พังก์ร็อก ( อังกฤษ : punk rocker rock candy ) เป็นดนตรี ร็อก ประเภทหนึ่ง ( โดยมากมักเรียกสั้น ๆ ว่า พังก์ ) มีการเคลื่อนไหวและเป็นที่รู้จักในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 พังก์ร็อกได้พัฒนาระหว่างปี ค.ศ. 1974 และ ค.ศ. 1977 ใน สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และ ออสเตรเลีย โดยมีวงอย่าง เดอะราโมนส์, เซ็กซ์พิสทอลส์ และ เดอะแคลช ที่เป็นที่รู้จักในฐานะแนวหน้าของดนตรีประเภทนี้ ลักษณะดนตรีแบบ พังก์ร็อกมีลักษณะท่วงทำนองที่รุนแรง หยาบกระด้าง ด้วยความขาดทักษะของการเล่นดนตรี ส่วนการร้องก็จะเป็น “ ตะโกน ” หรือ “ บ่น ” และแฝงนัยยะของ “ การต่อต้าน ” และการยกย่อง “ ความเป็นเลิศ ” [ 1 ] เครื่องดนตรีจะประกอบด้วย กีตาร์ไฟฟ้า 1 หรือ 2 ตัว, เบสไฟฟ้าและชุดกลอง มักมีการเล่นแบบ 2 คอร์ด เพลง พังก์มักมีความยาวระหว่าง 2 ถึง 2 นาทีครึ่ง มีบางเพลงมีความยาวน้อยกว่า 1 นาทีก็มี เพลงพังก์ในช่วงแรกรับอิทธิพลจาก ร็อกแอนด์โรล คือมีท่อนประสานเสียง พังก์ร็อกกลายเป็นกระแสนิยมหลักใน สหราชอาณาจักร ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 แต่ความโด่งดังในที่อื่นมีในจำกัด จนกระทั่งทศวรรษที่ 80 พังก์ร็อกได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเล็ก ๆ ทั่วทุกมุมโลก ส่วนมากจะถูกปฏิเสธจากดนตรีกระแสหลัก ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 1970 ดนตรีพังก์ร็อกได้แตกแยกแขนง ไปหลากหลายทิศทาง เช่นเพลงแนว นิวเวฟ, โพสต์พังก์ โดยหลายวงได้ทำการทดลองแนวดนตรีไปในทิศทางอื่น เช่นแนว ฮาร์ดคอร์พังก์ และ โอย ! และ อะนาร์โค-พังก์ เป็นต้น

และพังก์ร็อกยุคใหม่ได้พัฒนาไปอีกขึ้น โดยเพลงแนว ออลเทอร์นาทิฟร็อก ได้รับความนิยมเหมือนตอนที่ได้พังก์ร็อกรับความนิยมในช่วงแรก
พังก์ยุคแรกมีจุดความก้าวร้าว ซึ่งดูไกลจากร็อกในต้นยุคทศวรรษที่ 1970 ที่อ่อนไหวและฟังดูรื่นหู [ 2 ] ทอมมี ราโมน มือกลองวง เดอะ ราโมนส์ เคยกล่าวไว้ว่า “ ในช่วงแรกของการเริ่มต้น วงยุค 1960 หลายวง ได้ปฏิรูปและมีความน่าตื่นเต้น แต่โชคไม่ดีที่อยู่ได้ไม่นาน พวกเรารู้ว่าต้องการสิ่งที่ต้องการคือความบริสุทธิ์ และไม่ต้องการ ร็อกแอนด์โรล “ [ 3 ] จอห์น โฮล์มสตรอม บรรณาธิการนิตยสาร พังก์ แฟนไซน์ให้ความเห็นกับการเกิดของพังก์ร็อกว่า “ พังก์ร็อกเกิดขึ้นเพราะดนตรีร็อกในช่วงนั้นดูน่าเบื่อ อย่าง บิลลี โจเอล, ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเกล ที่ถูกเรียกว่าร็อกแอนด์โรล โดยร็อกแอนด์โรลมีความหมายกับหลาย ๆ คนว่า ดนตรีขบถและป่าเถื่อน ” [ 4 ] ดนตรีพังก์นั้นถือกำเนิดมาจากความคิดของคนหนุ่มชนชั้นกลางจนถึงชนชั้นกรรมาชีพโดยมีความปรารถนาที่จะหลีกหนีสังคมที่ไม่เคยเห็นอกเห็นใจหรือช่วยเหลือเกื้อหนุนต่อพวกเขาเลยและคิดว่าสิ่งที่พวกเขาคิดพูดและแสดงออกนั้น ไร้สาระโดยสิ้นเชิง [ 5 ] ในคำวิจารณ์ของโรเบิร์ต คริสต์เกาอธิบายไว้ว่า “ มันก็คือวัฒนธรรมย่อยอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธ การเมือง ความสมบูรณ์แบบ และ นิทานปรัมปรา งี่เง่าของพวก ฮิปปี้ “ [ 6 ] ในทางตรงกันข้ามแพตติ สมิธเอ่ยในรายการสารคดี 25 ปีของพังก์ว่า “ พังก์และฮิปปี้มีจุดร่วมเหมือนกันคือ ต่อต้านร็อกแอนด์โรล ในบางครั้งก็ปฏิเสธไม่เฉพาะร็อกกระแสหลักและวัฒนธรรม ” [ 7 ] ในปี ค.ศ. 1977 เมื่อพังก์ก้าวสู่กระแสหลักในสหราชอาณาจักร และถูกเรียกว่า “ ปีศูนย์ ” ( Year Zero ) [ 8 ] การหวนสู่ความหลังถูกทิ้งไป แต่ได้รับแนวความคิดแบบไร้จริยธรรมเข้าไป โดยวง เซ็กซ์พิสทอลส์ มีคำขวัญว่า “ ไร้อนาคต ” ( No Future ) [ 9 ] วงพังก์มักเลียนแบบโครงสร้างดนตรีที่เปลือยเปล่าและการเรียบเรียงดนตรีของดนตรีแนว การาจร็อก ในช่วงทศวรรรษที่ 1960 [ 10 ] นิตยสารพังก์ ไซด์เบิร์นส ในปี 1976 ได้ล้อเลียนโดยภาพวาด 3 คอร์ด มีคำอธิบายว่า “ นี่คือคอร์ด นี่อีกคอร์ด และนี่คอร์ดที่สาม ตอนนี้ฟอร์มวงได้แล้ว ” [ 11 ] เครื่องดนตรีจะประกอบด้วย กีตาร์ไฟฟ้า 1 หรือ 2 ตัว, เบสไฟฟ้า, ชุดกลอง ในช่วงแรกพังก์ร็อกดูสับสน จอห์น โฮล์มสตรอม กล่าวว่า “ พังก์คือร็อกแอนด์โรลในสายตาคนที่ไม่รู้เรื่องดนตรีมากนัก แต่รู้สึกได้ถึงความต้องการที่จะปลดปล่อยตัวเองในดนตรี ” [ 12 ] การร้องของพังก์บางครั้งฟังเหมือนเสียงขึ้นจมูก และบ่อยครั้งที่จะตะโกนแทนที่จะร้อง ความซับซ้อนของกีตาร์บ่งบอกถึงความหลงผิดในตัวเอง [ 13 ] เบสกีตาร์มักจะเป็นพื้นฐานทั่วไปโดยมีส่วนช่วยพยุงเมโลดี้ของ เพลง มีมือเบสวงพังก์บางวงอย่าง ไมค์ วัตต์ และ ฌอง-แจ็คส์ เบอร์เนล แห่งวง เดอะสเตรนเจอร์ส จะเน้นเบสขึ้นมา มือเบสหลาย ๆ วงมักใช้ปิ๊กมากกว่าการใช้นิ้วเนื่องจากความรวดเร็วต่อเนื่องของโน้ต กลอง โดยทั่วไปจะหนักและดูแห้ง จะมีการปรับแต่งเพียงเล็กน้อย เพลงพังก์มักมีความยาวระหว่าง 2 ถึง 2 นาทีครึ่ง มีบางเพลงมีความยาวน้อยกว่า 1 นาทีก็มี เพลงพังก์ในช่วงแรกรับอิทธิพลจากร็อกแอนด์โรลคือมีท่อนประสานเสียง อย่างไรก็ตามวงพังก์รุ่นใหม่อาจรวมแนวเพลง โพสต์พังก์ และ ฮาร์ดคอร์พังก์ จะไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ดังกล่าว ฮาร์ดคอร์พังก์ กลองจะเร็วขึ้น เนื้อเพลงจะกึ่งตะโกน เสียงกีตาร์ฟังดูก้าวร้าว [ 14 ] ภาคเนื้อร้องโดยทั่วไปจะเป็นการพูดกันตรง ๆ โดยจะวิจารณ์สังคมการเมือง [ 15 ] เช่นเพลง Career Opportunities ของวง เดอะ แคลช, Right to Work ของวงเชลซี เป็นต้น ยังมีเพลงที่มีเนื้อหาตึงเครียดในลักษณะต่อต้านความรัก พรรณาถึงความสัมพันธ์ของชายหญิงและเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างเพลง Love Comes in Spurts ของวง เดอะวอยดอยด์ส วี. เวลกล่าวว่า “ พังก์เป็นนักปฏิวัติวัฒนธรรม เผชิญหน้ากับความมืดของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พวก อนุรักษนิยม ข้อห้ามทางเพศ ได้ขุดในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนออกมาโดยคนรุ่นใหม่อย่างสมบูรณ์ ” [ 16 ] รูปแบบการแต่งกายของชาวพังก์ พวกเขาใส่ ที-เชิร์ต สวม แจ็คเก็ต มอเตอร์ไซค์ กางเกงยีนส์ เป็นการยกย่องอเมริกันกรีซเซอร์ในยุคทศวรรษที่ 1950 ในยุคทศวรรษที่ 1980 การสัก และการเจาะได้รับความนิยมในหมู่นักดนตรีพังก์และแฟนเพลง
ในช่วงต้นและกลางยุคทศวรรษที่ 1960 วงดนตรีการาจร็อก ได้ยอมรับว่าเป็นต้นกำเนิดของดนตรีพังก์ เริ่มต้นในหลาย ๆ ที่ทาง อเมริกาเหนือ วง เดอะคิงส์เม็น ( The Kingsmen ) การาจร็อกจาก พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ได้เปิดตัวด้วยเพลงดัง Louie, Louie เพลงเก่าที่นำมาทำใหม่ในรูปแบบพังก์ร็อก [ 17 ] รูปแบบซาวนด์ที่น้อยของวงการาจร็อกหลาย ๆ วงได้รับอิทธิพลมาจากวง เดอะคิงก์ส ( The Kinks ) กับเพลงดัง You Really Got Me และ All Day and All of the Night ในปี 1964 ได้ถูกบรรยายว่าเป็นต้นแบบของเพลง 3 คอร์ด ของวงเดอะ ราโมนส์ในปี ค.ศ. 1978 กับเพลง I Don’t Want You [ 18 ] วง เดอะ ฮู ( The Who ) กับเพลง My Generation ก็ได้อิทธิพลมาจากวง เดอะคิงก์ส [ 19 ] ซึ่งวงเดอะฮูและ เดอะสมอลล์เฟสเซส ( The Small Faces ) เป็นวงร็อกยุคก่อนหน้าที่เป็นที่รู้ดีกันว่ามีอิทธิพลให้กับวง เซ็กซ์ พิสทอลส์ [ 20 ] ในปี 1966 ม็อด ได้ลดความนิยมในสหรัฐอเมริกาไป การาจร็อกในอเมริกาเสื่อมความนิยมไปในไม่กี่ปี แต่แนวดนตรีใหม่ที่มาแทนคือ การาจ ซิช ( garage psych ) เช่นวง เดอะซีดส์ ( The Seeds ) ที่ต่อมาเป็นที่รู้จักในแนว โปรโตพังก์
ในปี ค.ศ. 1969 มีวงจากมิชิแกน 2 วงได้ออกอัลบั้มแนวโปรโตพังก์ ถือได้ว่า มิชิแกน มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์กลางของโปรโตพังก์ ต่อมาวงเอ็มซีไฟฟ์ ( MC5 ) จากดีทรอยต์ ออกอัลบั้ม Kick Out the Jams “ ทางวงได้ตั้งใจให้ออกมาหยาบและดิบ ” เขียนโดย นิตยสารโรลลิ่ง สโตน โดย เลสเตอร์ แบงส์ “ เพลงส่วนใหญ่จะค่อนข้างไม่แตกต่างกันเลย เพลงมีโครงสร้าง 2 คอร์ดแบบดิบ ๆ คุณจะเคยได้ยินมาก่อนกับวงอย่าง เดอะซีดส์ ( The Seeds ), บลู เชียร์ ( Blue Cheer ), เควสชันมาร์กแอนด์เดอะมิสทีเรียนส์ ( Question Mark and the Mysterians ) และ เดอะคิงส์เม็น ( The Kingsmen ) ความแตกต่างคือ การหลอกลวง โดยปกปิดบางส่วนของความซ้ำซากด้วยเสียงที่น่าเกลียด ในท่อน “ I Want You correct nowadays ” ฟังดูเหมือนเพลง I Want You ของวง เดอะทร็อกส์ ( The Troggs ) ” [ 21 ] ฤดูร้อนในปีนั้นวง เดอะสตูเจดส์ ( The Stooges ) ได้ออกอัลบั้มแรกโดยมี อิกกี ป็อป เป็นนักร้องนำอัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดย จอห์น เคล อดีตสมาชิกวงร็อก เดอะเวลเวตอันเดอร์กราวด์ ( The Velvet Underground ) อัลบั้มนี้เป็นแรงบันดาลใจไม่ทางตรงก็ทางอ้อมให้กับการเกิดของดนตรีพังก์ [ 22 ] ทางฝั่งตะวันออกวง นิวยอร์กดอลส์ ( New York Dolls ) ได้ถือกำเนิดแฟชั่นร็อกแอนด์โรลแบบดุร้าย ที่ต่อมารู้จักกันในนามของ แกลมพังก์ ( glam kindling ) [ 23 ] ในรัฐโอไฮโอวงร็อกอันเดอร์กราวนด์ได้ปรากฏออกมา นำโดย ดีโว ( Devo ) จากเมื่อง แอเคริน และ เคนต์ เดอะอิเล็กทริกอีลส์ ( The Electric Eels ), มิเรอส์ ( Mirrors ) และ ร็อกเก็ตฟอร์มเดอะทูมส์ ( Rocket from the Tombs ) จากเมื่อง คลีฟแลนด์ ในลอนดอน ดนตรีร็อกได้กลับคืนสู่สามัญ และได้ปูพื้นให้นักดนตรีหลายคนสู่วงการเพลงพังก์เช่นวง เดอะสเตรงเลอส์ ( The Stranglers ), ค็อคสปาร์เรอร์ ( Cock Sparrer ) และ โจ สตรัมเมอร์ ซึ่งต่อมาคือสมาชิกวงเดอะแคลช [ 24 ] ในออสเตรเลีย วงการาจร็อกรุ่นใหม่หลายวงได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับ เดอะสตูเจดส์ และ เอ็มซีไฟฟ์ ( MC5 ) ที่มีซาวน์ดนตรีที่ใกล้เคียงกับความเป็นพังก์ที่สุดในบริสเบนวง เดอะเซนส์ ( The Saints ) ได้เล่นเพลงดิบ ๆแบบอังกฤษ และได้ทัวร์ใน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ในปี 1965 [ 25 ] สถานีวิทยุเบิร์ดแมนได้เล่นเพลงการแสดงสดเล็ก ๆ นี้ด้วย แต่ความคลั่งไคล้ได้ตามมาถึง ซิดนีย์
ก่อนกลางทศวรรษที่ 1970 คำว่าพังก์ เป็นคำเก่าแก่ที่มีความหมายคลุมเครือ มักใช้อธิบายถึงผู้ชายหากิน พวก นักเลง อันธพาล นักเลงหัวไม้ [ 26 ] เลคส์ แม็คนีลอธิบายว่า “ เมื่อคุณดู รายการโทรทัศน์ เกี่ยวการตามล่าคนร้ายของ ตำรวจ เวลาตำรวจจับผู้ร้าย พวกเค้ามักจะพูดว่า ‘you dirty Punk ‘ ถ้า ครู เรียกคุณอย่างนั้นก็หมายความว่า คุณต่ำที่สุด ” [ 27 ] ความหมายของคำว่าพังก์ชัดเจนขึ้นโดย นักวิจารณ์เพลงร็อก เดฟ มาร์ชในปี 1970 เมื่อเขาได้อธิบายลักษณะดนตรีและทัศนคติของวงเควสชัน มาร์ค แอนด์ เดอะ มิสทีเรียนส์ [ 28 ] เดือน มิถุนายน ค.ศ. 1972 นิตยสารแฟลชได้จัดอันดับ “ เพลงพังก์สิบอันดับ ” แห่งทศวรรษที่ 60 [ 29 ] ในปี 1975 พังก์ได้ใช้อธิบายถึงการกระทำหลายๆอย่างของวง แพตตีสมิธกรุป ( Patti Smith Group ), เดอะ เบย์ซิตีโรลเลอส์ ( Bay City Rollers ) และ บรูซ สปริงส์ทีน [ 30 ] ที่ นิวยอร์ก คลับ CBGB คลับที่หาแนวเพลงใหม่ๆ เจ้าของคลับคือ ฮิลลี คริสตัล ส่วนจอห์น โฮล์มสตรอมได้ให้เครดิต นิตยสารอควาเรียนเกี่ยวกับพังก์ว่า “ เป็นการอธิบายว่าอะไรเกิดขึ้นใน CBGB บ้าง ” [ 31 ] ซึ่งต่อมา โฮล์มสตรอมร่วมกับ แม็คนีล และ เก็ด ดันน์ ทำนิตยสารที่ชื่อว่า “ พังก์ ” เปิดตัวปลายปี 1975 ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของคำว่าพังก์ [ 32 ] โฮล์มสตรอมกล่าวว่า “ มันเป็นอะไรที่ดีที่คำนี้มันดังขึ้นมา เราคิดคำนี้ได้ก่อนที่ใครจะคิดได้ เราต้องการขจัดร็อกแอนด์โรลงี่เง่าออกไป สิ่งที่เราต้องการคือความสนุกและน่าตื่นเต้น ” [ 33 ]
คลับ CBGB ในนิวยอร์ก ต้นกำเนิดของนิวยอร์กพังก์สามารถสืบต้นตอไปถึงปลายยุคทวรรษที่ 1960 กับวัฒนธรรมขยะ และ ต้นยุคทวรรษที่ 1970 กับการเคลื่อนไหวของ อันเดอร์กราวนด์ร็อก มีจุดศูนย์กลางอยู่แถว เมอร์เซอร์ อาร์ทส เซ็นเตอร์ ใน กรีนิช วิลเลจที่ที่ นิวยอร์ก ดอลส์ได้แสดง [ 34 ] ในปี 1974 CBGB ได้กลายเป็นสถานที่ประจำของวงดนตรีที่เล่นเพลงเสียงดัง ๆ และดนตรีที่ซับซ้อน ริชาร์ด เฮลล์ได้ริเริ่มรูปแบบการแต่งตัวแบบ แจ็คเก็ต หนัง เสื้อทีเชิร์ตขาดๆ กางเกงขาสั้น ทรงผมที่ดูสกปรก [ 35 ] ต้นปี 1975 เฮลล์ได้เขียนเพลง Blank Generation โดยได้บันทึกเสียงกับวงใหม่ เดอะ วอยดอยด์ส ที่ออกวางขายในปี 1976 [ 36 ] เดือน สิงหาคม 1975 บลอนดีย์ได้ออกซิงเกิล Little Johnny Jewel คำวิจารณ์ของ จอห์น วอล์กเกอร์อธิบายว่า “ นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเพลงในนิวยอร์ก ” [ 37 ] อีกคนนึงที่เล่นประจำที่คลับนี้คือ แพตติ สมิธ ที่ได้พัฒนาในรูปแบบของผู้หญิง อัลบั้มแรกคืออัลบั้ม Horses ที่โปรดิวซ์โดย จอห์น เคล ออกวางจำหน่ายเดือนพฤศจิกายน 1975 [ 38 ] ไซร์เออเรเคิดส์ ได้ออกแผ่นแรกกับ เดอะราโมนส์ ซิงเกิล Blitzkrieg Bop ถือเป็นการเปิดตัวของพังก์อย่างเป็นทางการ ออกวางขายช่วงเดือนธันวาคม [ 39 ] และมีนิตยสารใหม่ๆเกิดขึ้นพร้อมกับศิลปินอย่าง เวลเว็ต อันเดอร์กราวนด์, เดอะ สตูกส์ และ นิวยอร์ก ดอลลส์ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ CBGB และ แม็กซ์ แคนซัส ซิตี้ มีศิลปินเช่น เดอะราโมนส์, เทเลวิชัน ( Television ), เดอะฮาร์ตเบรกเกอร์ส ( The Heartbreakers ), แพตตี สมิธ ( Patti Smith ), บลอนดี ( Blondie ), ทอล์กกิงเฮดส์ ( Talking Heads ) และอื่นๆ [ 40 ] คำว่าพังก์เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วไป ริชาร์ด เฮลล์ได้ริเริ่มลักษณะเฉพาะตัวขึ้นมา [ 41 ]
หลังจากที่ได้ทำงานจัดการกับวงนิวยอร์กดอลส์ ( New York Dolls ) ในระยะเวลาสั้นๆ มาลคอล์ม แม็คลาเรน ( Malcolm McLaren ) ได้กลับมา ลอนดอน เดือนพฤษภาคม 1975 เขาได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เขาเห็นใน CBGB โดยเขาได้เปิดร้าน SEX ( ร่วมกับ วิเวียน เวสต์วูด ) ร้านเสื้อผ้าที่ปฏิวัติวงการ แฟชั่น ขายเสื้อผ้าขาดๆ เครื่องห้อยต่างๆ ชุดหนังต่างๆ โดยต่อมาได้รับความนิยมในหมู่พังก์ [ 42 ] เขาก็ได้มีส่วนร่วมกับวงเดอะสแวงเกอส์ ( The Swankers ) ที่ต่อมาคือวง เซ็กซ์พิสทอลส์ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1976 วงเดอะ ราโมนส์และเดอะ สเตรนเจอร์ส ได้เปิด คอนเสิร์ต ที่ราวด์เฮาส์ในลอนดอน โดยมีผู้ชมร่วม 2 พันคน [ 43 ] คืนต่อๆมา สมาชิกวงเซ็กซ์ พิสทอลส์ และเดอะ แคลช ได้ร่วมคอนเสิร์ตกับวงเดอะราโมนส์ [ 44 ] คอนเสิร์ตเหล่านี้เป็นจุดสำคัญของวงการพังก์ร็อกในอังกฤษที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น [ 45 ] หลายเดือนผ่านไปมีวงพังก์เกิดขึ้นอีกหลายวง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวงเซ็กซ์ พิสทอลส์ [ 46 ] ในลอนดอนได้เกิดวงอย่าง เดอะแดมน์ ( The Damned ), เดอะ ไวเบรเตอส์ ( The Vibrators ), เดอะสลิตส์ ( The Slits ), เอกซ์-เรย์ สเป็กซ์ ( x ray Spex ), ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์ ( Siouxsie and the Banshees ), อีตเตอร์ ( Eater ), เดอะ ซับเวอร์วิฟส์ ( The Subversives ), ดิแอดเวิร์ตส์ ( The Adverts ), และในย่าน เชลซี มีวงเกิดอย่าง เจเนอเนอเรชันเอกซ์ ( Generation X ) และวง แชม 69 ( Sham 69 ) ก็เริ่มต้นทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เฮอร์แชม ( มณฑลเซอร์รีย์ ) ส่วนใน แมนเชสเตอร์ เกิดวงอย่าง เดอะบัซค็อกส์ ( The Buzzcocks ) ที่ต่อมาคือวง วอร์ซอว์ ( Warsaw ) และ จอยดิวิชัน ( Joy Division ) ที่หลายๆที่ในอังกฤษ วงเหล่านี้ได้ทดลองดนตรีทดลอง และมีหลายวงอย่าง เดอะแจม ( The Jam ), ค็อก สปาร์เรอร์ ก็ได้ลองมาสู่กระแสพังก์ คลินตัน เฮย์ลิน นักเขียนคอลัมน์ร็อกได้อธิบายไว้ว่า “ วงแกล็มเหล่านี้ได้รับอิทธิพลของวัยรุ่นต้นยุคทศวรรษที่ 1970 อย่าง ที. เร็กซ์ ( T.Rex ), สเลด ( Slade ) และ ร็อกซีมิวสิก ( Roxy Music ) [ 47 ] ในขณะที่พังก์ได้เข้าถึงสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับวงการใต้ดินใน ออสเตรเลีย กลับมาสู่ที่อังกฤษ เพลง Anarchy in the U.K. โดยเซ็กซ์ พิสทอลส์ ขึ้นชาร์ทในเดือน กันยายน 1976 และวงเดอะ เซนต์ เป็นวงพังก์วงแรกที่ไม่ใช่วงจากอเมริกาที่ออกขายซิงเกิล คือเพลง (I’m) Stranded [ 48 ] ทางฝั่งออสเตรเลีย ที่ เพิร์ธ วงพังก์อย่าง ชีพ นาสตีส์ ได้เริ่มฟอร์มวง เดอะแดมน์ ( The Damned ) เป็นวงพังก์จากอังกฤษวงแรกที่ออกซิงเกิลโดยออกเพลง New Rose [ 49 ] ต่อมาเซ็กซ์พิสทอลส์ ( Sex Pistols ), เดอะแคลช ( The Clash ), เดอะแดมน์ และ เดอะฮาร์ตเบรกเกอส์ ( The Heartbreaker ) ได้รวมกันออกทัวร์ที่ชื่อว่า Anarchy Tour แสดงคอนเสิร์ตทั่วสหราชอาณาจักร โดยหลายที่ในทัวร์ถูกยกเลิกไปเนื่องจากสื่อได้วิจารณ์ในแง่ร้าย [ 50 ]
วงมิสฟิตส์ ( The Misfits ) ในปี 1979 ในขณะที่กระแสพังก์ร็อกได้แพร่ขยายอย่างรวดเร็วในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงปี 1976 โดยในปี 1977 วงรุ่นใหม่ได้รับความนิยมทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และ แคนาดา กระแสนิยมอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ มีการจัดการอย่างกระตือรือร้นโดย เจ้าของคลับ ผู้จัดคอนเสิร์ต ในสถานที่ต่างๆอย่าง โรงเรียน โรงรถ โกดัง เก็บของ มีการ โฆษณา โดยใช้ใบปลิว ใบปิด นิตยสารสำหรับแฟนเพลง เป็นลักษณะแบบ D.I.Y ( do-it-yourself ) ซึ่งต่อต้านการค้าแบบธุรกิจ [ 51 ] ความแพร่หลายของ แคลิฟอร์เนียพังก์ เริ่มขึ้นและพัฒนาในช่วงต้นปี 1976 มีวงอย่าง เดอะเวียโดส ( The Weirdos ), เดอะดิลส์ ( The Dils ), เดอะสครีมเมอส์ ( The Screamers ), เดอะดิกกีส์ ( The Dickies ), เอกซ์ ( X ), เดอะโก-โกส์ ( The Go-Go ‘s ), เดอะซีโรส์ ( The Zeros ) และ เดอะแบกส์ ( The Bags ) จากเมื่อง ลอสแอนเจลิส [ 52 ] และพังก์ได้เติบโตใน ซานฟรานซิสโก, วอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนในนิวยอร์กที่ที่เป็นต้นกำเนิดของพังก์ มีความนิยมในแนวย่อยใหม่อย่าง “ โนเวฟ “ แต่วงดั้งเดิมอย่าง เดอะราโมนส์ ก็คงยังเล่นอยู่ ใน นิวเจอร์ซีย์ วง มิสฟิตส์ ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงนั้น โดยในปี 1978 ได้พัฒนาแนวทางจนเป็นที่รู้จักกันในแนว ฮอร์เรอร์พังก์ ในแคนาดา ได้กำเนิดวงพังก์อีกมากมาย เช่น เดอะดีมิกซ์ ( The Demics ), เดอะโกเวอร์เมนต์ ( The Government ) เป็นต้น ในช่วงปี 1978-79 ฮาร์ดคอร์พังก์ได้เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนียใต้และวอชิงตัน ดีซี ฮาร์คอร์พังก์มีลักษณะดนตรีแบบใหม่ที่ดูวัยรุ่นกว่า นิยมในหมู่ชานเมือง ต่อต้านพวกปัญญาชน และรุนแรงยิ่งกว่า ในลอสแอนเจลิส พังก์เป็นที่รู้จักในชื่อ ฮอลลีวูดพังก์ และ บีชพังก์ โดยเป็นที่นิยมในแถบ เซาธ์เบย์ และ ออเรนจ์ เคาน์ตี [ 53 ] และด้วยความโดนเด่นของฮาร์ดคอร์พังก์ วงแคลิฟอร์เนียพังก์เริ่มที่จะกลับมาทำฮาร์ดคอร์พังก์ เช่นวงเดอะ โก-โกส์ และ เอกซ์ ซึ่งประสบความสำเร็จในกระแสหลัก [ 54 ] พังก์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในกระแสเพลงใต้ดินในอเมริกาเหนือและออสเตรเลียในช่วงยุคทศวรรษที่ 70 ในสหราชอาณาจักรพังก์ในอังกฤษมีความหลากหลายมากขึ้น และเข้าสู่กระแสหลัก [ 55 ] วงเดอะ แคลชกับอัลบั้มแรก สามารถขึ้นชาร์ทอันดับที่ 12 ในเดือนพฤษภาคม 1977 วงเซ็กซ์พิสทอลส์ มีซิงเกิลฮิตอันดับ 2 คือเพลง God Save the Queen และมีวงหลายๆวงเกิดขึ้น ในชื่อที่เป็นที่รู้จักในแนว “ สตรีตพังก์ “ ความหลากหลายของเพลงขยายไปมากขึ้นโดยมีการใช้เครื่องดนตรีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น วงรุ่นใหม่หลายๆวงใช้ เครื่องสังเคราะห์เสียง [ 56 ] วงเดอะแคลชได้นำเพลง Police and Thieves มาทำใหม่ในสไตล์จาไมกา เร้กเก้ [ 57 ] ส่วนวงยุคแรกๆอย่าง เดอะสลิตส์ และ เดอะโพลิส ( The Poilice ) ได้ทำเพลงผสมพังก์ในสไตล์ เร้กเก้ และ สกา เป็นเพลงรูปแบบใหม่ ในชือแนว “ ทูโทน “ อย่างเช่นวง เดอะสเปเชียลส์ ( The Specials ), เดอะ บีท ( The Beat ), แมดเนสส์ ( Madness ) เป็นต้น [ 58 ] ใน เยอรมนีตะวันตก วงไอดีล ( Ideal ), เอกซ์ตราบรีต ( Extrabreit ) และ นีนา ( Nena ) ได้รับความนิยมในเพลงกระแสหลัก ส่วนใน ฝรั่งเศส ศิลปินแนวพรี-พังก์อย่าง ลู รีด ได้เรียกตัวเองว่า les punk [ 59 ] พังก์ยังได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆอย่าง เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, สวิตเซอร์แลนด์ และ สวีเดน
ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 ดนตรีพังคได้แตกแยกแขนง ไปหลากหลายทิศทาง โดยได้ผสมผสานความเป็นศิลปะ ของกลุ่มคนชั้นกลางผู้ต้องการความแตกต่าง และกลุ่มคนชั้นแรงงาน [ 60 ] นี่เป็นที่มาของเพลงแนว นิวเวฟ และ โพสต์พังก์ โดยหลายวงได้ทำการทดลองแนวดนตรีไปในทิศทางอื่น เช่นแนว ฮาร์ดคอร์พังก์ และ ออย ! และ อะนาร์โค-พังก์ ในบขณะที่ ป็อปพังก์มีคนเคยกล่าวว่า เป็นการรวมระหว่างแอ็บบ้า กับ เซ็กซ์พิสทอลส์ [ 61 ]

ความหลายหลายได้เกิดขึ้น หลายๆแนวเริ่มรวมกันกับแนวอื่น อย่างเช่นวงเดอะ แคลชในอัลบั้ม London Calling ได้รวม เร้กเก้ สกา อาร์แอนด์บี ร็อกอะบิลลี กับพังก์ ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดอัลบั้มหนึ่งก็ว่าได้ [ 62 ]
นิวเวฟเป็นแนวเพลงย่อยของพังก์แรกๆ ในช่วงนั้นวงอย่าง ทอล์กกิงเฮดส์ ( Talking Heads ), บลอนดี ( Blondie ), ดีโว ( Devo ) และ เดอะโพลิซ ( The Police ) ได้ทำให้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเพลงมีจังหวะที่สามารถเต้นรำได้ ทางภาคโปรดักชันที่ดูสละสลวยขึ้นกว่าพังก์ ทำให้เรียกว่า นิวเวฟ โดยมีองค์ประกอบของพังก์ยุคเริ่มแรกอยู่และแฟชั่น บวกความเป็นป็อปเข้าไปและดูอันตรายน้อยลง ตัวอย่างวงนิวเวฟเช่น เดอะคาส์ ( The Cars ) และ เอลวิส คอสเตลโล ( Elvis Costello ) ที่ได้รับความนิยมทั้งอังกฤษและอเมริกา ดนตรีนิวเวฟได้เข้าสู่แนวดนตรีกระแสหลัก มีพังก์เป็นต้นแบบ มีการรวมแนวเพลงอย่าง ทูโทนสกา เป็นต้น ต่อมากระแสเพลงแนว นิวโรแมนติก ได้รับความนิยม เช่นวง ดูแรนดูแรน ( Duran Duran ) และวงซินธ์ป็อปอย่าง ดีเพเช โมด ดนตรีนิวเวฟกลายเป็นวัฒนธรรมป็อปและการเกิดของสถานีโทรทัศน์ทางดนตรีช่อง เอ็มทีวี ในปี 1981 ที่ได้เล่นเพลงประเภทนิวเวฟอยู่ [ 63 ]
จอย ดิวิชัน วงแนวโพสต์-พังก์ ในสหราชอาณาจักรแนวโพสต์-พังก์ ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มีวงอย่าง เดอะฟอลล์ ( The drop ), จอยดิวิชัน ( Joy Division ), แกงออฟโฟร์ ( Gang of Four ) เป็นต้น มีบางวงอย่าง ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์และ เดอะ สลิทตส์ ได้แปลจากวงพังก์เป็นวงโพสต์-พังก์ ทางด้านดนตรีมักจะเป็นดนตรีทดลอง เหมือนวงแนวนิวเวฟ ลักษณะแนวเพลงนิวเวฟจะมีลักษณะไม่ค่อยจะเป็นเพลงป็อป ดูหม่น ๆ ดูกัดกร่อน ในบางครั้งจะไม่มีท่วงทำนอง และได้รับอิทธิพลจากดนตรี อาร์ตร็อก อย่าง แคปเทน บีฟฮาร์ต และ เดวิด โบอี เป็นต้น ในทางเนื้อเพลงจะเป็นการเขียนเนื้อเพลงแบบใหม่ [ 64 ] วงอย่าง นิวออร์เดอร์ ( New Order ) และ ยูทู ( U2 ) ที่ดังข้ามไปฝั่งอเมริกาสู่กระแสหลัก แต่บางวงก็ดังในกลุ่มเล็กอย่าง แกงออฟโฟร์ ( Gang of Four ) และ เดอะเรนโคทส์ ( The Raincoats ) เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดีแนวเพลงได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อปด้วย [ 65 ]
ฮาร์ดคอร์พังก์มีลักษณะถึงความเร็ว จังหวะที่ก้าวร้าว และมักพูดถึงเรื่องการเมือง ถูกพัฒนาช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ในสหรัฐอเมริกา นักเขียนชื่อ สตีเวน บลุช กล่าวว่า “ ฮาร์ดคอร์พังก์เริ่มมาจากแถบชานเมืองอันเงียบเหงาในอเมริกา ผู้ปกครองที่ได้ย้ายเด็กออกจากเมืองใหญ่สู่ชานเมืองนี้ ได้ทำให้เห็นถึงความเป็นจริงของเมืองและก็สุดท้ายก็จบลงด้วยปีศาจพันธุ์ใหม่นี้ ” [ 66 ] ฮาร์ดคอร์พังก์เกิดขึ้นแถบทางใต้ของแคลิฟอรืเนียในช่วงปี ค.ศ. 1978–79 ตามมาด้วยวอชิงตัน ดีซี และแพร่ขยายไปทั่วอเมริกาเหนือและทั่วโลก [ 67 ] ในช่วงแรกวงแรกๆมี แบล็กแฟลก ( Black Flag ) และ มิดเดิลคลาส ( Middle Class ), แบดเบรนส์ ( Bad Brains ) และ ทีนไอเดิลส์ ( Teen Idles ) ก็ได้เกิดขึ้นแทบ วอชิงตัน ดีซี [ 68 ] วงบางวงอย่าง เดด เคนเนดีส์ได้เปลี่ยนมาเป็นฮาร์ดคอร์พังก์ ส่วนในนิวยอร์กแนวนี้เริ่มเกิดขึ้นในปี 1981 โดยการนำอย่างวง แอกนอสติกฟรอนต์ ( Agnostic Front ), เดอะโคร-แม็กส์ ( The Cro-Mags ), เมอร์ฟีส์ลอว์ ( Murphy ‘s Law ) และ ยูทออฟทูเดย์ ( Youth of Today ) [ 69 ] เนื้อเพลงของวง เดด เคนเนดีส์ในเพลง Holiday in Cambodia แสดงให้เห็นการวิจารณ์สังคมการค้าและค่านิยมของชนชั้นกลาง [ 70 ] ช่วงต้นยุค 1980 วงทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาและแคลิฟอร์เนียอย่างวง เจเอฟเอ ( JFA ), เอเจนต์ออเรนจ์ ( Agent Orange ) และ เดอะแฟกชัน ( The Faction ) ได้สร้างทิศทางดนตรีใหม่ให้กับฮาร์ดคอร์พังก์ในแนวใหม่ เรียกว่า สเกตพังก์
ปกอัลบั้มวงเดอะ โฟร์-สกินส์ ชุด The Good, The Bad & The 4-Skins ตามกระแสวงพังก์ยุคแรกในสหราชอาณาจักร อย่างวง ค็อคสปาร์เรอร์ ( Cock Sparrer ) และ แชม 69 ( Sham 69 ) ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 [ 5 ] คลื่นลูกต่อมาอย่าง ค็อคนีย์รีเจกส์ ( Cockney Rejects ), แอนเจลิกอับสตาร์ตส์ ( Angelic Upstarts ), ดิเอกซ์พลอเตด ( The Exploited ) และ เดอะโฟร์สกินส์ ( The 4-Skins ) ได้หาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับ ชนชั้นกรรมาชีพ [ 71 ] วงเหล่านี้มักเรียกว่า รีลพังก์ หรือ สตรีตพังก์ แกรี บัชเชล ได้อธิบายแนวเพลง Oi ! ว่า “ แนวนี้ได้มาจากวง เดอะ ค็อคนีย์รีเจกส์ ที่มักจะตะโกนว่า “ Oi ! Oi ! Oi ! ” ก่อนที่จะเล่นเพลง แทนที่คำว่า “ 1, 2, 3, 4 ! ” [ 72 ] ส่วนเนื้อเพลงจะสะท้อนให้เห็นความแข็งกร้าว หยาบคาย แสดงสภาพความเป็นจริงในยุค มาร์กาเรต แทตเชอร์ ในสหราชอาณาจักรช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ถึงต้นทศวรรษที่ 1980 กระแสของ Oi ! ถูกกระตุ้นโดยกระแสพังก์ในช่วงนั้น สตีฟ เคนต์นักกีตาร์มืออาชีพกล่าวว่า “ พวกเด็กมหาวิทยาลัยมักจะใช้คำยาว ๆ ในการแต่งเพลง และพยายามทำตัวเองให้เป็นศิลปิน ” [ 73 ] ข้อบัญญัติอย่างนึงของ Oi ! คือ ต้องไม่เสแสร้งและเข้าถึงได้ และ Oi ! คือความเป็นจริงของพังก์ ที่ที่วงพวกนี้ได้เกิดขึ้น มันโหดร้ายและก้าวร้าวมาก [ 74 ] วง Oi ! ในช่วงแรกจะไม่สนใจเรื่องการเมือง อย่างไรก็ตาม วง Oi ! หลายวงเริ่มที่จะสนใจ สกินเฮด แบบ นาซี ถึงแม้วงหลายวงจะไม่ได้สนับสนุนนาซีก็ตาม บางครั้งกลุ่มสกินเฮดที่เหยียดสีผิวจะเข้ามาขัดขวางการแสดง คอนเสิร์ต ของพวก Oi ! โดยจะตะโกนคำขวัญของ ลัทธิฟาสซิสท์ และพยายามก่อความวุ่นวาย วง Oi ! หลายวงได้ต่อต้านกับแฟน ๆ การเข้าถึงของกลุ่มคนชั้นกลาง [ 75 ] เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 ในคอนเสิร์ตในเซาธ์ฮอล ที่มีวงอย่าง เดอะบิสเนส ( The Business ), เดอะโฟร์สกินส์ และ เดอะลาสต์รีสอร์ต ( The last Resort ) ถูกลอบวาง ระเบิด โดยกลุ่มเด็กวัยรุ่น ชาวเอเชีย เพราะความเข้าใจผิดว่าเป็นงานของ นีโอนาซี [ 76 ] หลังจากนั้น สื่อมวลชน ได้ลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวกับความถูกต้อง และเพลงแนว Oi ! ก็ได้ลดความนิยมไป [ 77 ]
อะนาร์โค-พังก์ ( Anarcho-Punk ) มาจากคำสองคำ คือ อนาธิปไตย ( Anarchism ) ( อนาธิปไตยหมายถึงแนวคิด การเมือง แบบไร้ผู้นำ ) และ พังก์ ( Punk ) เป็นแนวดนตรีที่สร้างงาน ดนตรี โดยเสนอเนื้อหาเชิง อนาธิปไตย ซึ่งจริง ๆ แนวพังก์ร็อกก็เป็นแนวที่ต่อต้านระบอบแบบแผน และต่อต้านสังคม อนุรักษนิยม อยู่แล้ว [ 78 ] อะนาร์โค-พังก์ได้พัฒนาไปพร้อมกับ Oi ! และกระแสอเมริกันฮาร์ดคอร์ ด้วยรูปแบบดนตรีพังก์ดั้งเดิม ตรงไปตรงมามาก ( การใช้คอร์ดน้อย เมโลดี้เรียบ ๆ ในแบบพังก์ ) และการร้องแบบตะโกนโวยวาย เช่นวงอย่าง คราส ( Crass ), ซับฮิวเมนส์ ( Subhumans ), ฟลักซ์ออฟพิงก์อินเดียนส์ ( Flux of Pink Indians ), คอนฟลิกต์ ( Conflict ), พอยสันเกิร์ลส์ ( Poison Girls ) และ อะพอสเติลส์ ( The Apostles ) พยายามที่จะเปลี่ยนพังก์ร็อกที่ใส่แนวคิดทางด้านอนาธิปไตยเข้าไป [ 79 ] อะนาร์โค-พังก์ในยุคเริ่มนั้นเป็นการแสดงตัวตนและได้แสดงศิลปะอย่างชัดเจนนอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนสโลแกน “ DIY not EMI ” ( DIY = Do It Yourself ) อันเป็นเหมือนการปฏิเสธค่ายใหญ่ และแสดงออกทางจุดยืนในการต่อต้าน ระบบทุน ไปในตัว โดยอาศัยเครือข่ายและระบบความสัมพันธ์เป็นหลักในการเผยแพร่งาน อะนาร์โค-พังก์ได้แพร่ขยายไปยังแนวพังก์ย่อยแนวอื่น อย่าง พอยสัน เกิร์ลส, คอนฟลิกต์ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นแนวฮาร์ดคอร์พังก์ [ 78 ]
ด้วยความรักในวง เดอะบีชบอยส์ และแนว บับเบิลกัมป็อป ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 วงเดอะ ราโมนส์ได้ปูทางไว้ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อของ ป็อปพังก์ [ 80 ] ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 วงจากสหราชอาณาจักรอย่าง บัซค็อกส์ และ ดิ อันเดอร์โทนส์ ได้รวมแนวเพลงป็อปเข้ากับเนื้อเพลงแบบพังก์ทีดูรวดเร็วและยุ่งเหยิง [ 81 ] ช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 1980 วงฮาร์ดคอร์ร็อกแนวหน้าแถบ แคลิฟอร์เนียใต้ ได้ย้ำโดยทำเมโลดี้ที่สละสลวยมากขึ้นกว่าทั่วไป เอพิแทฟเรเคิดส์ ( Epitaph Records ) ได้ค้นพบสมาชิกวง แบด รีลิเจียน ซึ่งต่อมาเป็นรากฐานให้กับวงป็อปพังก์หลาย ๆ วง รวมถึง โนเอฟเอกซ์ ที่ได้รับอิทธิพลจาก สกา และจังหวะของ สเก็ตพังก์ ส่วนวงที่เชื่อมพังก์ร็อกด้วยเมโลดี้แบบ ป็อป เช่นวง เดอะเควียร์ ( The Queers ) และ สครีชชิงวีเซล ( Screeching Weasel ) ได้กระจายทั่วประเทศ วงอย่าง กรีนเดย์ ( Green Day ) ได้นำกระแสป็อปพังก์สู่กระแสหลัก และมีวงอย่าง เดอะแวนดาลส์ ( The Vandals ) และ กัตเตอร์เมาธ์ ( Guttermouth ) ได้พัฒนาโดยรวมเมโลดี้แบบป็อปกับความตลกขบขันและก้าวร้าวด้วยกัน [ 82 ]
โซนิกยูทในปี ค.ศ. 2005 วงพังก์ร็อกใต้ดินเกิดขึ้นมาด้วยนับไม่ถ้วน ทั้งเกิดขึ้นมาโดยซาวด์ดนตรีแบบพังก์และได้ประยุกต์ในเจตนารมณ์ของ DIY สู่ความแตกต่างหลากหลายของดนตรี จนกระทั่งต้นยุคทศวรรษที่ 1980 วงในสหราชอาณาจักรอย่าง นิวออร์เดอร์ ( New Order ) และ เดอะเคียว ( The bring around ) ได้พัฒนาดนตรีรูปแบบใหม่โดยยึดหลักจากแนว โพสต์พังก์ และ นิวเวฟ ส่วนในอเมริกาวงอย่าง ฮุสเกอร์ดุ ( Hüsker Dü ) และวงที่ตามมาอย่าง เดอะรีเพลซเม็นส์ ( The Replacements ) ได้เชื่อมช่องว่างระหว่างแนวพังก์อย่างฮาร์ดคอร์และดนตรีที่ตอนนั้นเรียกว่า คอลเลจร็อก [ 83 ] ในปี ค.ศ. 1985 นิตยสารโรลลิ่งสโตน ได้เขียนเกี่ยวกับวงอย่าง แบล็กแฟล็ก ( Black Flag ), ฮุสเกอร์ดุ, มินิตเม็น ( Minutemen ) และเดอะรีเพลซเม็นส์ ว่า “ วงพังก์ดั้งเดิมได้ผ่านไปแล้ว วงพังก์ร็อกอเมริกันที่ดีที่สุดได้เข้ามาแทน พวกเขาได้รู้จักว่าการเล่นดนตรีเป็นอย่างไร และได้ค้นพบเมโลดี้ การโซโล่กีตาร์ และเนื้อเพลงที่มีอะไรมากไปกว่าการตะโกนคำขวัญทางการเมือง ” [ 84 ] โดยช่วงสิ้นสุดทศวรรษที่ 1980 วงเหล่านี้ได้แปลเปลี่ยนมาเป็น ออลเทอร์นาทิฟร็อก โดยออลเทอร์นาทิฟร็อกได้รวมความหลากหลายของสไตล์ อย่าง อินดี้ร็อก, โกธิกร็อก, กรันจ์ และอื่น ๆ ทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยอยู่ในต้นแบบของพังก์ร็อกสู่กระแสนิยมทางด้านดนตรี [ 85 ] วงออลเทอร์นาทิฟอย่าง โซนิกยูท ( Sonic Youth ) ที่ได้โตขึ้นจากแนว โนเวฟ และวงจากบอสตันอย่างพิกซี่ ได้เริ่มมีกลุ่มคนฟังที่กว้างขวางขึ้น [ 86 ] ในปี 1991 วง เนอร์วานา ( Nirvana ) ได้เกิดขึ้นในกระแสของเพลงแนวกรันจ์ และได้ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจกับอัลบั้มที่ 2 ของพวกเขา Nevermind เนอร์วาน่าได้สดุดีว่าพังก์เป็นอิทธิพลสำคัญของดนตรีพวกเขา [ 87 ] เคิร์ต โคเบน นักร้องนำวงเนอร์วาน่าได้เขียนไว้ว่า “ พังก์คือดนตรีที่อิสระ มันพูด กระทำ และเล่นในสิ่งที่คุณต้องการ ” [ 88 ] การประสบความสำเร็จขอวงเนอร์วาน่าได้เป็นตัวกระตุ้นให้กระแสอัลเทอร์เนทีฟร็อกดังขึ้นมา และได้เป็นส่วนหนึ่งของแนวดนตรีที่ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ 1990 ด้วย [ 89 ]
ในทศวรรษที่ 1990 วงพังก์บางวงมีสมาชิกเป็น เกย์ อย่างเช่น ฟิฟธ์ คอลัมน์ ( Fifth Column ), ก็อดอีสมายโคไพล็อต ( God Is My Co-Pilot ), แพนซีดิวิชัน ( Pansy Division ), ทีมเดร็ช ( Team Dresch ) และ ซิสเตอร์จอร์จ ( Sister George ) พวกเขาได้พัฒนาเพลงแนว เควียร์คอร์ ถึงแม้ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากพังก์ แต่ก็แพร่ขยายไปในแนวดนตรีที่หลากหลาย อย่าง ฮาร์ดคอร์, อินดี้ร็อก, พาวเวอร์ป็อป, โนเวฟ, น็อยส์, เอกซ์เพอร์ริเม็นทอล และ อินดัสเทรียล เนื้อเพลงของเควียร์คอร์ มักจะเกี่ยวกับ ความอคติ, อัตลักษณ์ทางเพศ, สิทธิส่วนบุคคล โดยอาจกล่าวทั้งในทางขบขันหรือกิริยาท่าทางที่จริงจัง ในปี ค.ศ. 1991 คอนเสิร์ต Love Rock Revolution Girl Style Now ที่จัดขึ้นในโอลิมเปีย, วอชิงตัน ได้ประกาศการเกิดขึ้นของเพลงแนว riot grrrl [ 90 ] ศิลปินที่มาร่วมงาน รวมถึงวงหลายวงที่มีผู้หญิงเป็นแกนนำอย่าง บิกินิคิล ( Bikini Kiss ), แบรตโมบายล์ ( Bratmobile ) และ เฮฟเวนส์ทูเบ็ตซี ( Heavens to Betsy ) นักร้องนำวงบิกินิคิล ชื่อแคธลีน ฮานนา เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเพลงแนว belly laugh grrrl ซึ่งต่อมาได้เข้าทำงานในแนว อิเล็กโทรอาร์ตพังก์ กับวง เลอทิกร์ ( Le Tigre ) ส่วนมือกีตาร์วงเฮฟเวนส์ทูเบ็ตซี ชื่อ โคริน ทักเกอร์ และ แคร์รีย์ บราวสไตน์ จากวง เอกซ์คิวส์ 17 ( Excuse 17 ) ต่อมาทั้งคู่ได้ร่วมกันตั้งวงอินดี้ร็อก/พังก์ ชื่อ สลีทเทอร์-คินนีย์ ( Sleater-Kinney )
คำว่าอีโมได้เคยถูกอธิบายเป็นหนึ่งในแนวย่อยของ ฮาร์ดคอร์พังก์ ที่มีต้นกำเนิดใน วอชิงตันดีซี ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 คำว่า อีโม มีที่มาจากข้อเท็จจริงที่สมาชิกในวง บางครั้งจะใส่อารมณ์ ( emotional ) ในการแสดง สังเกตได้จากวงอีโมในยุคแรกๆอย่าง ไรตส์ออฟสปริง ( Rites of leap ), เอ็มเบลซ ( Embrace ) และ วันลาสต์วิช ( One last wish ) คำว่า อีโม ย่อมาจาก Emotional Hardcore เน้นการแสดงสดที่เน้นถึงอารมณ์และความรู้สึก แต่แตกต่างจากฮาร์ดคอร์ เนื่องจาก เนื้อหาในสัดส่วนของอีโมร็อกนั้น เน้นสำรวจความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเอง มากกว่าวนเวียนก่นด่าถึงสิ่งที่อยู่รอบข้างตัวเอง โดยในช่วงทศวรรษที่ 90 มีวงอีโมเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะจากย่านมิดเวสต์หลายวง ไม่ว่าจะเป็น เดอะ เก็ต อัพ และ จิมมี อีท เวิลด์ ที่ได้รับอิทธิพลมาแบบเต็ม ๆ จากวงรุ่นพี่อย่าง ฟูกาซิ ( Fugazi ) [ 91 ] วงอย่าง ซันนี่เดย์เรียลเอ็สเตต ( Sunny Day Real Estate ) และ เท็กซัสอีสเดอะรีซัน ( Texas Is the Reason ) ได้แสดงเพลง อินดี้ร็อก ในรูปแบบของอีโม ที่มีรูปแบบเพลงที่เป็นเมโลดี้มากขึ้น และลดความยุ่งเหยิงลงกว่าอีโมก่อนหน้านี้ วง แอนทอยช์แอร์โรว์ ( Antioch Arrow ) เล่นเพลงอีโมที่รุนแรงขึ้น ที่ต่อมารู้จักกันในชื่อ “ สครีโม่ “ แฟนเพลงอันเดอร์กราวด์หลายคนอ้างว่าวงอีโมในปัจจุบันแทบไม่มีคุณสมบัติของพังก์เลย [ 92 ]
ดิ ออฟสปริง ปี ค.ศ. 2001 ในยุคเดียวกับ เนอร์วาน่า วงอัลเทอร์เนทีฟร็อกหลายวงในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ได้ตอบรับกระแสพังก์ ได้ช่วยให้พังก์ร็อกได้ฟื้นคืนชีพ ในปี ค.ศ. 1994 วงพังก์ร็อกจากแคลิฟอร์เนียอย่าง กรีนเดย์ ( Green Day ), ดิออฟสปริง ( The Offspring ), แรนซิด ( Rancid ) และ แบดรีลิเจียน ( Bad Religion ) เป็นตัวสำคัญของความสำเร็จด้วยการช่วยเหลือจาก เอ็มทีวี และสถานีวิทยุที่โด่งดังอย่าง KROQ-FM [ 93 ] ถึงแม้ว่ากรีนเดย์และแบดรีลิเจียนจะอยู่ในสังกัดค่ายเพลงใหญ่ก็ตาม การประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างมากของกรีนเดย์และดิออฟสปริง ได้ปูทางให้ศิลปินแนวป็อปพังก์อย่างวง บลิงก์-182 ( Blink-182 ), ซิมเพิลแพลน ( Simple Plan ), กู้ดชาร์ลอตต์ ( Good Charlotte ) และ ซัม 41 ( Sum 41 ) วงจากบอสตัน ไมตีไมตีบอสสโตนส์ ( Mighty Mighty Bosstones ) และวงแนวสกาพังก์จากแคลิฟอร์เนีย วง ซับไลม์ ( Sublime ) ได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ซึ่งต่อมาวงสกาพังก์อย่าง รีลบิกฟิช ( Reel Big Fish ) และเลสแดนเจค ( Less Than Jake ) ก็ได้ได้การตอบรับที่ดีจากแฟนเพลงในยุค 2000 วงอื่นที่มีรากมาจากฮาร์คอร์พังก์ อย่าง เอเอฟไอ ( AFI ) มีเพลงขึ้นชาร์ตในยุค 2000 วง เคลติกพังก์ อย่างวง ฟล็อกกิงมอลลี ( Flogging Molly ) และ ดร็อปคิกเมอร์ฟีส์ ( Dropkick Murphys ) ได้รวมแนวเพลง Oi ! เข้าไปด้วย การเกิดใหม่ของพังก์เห็นได้ชัดว่า ว่ากลุ่มคนที่ฟังพังก์ได้เข้าสู่กระแสหลัก [ 94 ] ซึ่งก็มีแฟนเพลงพังก์หลายคนได้ต่อต้านการเกิดเช่นนี้ อย่างความโด่งดังของวง ซัม 41 และ บลิงก์-182 [ 95 ]
ในช่วงที่วงเซ็กซ์ พิสทอลส์ได้เข้าสู่กระแสนิยมหลักทั่วโลก เพลง ร็อก ในประเทศไทยนิยมเพลงแนว โปรเกรสซิฟ เพลงแบบ บุปผาชน หรือเพลง ฮาร์ดร็อก อย่าง แบล็ค แซบบาธ, เล็ด แซพพลิน

Read more: FIFA 21 Pro Clubs

ต่อมากระแสพังก์ในประเทศไทยเกิดตอนปลายยุคทศวรรษที่ 80 มีการเกิดของรายการเพลง เรดิโอ แอคทีฟ โดย ไนต์สปอต เข้ามาปฏิวัติด้วยที่ไม่เปิดเพลง ร็อก เก่า ๆ และเพลง ป็อป ตลาด โดยการนำของ วาสนา วีระชาติพลี ดีเจ ชื่อดัง ดนตรีแนวพังก์เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองไทยจริง ๆ เมื่อกลางยุคทศวรรษที่ 90 หรือช่วงที่ดนตรีแนว อัลเทอร์เนทีฟ ดังมากในประเทศไทย อย่างวง แมนิค สตรีท พรีชเชอร์ส ที่เคยมาแสดง คอนเสิร์ต ในประเทศไทยแล้ว เป็นต้น [ 96 ] ส่วนวงดนตรีพังก์ร็อกใน ประเทศไทย เช่นวง เอบี นอร์มอล [ 97 ], มังกี้ แพ้นส์ [ 98 ], ซิก ไชด์ [ 99 ], หมีน้อย [ 100 ] และ สติวเดนต์อั๊กลี่ [ 99 ] นอกจากนั้นยังมีวงอีโมพังก์อย่างวง ไรทาลิน ของค่าย มิวสิกบั๊กส์ [ 101 ]