เทนเซน: มันมีขายที่ปั้มเอสโซ่ แล้วส่งให้คนที่เป็นสมาชิกถึงบ้านเลย แต่พอประธานาธิบดี แลงดอน บี. จอห์นสัน ลงนามในกฏหมายสิทธิพลเมืองในปี 1964 ทำให้กฏหมายของจิม โครว์ขัดกับหลักรัฐธรรมมนูญ สมุดปกเขียวเล่มนี้จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
- พวกคุณก้าวเข้ามารับบทนี้่ได้อย่างไร?
มอร์เทนเซน: พีท ( ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี ) ส่งบทมาให้ผมอ่าน เขาบอกผมว่าผมเป็นตัวเลือกเดียวของเขาสำหรับบทนี้ สองวันหลังจากที่เขาส่งมา ผมโทรหาพีท ผมบอกเขาว่า “ ผมชอบตัวละครนี้นะ ผมยังชอบเรื่องราวของสองสุภาพบุรุษด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมคือคนที่ใช่สำหรับบทนี้หรือเปล่า ผมไม่เคยเล่นอะไรแนวนี้มาก่อน แต่เขายืนกรานให้ผมเล่น ผมเลยตอบเขาว่า “ งั้นให้ผมอ่านดูอีกรอบก่อนแล้วกัน ผมอ่านซ้ำอีกรอบแล้วรอบเล่า ผมไม่สามารถเอาเรื่องนี้ออกจากความคิดได้ ผมเลยโทรหาพีทอีกที เราคุยกันยาวเลย ลึกๆ แล้วผมกลัวว่าจะถ่ายทอดตัวละครนี้ออกไม่มาไม่ตรงกับความตั้งใจของทีมงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผมจะไม่ลังเลพร้อมเดินหน้าต่อแต่ความกังวลเป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างสรรค์อยู่แล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปี ผมคิดว่าความกังวลเป็นสัญญาณที่ดีนะ เพราะมันเหมือนกำลังบอกว่าบางทีผมควรจะเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ดู ผมเลยรับเล่น ” แม้แต่วันเปิดกล้องผมยังกังวลเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่เลยแต่พอเราเริ่มทำงานกัน ผมเริ่มใช้ข้อมูลที่ผมเรียนรู้จากปูมหลังของโทนี่ ลิป ได้ทำความรู้จักกับมาเฮอร์ชาลาและพีทตอนทำงาน ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
อาลี: ผมก้าวเข้ามารับบทนี้เพราะชอบความท้าทายที่จะได้เล่นเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งในตัวดอน เชอร์ลีที่สุดคือความซับซ้อนของเขา เขาต้องรับมือกับปัญหาหลายเรื่อง ในขณะเดียวกันเขาซ่อนความสามารถอันสุดยอดอยู่ข้างใน บทนี้มีอะไรให้ผมได้ลองเล่นเยอะมากๆ ผมเลยสนใจบทนี้
Read more: Ex on the Beach (British series 6)
- แล้วตัวละครของพวกคุณล่ะ?
มอร์เทนเซน: โทนี่โตมาในย่านบรองซ์ เขาได้งานที่ไนท์คลับโคปาคาบาน่า เขาทำงานที่นี่ถึง 12 ปี ต้องจัดการกับพวกลูกค้าขี้เมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือเด็กแก๊ง ทั้ง แฟรงค์ ซินาตร้า โทนี่ เบนเน็ตต์ และบ็อบบี้ ดาริน แม้ว่าเขาจะเลิกเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นเกรดเจ็ด แต่เขาก็ฉลาดและมีไหวพริบ เขาได้ชื่อเล่นนี้มาเพราะเขาสามารถพูดจูงใจให้ใครก็ตามทำตามแบบที่เขาต้องการทุกอย่าง เรื่องเกิดขึ้นเพราะโทนี่ต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัว พวกเขามีลูกสองคน สภาพการเงินไม่ค่อยดี แถมคลับที่โทนี่ทำงานปิดปรับปรุงอีก เขาต้องหางาน เขามีตัวเลือกอยู่บ้าง แต่งานอื่นๆ มันต้องไปเกี่ยวกับพวกนอกกฏหมาย โทนี่ปฏิเสธงานอื่นแล้วไปเลือกขับรถให้ดร.เชอร์ลีแทน
ดร.ไม่เหมือนหนุ่มผิวดำคนไหนเหมือนกับพวกที่โทนี่เคยเจอมาในนิวยอร์ก เขาไม่เคยรู้จักคนแบบนี้ ตอนแรกโทนี่คิดว่าหมอนี่เป็นพวกหัวสูง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ โทนี่อาจไม่ได้ฉลาดเท่าดร.เชอร์ลี แต่เขามีสัญชาตญาณเฉียบคม มีความเป็นนักเลง เขาบอกได้ว่าดร.เชอร์ลีมองตัวเขาต่ำกว่าตัวเองหลายๆ ด้าน และขณะที่ดร.คิดว่าโทนี่มีประโยชน์เพราะเขาเป็นทั้งบอร์ดี้การ์ดและคนขับรถ แต่โทนี่เป็นคนน่ารำคาญมาก โทนี่จ้อไม่หยุดในรถ สูบบุหรี่ กินไม่หยุด ชอบถามเรื่องส่วนตัว ปกติคนขับรถของดร.เชอร์ลีมักจะสุภาพ พูดเมื่อถูกถามเท่านั้น คุณจะเห็นมุมมองของทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
อาลี: ดร.เชอร์ลีคืออัจฉริยะ เขาเป็นคนผิวดำที่ไม่เหมือนกับคนผิวดำคนอื่นๆ ในเวลานั้นเชอร์ลีเข้าเรียนที่สถาบันดนตรีเลนินกราดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกร่วมกับวงซิมโฟนีบอสตันตอนอายุ 18 ได้ปริญญาหลายใบ พูดได้หลายภาษา ในปี 1955 อัลบั้มแจ้งเกิดของเขาวางแผงกับค่ายCadence Records ใช้ชื่ออัลบั้มว่าTonal Expressions เขาถูกเจ้าของค่ายกีดกันไม่ให้ทำอาชีพสายดนตรีคลาสสิก โดยแนะนำให้เขาเดินสายดนตรีป๊อปจะรุ่งกว่า เพราะไม่คิดว่าผู้ฟังผิวขาวจะยอมรับนักดนตรีผิวดำเล่นเพลงคลาสสิกได้ เขานำความเป็นดนตรีคลาสสิกใส่ลงไปในสิ่งที่จัดว่าเป็น ‘ ดนตรีคนผิวดำ ’ ในเวลานั้น ซึ่งมันเจ๋งไปเลย แต่นั่นมันทำร้ายจิตใจเขาพอสมควรเช่นกัน
- พวกคุณเตรียมตัวเพื่อรับบทในเรื่องอย่างไร?
มอร์เทนเซน: หลายเดือนก่อนเปิดกล้อง ผมขึ้นเครื่องจากบ้านที่สเปนมานิวยอร์ก แล้วขับรถต่อไปยังทะเลสาปแฟรงคลินในนิวเจอร์ซีย์ เพื่อพบกับครอบครัววัลเลลองก้า นิค และ แฟรงค์ น้องชาย และ รูดี้ ผู้เป็นอา ที่ภัตราคารลิปซึ่งแฟรงค์เป็นผู้ดูแล พวกเขาดีต่อผมตั้งแต่แรกเลยผมคิดว่าอาจจะใช้เวลาที่นี่ซักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่กลายเป็นว่าเรานั่งกินอาหารอิตาเลียนกันยาวเกือบครึ่งวัน เราคุยกันออกรสมาก ผมตระหนักได้ว่าโทนี่มีความคล้ายพ่อผมเองมากทีเดียว แม้ว่าบ้านวัลเลลองก้ากับมอร์เทนเซนจะมาจากคนละที่ มีประวัติต่างกัน แต่พวกเราเข้าใจกันและกัน เราต่างมีอารมณ์ขัน พ่อผมมาจากเดนมาร์กแต่มีมุมมองต่อด้านเชื้อชาติและการเมือง เขาเคยเป็นชนชั้นแรงงาน มีความหัวรั้นบ้าง แต่แน่นอนเขาเป็นคนน่ารัก มันเหมือนกับที่ครอบครัวนิคเล่าตัวตนของโทนี่ให้ผมฟังเลย มุกที่โทนี่เล่น นิสัยเขา ความขัดเแย้งในตัวเขา มันคล้ายกับพ่อผมมาก เราหัวเราะและโม้เรื่องพ่อของตัวเองให้กันและกันฟัง การที่พวกเรามีอะไรเหมือนกันคือจุดเริ่มต้นของผมเลย นอกจากนั้นผมไปที่ย่านบรองซ์ในนิวยอร์กที่โตที่ขึ้นมา ผมใช้เวลาคุยกับคนเก่าคนแก่ละแวกนั้น ว่าเมื่อก่อนมันเป็นยังไง ผมยังตะลุยดูซีรีย์ The Sopranos ซึ่งไม่เคยดูมาก่อนด้วย
อาลี: หนึ่งในความยากในการเตรียมตัวเพื่อรับบทดร.เชอร์ลีคือมันแทบไม่มีฟุตเทจของเขาเก็บไว้เลย ผมได้ข้อมูลจากการพูดคุยกับทีมงานดูสารคดีเกี่ยวกับคาร์เนกี้ ฮอลล์ ที่ซึ่งเชอร์ลีเป็นศิลปินประจำและพักอยู่ที่บ้านกึ่งสตูดิโอชั้นบนร่วมกับศิลปินคนอื่นอีก 60คนผมใช้ฟุตเทจของเขาในสารคดีเรื่องนี้มาปรับใช้ในการแสดงให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ แสดงให้คนดูได้เห็นถึงตัวตนของชายคนที่ผมได้ดูในฟุตเทจ “ การที่ผมได้เห็นเขาขณะยังมีชีวิต เห็นวิธีที่เขาพูด หรือเคลื่อนไหว มันช่วยได้เยอะเลยทีเดียว มันเหมือนทำให้ผมได้รู้จักเขามากขึ้น แต่วิธีที่ทำให้ผมรู้จักตัวตนของเขาได้ดีที่สุดคือการฟังผลงานของเขา ผมรู้สึกถึงความยอดเยี่ยม ความเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบผ่านบทเพลงของเขา ผมอยากรู้ว่ามันรู้สึกยังไงเวลานั่งเล่นเปียโนแล้วพยายามเล่นให้ได้เหมือนกับความสามารถของตัวละครนี้มากที่สุด ถึงแม้ผมรู้ว่าไม่มีทางเทียบเข้าได้ก็ตาม
- ด้วยความที่ Green Book เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต พวกคุณคิดว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรที่จะโดนใจคนรุ่นนี้
มอร์เทนเซน: นี่เป็นหนังที่เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างชายผิวดำและผิวขาวก่อนที่จะมีการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิพลเมือง มีฉากหลังเป็นช่วงที่ความแตกต่างระหว่างชาติพันธ์ุตึงเครียดที่สุดยุคหนึ่งในหลายๆ ด้าน เรายังคงต้องเจอกับปัญหาแบบในหนังเรื่องนี้นำเสนอในยุคปัจจุบัน มันเหมือนเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1962 ผมว่าผู้ชมจะได้มุมมองใหม่ๆ ไปพร้อมกับความสนุก
อาลี: ผมเชื่อว่านี่คือผลงานชิ้นโบว์แดงที่ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ เกี่ยวกับวิถีการใช้ชีวิต ทุกคนโดยเฉพาะกับวัยรุ่นควรจะดูหนังเรื่องนี้ถ้าอยากจะเปลี่ยนโลก มันต้องเริ่มที่ตัวคุณก่อน มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับความดี ความดีที่แท้จริง มันแสดงให้เห็นว่าถ้าคุณพยายาม คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และการเปลี่ยนแปลงนั้นจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างเปลี่ยนตาม ดร.เชอร์ลีมีศักยาภาพทำการทำเรื่องยิ่งใหญ่มากมาย แต่เพราะในเวลานั้นเขาต้องใช้ชีวิตในกรอบจำกัดในฐานะนักดนตรีผิวดำที่ถูกฝึกมาในสายดนตรีคลาสสิก แต่ไม่สามารถเล่นแนวนั้นได้ ผมว่าเขาไม่เคยได้ไปถึงขีดสุดของความสามารถตัวเองเลยด้วยซ้ำ กรอบสังคมที่บีบบังคับคนเรามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอแม้แต่ชีวิตในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน
- คุณประทับใจฉากไหนในเรื่องเป็นพิเศษหรือไม่?
อาลี: มันเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความโดดเดียวของ ดร.เชอร์ลี โทนี่ต้องเอารถจอดข้างทางเพราะรถเสียบนถนนซักแห่งทางใต้ ระหว่างที่โทนี่ซ่อมรถ ดร.เชอร์ลีมองออกไปนอกหน้าต่าง ข้ามถนนไป เขาเห็นคนงานผิวดำทำงานอยู่ในไร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางใต้มาเป็นร้อยๆ ปี ขัดกับตัวตนของดร.เชอร์ลี ที่เป็นสุภาพบุรุษแอฟริกันอเมริกันแต่งตัวโก้ มีโชเฟอร์เป็นคนขาว เขามองคนงานที่ทำงานหลังขดหลังแข็งกลางแดด คนงานก็หันมามองเขาเช่นกัน พวกเขาไม่เคยเห็นคนดำแบบเชอร์ลีมาก่อน ซีนนี้ทั้งซีนไม่มีคำพูดเลยแต่ภาพมันแทนถ้อยคำเป็นล้านคำ
มอร์เทนเซน: ก่อนที่โทนี่ออกเดินทาง เมียเขาบอกให้เขาสัญญาว่าจะเขียนจดหมายหาเธอทุกครั้งที่ทำได้ มันมีช่วงเวลาที่งดงามตอนที่โทนี่เขียนจดหมายถึงโดโลเรส ดอน เชอร์ลีหยิบจดหมายมาเริ่มอ่าน มันเหมือนเด็กอายุ 14 เขียนเลย ‘ ผมหม่ำแฮมเบอร์เกอร์ เราขับผ่านถนนสวยๆ ’ เชอร์ลีวางมันลงแล้วบอกว่า ‘ คุณเขียนได้ดีกว่านี้ ’ เขาเริ่มสอนวิธีเขียนให้โทนี่ จนโทนี่กลายเป็นเซียนไปเลย ซีนนั้นมันทำให้คนดูได้เห็นเคมีระหว่างผมกับมาเฮอร์ชาลา
- ในจอคุณดูทำงานเข้าขากันจริงๆ แล้วนอกจอพวกคุณเป็นอย่างไรบ้าง?
อาลี: เรารู้จักกันก่อนเข้ามาร่วมทำงานใน Green Book พวกเราถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปี 2017 เขาเข้าชิงจากบทนำใน Captain Fantastic ผมจากบทสมทบใน Ali for his supporting role in Moonlight ช่วงนั้นเราเจอกันตามงานประกาศรางวัลตลอด
มอร์เทนเซน: เราซี้กันตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกัน มีปาร์ตี้ค็อกเทลครั้งหนึ่งที่มีสื่อเต็มไปหมดเลย เรามองหน้ากันแล้วกัน ผมรู้สึกเหมือนรู้จักเขามานานแล้วเลย ในสถานการณ์แบบนั้นปกติเราไม่ได้คุยกับใครนานๆ หรอก แต่กลายเป็นว่าเราได้คุยกันเกือบครึ่งชั่วโมง เราพูดว่าพวกเราน่าจะได้มาร่วมงานด้วยกันซักวันนึงนะ จากนั้นเราเจอกันบ้างแต่ไม่ได้หยุดคุยกัน พอพีทบอกผมว่า ‘ มาเฮอร์ชาลาเล่นเป็นดร.เชอร์ลี ’ ผมคิดว่า “ โอกาสมาแล้ว ’ ” มาเฮอร์ชาลาบอกว่า “ นี่ไงได้เล่นด้วยกันแล้ว สมพรปากเลยไหมล่ะ ” หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดจากการทำงานกับมาเฮอร์ชาลาคือนอกจากที่เราเข้ากันได้ดีแล้วแต่เขาเป็นนักแสดงที่สง่างามมาก สัญชาตญาณเขาแม่นยำ เขาชอบทำงานร่วมกับทีม ซึ่งเป็นสไตล์ที่ผมชอบ ในกองอื่นบางครั้งมันมีการข่มกันระหว่างนักแสดงซึ่งมันไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่ ซึ่งไม่มีอะไรแบบนี้ระหว่างผมกับมาเฮอร์ชาลาเลย
อาลี: ผมไม่รู้ว่าเรามีเวลาพอให้ผมเล่าถึงความเจ๋งของวิกโก้หรือเปล่า คุณแทบหานักแสดงที่ใส่ใจรายละเอียด เก็บหมดทุกเม็ดแบบนี้ไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว เขาทุ่มเทให้กับตัวละครสุดๆ ผมว่านั่นคือความสุขของเขา ผมสนุกกับการทำงานกับเขาในบทโทนี่ ลิปมาก
เตรียมพิสูจน์ความเยี่ยมของภาพยนตร์ตัวเก็งรางวัล “ GREEN BOOK กรีนบุ๊ค ” ผลงานที่จะมาจุดพลังใจ เปิดมุมมองใหม่ สร้างเสียงหัวเราะเปื้อนน้ำตารับปีใหม่ เปิดรอบพิเศษ 27 ธันวาคมนี้ รอบ 2 ทุ่มเป็นต้นไป และ ฉายจริง 3 มกราคม 2019 ในโรงภาพยนตร์