นิโคลัส เคจ ผู้มอบตั๋วทองคำเข้าสู่วงการ ทุกคนมาฮอลลีวูดได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ชื่อเสียงโด่งดังมาประดับ นอกจากต้องใช้พรสวรรค์บวกพรแแสวงแล้ว ยังต้องอาศัย “ โชค ” ซึ่งโชคของจอห์นนี เดปป์ มีชื่อว่า นิโคลัส เคจ ( Nicolas Cage ) ปี 1983 ขณะที่เดปป์อายุเพียง 20 ปี เขาเป็นหนุ่มนักดนตรีทำวงกับเพื่อน และย้ายมาอยู่ลอสแอนเจลิสเพื่อหาลู่ทางประกอบอาชีพ แต่ละวันผ่านไปด้วยความยากลำบาก เขาต้องหาเลี้ยงตัวเองด้วยการทำงานเป็นเซลส์แมนขายปากกาหาเงินมาประทังชีวิต แล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตก็มาถึง เมื่อภรรยาคนแรกของเดปป์คือ ลอรี แอนน์ อัลลิสัน ( Lori Anne Allison ) ซึ่งทำงานเป็นช่างแต่งหน้าให้คนในวงการบันเทิง แนะนำให้เขาได้รู้จัก นิโคลัส เคจ นักแสดงดาวรุ่งที่เพิ่งมีชื่อเสียงจาก Valley Girl ( 1983 ) เดปป์และเคจเป็นเพื่อนเที่ยวกินดื่มกันจนสนิท วันหนึ่งระหว่างเล่นเกมเศรษฐีด้วยกันในงานปาร์ตี้ เคจก็พูดกับเดปป์ว่า “ นายน่าจะไปเป็นนักแสดงนะ ” แม้ว่าเดปป์จะพยายามบอกปัดว่าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแสดงเลย แต่เคจก็ส่งตัวเดปป์ไปพบกับเอเจนต์ของตัวเอง และทำให้เดปป์ได้โอกาสออดิชั่นหนังเรื่องแรก ใน A Nightmare on Elm Street ( 1984 ) ของเจ้าพ่อหนังสยองขวัญระดับตำนาน เวส คราเวน ( Wes Craven ) เดปป์เกือบจะชวดบท เพราะคราเวนเห็นรูปถ่ายของเขาแล้วรู้สึกว่าไอ้หนุ่มคนนี้ดูขี้โรค หัวเปียกมันเยิ้ม ตัวซีด นิ้วเหลืองเพราะสูบบุหรี่จัด แต่เมื่อเอารูปให้ลูกสาวดู ลูก ๆ ของเขากลับยืนกรานให้พ่อต้องเอาหนุ่มหน้าใหม่คนนี้มาเล่น เพราะติดใจในความหล่อเหลา แม้หนังเรื่องแรกนี้เดปป์จะไม่ได้รับบทเด่นอะไร แต่ฉากการตายอันพิลึกพิลั่น โดนผีเฟรดดี้ ครูเกอร์ ลากลงเตียงนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ชม ทำให้เขาแจ้งเกิดมาได้แบบงง ๆ และได้รับโอกาสดี ๆ ต่อมา ทุกวันนี้เดปป์ก็ยังระลึกถึงบุญคุญของคราเวนและลูกสาวอยู่เสมอ ที่กล้าหาญพอที่จะโยนบทให้นักแสดงหน้าใหม่อย่างเขาได้ลองแสดง ความสัมพันธ์สุดเพี้ยนกับ ทิม เบอร์ตัน สตูดิโออยากได้ ทอม ครูซ ( Tom Cruise ) มาแสดง Edward Scissorhands และอยากได้ แบรด พิตต์ ( Brad Pitt ) มาแสดง Sleepy Hollow “ แทบทุกครั้งเลยครับที่เราทำงานด้วยกัน เขาต้องไปเถียงกับสตูดิโออยู่นานเพื่อที่จะให้พวกเขาจ้างผม ” จอห์นนี เดปป์ เอ่ยถึง ทิม เบอร์ตัน ( Tim Burton ) ผู้กำกับคู่บุญที่ร่วมงานกันมาอย่างยาวนาน จนคนเปรียบเปรยว่าพวกเขาเกิดมาคู่กันอย่างกับผีเน่ากับโลงผุ ครั้งแรกที่ทั้งสองเจอกันเป็นดั่งซีนในหนังโรแมนติก เกิดขึ้นในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิส ช่วงปลาย ๆ ยุค 1980s ตอนนั้นเดปป์กำลังโด่งดังในฐานะ “ ไอดอลขวัญใจสาว ” จากบทบาทตำรวจโคตรเท่ ทอม แฮนสัน ในซีรีส์ยอดนิยม 21 Jump Street ( 1987-1990 ) แต่เบอร์ตันไม่รู้จักมาก่อนเลยว่าเดปป์เป็นใครมาจากไหน เขารู้แค่ว่าไอ้หนุ่มคนนี้อยากแสดงหนังของเขา เพราะต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองให้มีความเป็นนักแสดงมากขึ้น ไม่ใช่เป็นแค่ดาราวัยรุ่นเท่านั้น เมื่อได้พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ทั้งคู่ก็มีหลายสิ่งที่คล้ายกันมาก ไม่ว่าจะเป็นความชอบในป๊อปคัลเจอร์, ชอบหนังสยองขวัญยุคเก่า ไปจนถึงชอบเล่นมุกตลกแนวสกปรกเหมือนกัน “ ผมคิดว่ามันมีไม่กี่ครั้งในชีวิตของเราที่จะรู้สึกว่าเรามีอะไรเชื่อมติดกับใครสักคน มันง่าย ๆ แบบนั้นเลย แม้คุณจะมองไม่เห็นอนาคตหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขามีความเป็นศิลปินสูงมาก ตั้งแต่วันแรกเราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับ ลอน เชนีย์ ( นักแสดงยุคหนังเงียบ ผู้โด่งดังในการรับบทแปลก ๆ ) เขาคือคนประเภทเดียวกันเลยล่ะ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมสนใจในภาพยนตร์ นักแสดงแบบนั้น คนแบบนั้นคือดีเอ็นเอและพลังหลักในการสร้างภาพยนตร์ เรามักจะต่อกันติดด้วยสิ่งแปลก ๆ อยู่เสมอ ” ทิม เบอร์ตัน กล่าวถึงความประทับใจในตัวจอห์นนี เดปป์ และเหตุผลที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ตัวเลือกนักแสดงนำของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน เพราะเบอร์ตันชอบที่เดปป์เป็นคนที่เกลียดการมองตัวเองในมอนิเตอร์ เขาไม่สนใจมานั่งตรวจสอบว่าตัวเองแสดงเป็นอย่างไร เขาแค่ทำมันต่อไป แล้วงานก็ออกมาดีและลื่นไหล ด้านเดปป์ก็กล่าวยกย่องเบอร์ตัน ผู้เป็นเหมือนคู่แท้ที่หากันจนเจอว่า เป็นคนที่สร้างบรรยากาศการทำงานให้รู้สึกสบายใจ “ เขาเปิดโอกาสให้คุณสามารถลองทำอะไรก็ได้ มันเป็นอะไรที่อิสระมาก…ซึ่งนี่คือเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับนักแสดง ” ด้วยเหตุนี้ทำให้เดปป์ทุ่มเทในการแสดงหนังทุกเรื่องของเบอร์ตัน เพราะเขามั่นใจว่าผู้กำกับคนนี้มีเป้าหมายเดียวกันกับเขา เดปป์ทำการบ้านอย่างหนักกับทุก ๆ บท เพื่อสร้างตัวละครที่แตกต่าง และตั้งใจแสดงออกผ่านสีหน้าแววตา และอากัปกิริยา ( บทเอ็ดเวิร์ดมือกรรไกร มีบทพูดเพียง 169 ประโยคเท่านั้น ) ยอมเพิ่มและลดน้ำหนัก และแต่งหน้าประหลาดหลุดโลกโดยไม่ห่วงหล่อ จนท้ายที่สุดทั้งคู่ทำงานด้วยกันมาแล้วถึง 8 เรื่อง ได้แก่ Edward Scissorhands ( 1990 ), Ed Wood ( 1994 ), Sleepy Hollow ( 1999 ), Charlie and the Chocolate Factory ( 2005 ), Corpse Bride ( 2005 ) ( ให้เสียงพากย์ ), Sweeney Todd : The Demon Barber of Fleet Street ( 2007 ), Alice in Wonderland ( 2010 ) และ Dark Shadows ( 2012 ) และยังมีเรื่องที่ 9 คือ Alice Through the Looking Glass ( 2016 ) ซึ่งเบอร์ตันไม่ได้กำกับ แต่เป็นโปรดิวเซอร์อีกด้วย “กิลเบิร์ต” บทผู้ชายธรรมดาที่แสนพิเศษ แม้จอห์นนี่ เดปป์ จะเป็นที่จดจำจากบทบาทที่เต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาดพิลึกพิลั่นเหนือมนุษย์ แต่บทที่เขาแสดงเป็นคน “ ธรรมดา ” ก็ได้รับการจดจำไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นคือบท กิลเบิร์ต จาก What ’ south Eating Gilbert Grape ( 1993 ) หนังสุดซึ้งที่เขาได้ประชันฝีมือกับ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ ( Leonardo DiCaprio ) ที่ตอนนั้นยังวัยละอ่อนอายุเพิ่งจะ 19 ปีเท่านั้น ผู้กำกับ ลาสซี่ ฮอลสตรอม ( Lasse Hallström ) เผยว่า ที่เขาเลือกเดปป์มาแสดงเป็นกิลเบิร์ต ชายหนุ่มที่ต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวคอยดูแลแม่ที่เป็นโรคอ้วน กับน้องชายที่เป็นออทิสติก และจัดการปัญหาต่าง ๆ ภายในบ้านแทนพ่อที่จากไป เพราะเดปป์เป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าและแววตาได้ดี ฮอลสตรอมยังชอบการตีความของเดปป์ ที่แสดงออกให้กิลเบิร์ตเป็นคนที่ดูเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา เป็นคนมึนงงกับความผิดปกติในชีวิตของเขา แม้เดปป์จะเคยบอกว่า กลัวตัวเองจะแสดงออกมาได้เป็นคนที่น่าเบื่อเกินไป แต่ฮอลสตรอมกลับมองว่า ความรู้สึกแบบนี้แหละที่เขาอยากให้มีในตัวกิลเบิร์ต ชายผู้ต้องจำใจรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ แม้ใจจะอยากหนีไปมากแค่ไหนก็ตาม ยุคทองแห่งโจรสลัด บทกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ จากแฟรนไชส์ Pirates of the Caribbean กลายเป็นบทที่ทำให้จอห์นนี เดปป์ เข้าสู่ยุคทองแห่งอาชีพการงานอย่างถึงขีดสุด แม้ว่าก่อนหนังจะออกฉาย เขาเกือบโดนไล่ออกจากกองถ่าย เนื่องจาก ไมเคิล ไอสเนอร์ ( Michael Eisner ) ซีอีโอของ Disney ตอนนั้นไม่ปลื้มทิศทางการแสดงของเขา ซึ่งเดปป์ให้สัมภาษณ์ในงาน A.F.I. Festival เมื่อปี 2015 ว่า “ ไอสเนอร์บ่นถึงตัวละครกัปตันแจ็คว่า ‘ แม่-เอ๊ย จอห์นนี เดปป์ จะทำหนังเจ๊งละเนี่ย ไอ้นี่มันขี้เมาเหรอ มันเป็นเกย์หรือเปล่า ” เพราะสมัยนั้นยังไม่มีใครเข้าใจตัวละครโจรสลัดขี้เมาท่าทางตุ้งติ้งของเขาเลยสักนิด จนสุดท้ายมีทีมงานที่กล้าพอจะมาถามเดปป์ว่า กัปตันแจ็คเป็นอย่างที่ไอสเนอร์สงสัยไหม ซึ่งเดปป์ก็ตอบไปว่า “ แหม ไม่รู้หรือไงว่าตัวละครที่ผมเล่นเป็นเกย์ทั้งหมดน่ะ ” เดปป์บอกว่า ตอนนั้นเขาคิดว่าคงจะโดนไล่ออกแน่ แต่สุดท้ายก็ไม่ และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของ Disney เนื่องจากบทบาทกัปตันแจ็ค โจรสลัดขี้เมาที่ดูไม่เอาไหน เพศภาพลื่นไหลสุดกู่ แต่แฝงไว้ด้วยความเท่แบบแหกคอกสุด ๆ กลายเป็นที่รักของผู้ชมทันทีที่ออกฉาย และทำรายได้ไปกว่า 654 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก อีกทั้งยังส่งให้เดปป์ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และมีภาคต่อตามมาอีก 4 ภาค ทำให้ตัวละครตัวนี้กลายเป็นไอคอนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ และเป็นบทบาทที่ผู้คนจดจำมากที่สุด เดปป์เผยว่า เขาตั้งใจสร้างตัวละครกัปตันแจ็ค ให้เป็นโจรสลัดในแบบที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากห้องซาวน่า “ แจ็ค สแปร์โรว์ ถือกำเนิดขึ้นตอนที่ผมอ่านบทในห้องซาวน่าครับ ความร้อนส่งผลกับผมมาก ไอเดียพวยพุ่งจากความร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก ความร้อนที่ส่งผลกระทบต่อสมองจนเพี้ยน และความคิดที่หมุกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแค่อย่างเดียว ” ซึ่งตามเนื้อเรื่อง กัปตันแจ็คหมกมุ่นอยู่กับเรือ Black Pearl ของเขาอย่างมาก ส่วนท่าทางเดินเป๋ไปมา เดปป์ตีความว่า มาจากการที่กัปตันแจ็คใช้ชีวิตอยู่ในทะเลมากกว่าบนบก จนชินกับความโคลงเคลงบนเรือ แล้วติดมาเดินบนบกด้วย “ ผมคิดว่าเขามีขาแบบชาวเลไปตลอดกาล เพราะเขาอยู่ในทะเลมากเกินไปครับ ” ขาดไม่ได้คือบุคลิกความเท่ความเก๋า ที่เขาถอดแบบมาจาก คีธ ริชาร์ดส์ ( Keith Richards ) แห่งวง The Rolling Stones ซึ่งเป็นนักดนตรีที่เขานับถือมาก จนสุดท้ายริชาร์ดส์ก็ได้มาเล่นเป็นพ่อของกัปตันแจ็คในภาค At World ’ sulfur End ( 2007 ) และ On Stranger Tides ( 2011 ) บทกัปตันแจ็ค เป็นบทบาทที่เดปป์ผูกพันอย่างมาก เขามักจะแต่งตัวเป็นกัปตันแจ็คไปเยี่ยมเยือนเซอร์ไพรส์แฟนคลับอยู่เสมอ โดยเฉพาะเหล่าผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาล เพราะเดปป์หวังว่าจะช่วยสร้างรอยยิ้มและสร้างความสุขได้
Read more: Ex on the Beach (British series 6)
“ การได้ไปเยี่ยมเด็ก ๆ ที่โรงพยาบาล ทำให้ผมได้เห็นความกล้าหาญของพวกเขาในการต่อสู้กับโรคร้าย ผมยังอยากให้กำลังใจบรรดาพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นที่ต้องทุกข์เพราะลูกป่วย ดังนั้นตอนไปเยี่ยมพวกเขา ผมจะไม่หลุดออกนอกบทเลย และพยายามทำตัวงี่เง่าติงต๊องที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พวกเขาหัวเราะได้ ผมเองก็เป็นพ่อคนที่เคยใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอยู่หลายสัปดาห์เหมือนกัน เพราะ ลิลลี่ โรส ลูกสาวของผมเคยป่วยหนัก เพราะฉะนั้นผมเข้าใจดีครับ ” ถึงจะเป็นบทที่เดปป์รักมากแค่ไหน แต่เขาก็แทบไม่เคยดูการแสดงของตนเองในบทกัปตันแจ็คเลย ยกเว้นภาคแรก ( ที่เขาบอกว่าแอบวิ่งหนีออกจากโรงก่อนดูจบ ) และภาค dead Men Tell No Tales ซึ่งเขาตั้งใจดูภาคนี้มาก เพราะอยากดูทิศทางความเป็นไปของตัวละครนี้ “ ผมอยากแน่ใจว่า ผมนำเสนอในสิ่งที่ผู้ชมต้องการ หลังจากพวกคุณดูเขามาแล้วสี่ซ้าห้าเรื่องเนี่ย พวกคุณสมควรได้รับสิ่งใหม่ ๆ ไม่ใช่อะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ ดังนั้นผมถึงตั้งใจเสี่ยงขึ้นอีกนิดในเรื่องมุกตลก ” แม้ว่าภาค dead Men Tell No Tales ไม่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกาเท่าที่ควรตอนที่ฉายในปี 2017 โดยกวาดรายได้ไปเพียง 172.6 ล้านเหรียญ แต่ในตลาดต่างประเทศยังเก็บเงินไปได้กว่า 622.3 ล้านเหรียญ ซึ่งการที่หนังไม่ทำเงินในอเมริกานั้น ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากเดปป์ถูกโจมตีอย่างหนักในคดีเกี่ยวกับ แอมเบอร์ เฮิร์ด ( Amber Heard ) ภรรยาเก่า และในปี 2018 ก็มีข่าวว่า Disney จะไม่นำเขากลับมาแสดงบทนี้ต่อ สร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับอย่างมาก และเดปป์เองก็เริ่มต่อสู้คดีสวนกลับภรรยาเก่า ที่กล่าวหาว่าเขาทำร้ายร่างกายเธอ จนเริ่มมีการเปิดเผยหลักฐานต่าง ๆ ในปี 2020 ที่ทำให้คดีเริ่มพลิกว่า เดปป์อาจเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเสียเอง และมีการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเขา ไม่ว่าอนาคตบทกัปตันแจ็คอันเป็นที่รักของแฟน ๆ รวมถึงตัวเดปป์เองด้วยนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ความทรงจำดี ๆ ที่เขาฝากไว้ผ่านการแสดงนั้นมีมากมาย และผู้ชายคนนี้คงไม่หายไปจากใจของทุกคนอย่างแน่นอน อ้างอิง hypertext transfer protocol : //www.latimes.com/archives/la-xpm-2008-feb-20-en-pairssweeney20-story.html hypertext transfer protocol : //www.insider.com/nicolas-cage-johnny-depp-first-role-monopoly-2019-8 Becoming Captain Jack- Pirates of the Caribbean 1 special features hypertext transfer protocol : //www.youtube.com/watch ? v=_SPmzpV9tEA Johnny Depp ’ s Favorite Part of Playing Jack Sparrow hypertext transfer protocol : //www.youtube.com/watch ? v=oJVbHrEbBWs เรื่อง: เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้
นักเขียนรับเชิญ
Read more: Wikipedia
นักเขียนรับเชิญที่ The People เชิญมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำเสนอบทความตามความสนใจ