เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ( เยอรมัน : Charles Edward, Duke of Saxe-Coburg and Gotha ) หรือพระนามเต็ม เลโอโพลด์ คาร์ล เอดูอาร์ท เกออร์ค อัลแบร์ท ( เยอรมัน : Leopold Charles Edward George Albert ) หรือพระนามแรกประสูติคือ เจ้าชายชาลส์ เอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งออลบานี ( อังกฤษ : Charles Edward, Duke of Albany ) ทรงเป็น ดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา องค์ที่สี่และสุดท้าย และในฐานะพระราชนัดดาใน สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผ่านทางสายพระราชโอรส พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ และยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ดยุคแห่งอัลบานี อีกด้วย [ 1 ] เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ททรงเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในประเทศอังกฤษ เนื่องจากการมีสถานภาพเป็นศัตรูในฐานะที่ทรงเป็นดยุคครองรัฐแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา อันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมันในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ทรงถูกถอดถอน บรรดาศักดิ์ขุนนาง และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1919 ในปี ค.ศ. 1919 พระองค์ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติ และต่อมาได้ทรงเข้าร่วมพรรค นาซีเยอรมัน ยังความเสื่อมเสียที่ใหญ่หลวงมาให้แก่ เจ้าหญิงอลิซ เคาน์เตสแห่งแอธโลน ซึ่งเป็นพระภคินีเพียงพระองค์เดียว สมเด็จพระราชินีแมรี่ พระภคินีในพระเชษฐภรรดา รวมถึง สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งด้วย [ 2 ] [ 3 ]
เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ประสูติในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1884 ณ ตำหนักแคลร์มอนต์ ใกล้กับเมืองเอสเชอร์ มณฑลเซอร์เรย์ พระชนกของพระองค์คือ เจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานี พระราชโอรสองค์ที่สี่ใน สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย และ เจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต เจ้าชายพระราชสวามี ส่วนพระชนนีคือ ดัชเชสแห่งออลบานี ( พระอิสริยยศเดิม เจ้าหญิงเฮเลนาแห่งวัลเด็คและไพร์มอนต์ ) พระองค์มีพระนามเรียกเล่นในหมู่พระประยูรญาติว่า “ ชาร์ลี ” เนื่องจากว่าพระชนกสิ้นพระชนม์ไปก่อนการประสูติ เจ้าชายจึงทรงสืบพระอิสริยยศทั้งหมดของพระชนกทันทีที่ประสูติและทรงดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้าชายดยุคแห่งออลบานี ( His Royal Highness The Duke of Albany )

หลังจากการประชวร พระองค์ทรงเข้ารับศีลล้างบาปเป็นส่วนตัวเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1884 ณ ตำหนักแคลร์มอนต์ ภายหลังการประสูติได้สองสัปดาห์ และอีกสี่เดือนต่อมาจึงเข้ารับศีลล้างบาปต่อสาธารณชนในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1884 ณ โบสถ์ประจำเมืองเอสเชอร์ มณฑลเซอร์เรย์ โดยมีพ่อและแม่ทูนหัวคือ สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย เจ้าชายแห่งเวลส์ ( ในภายหลังคือ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ) เจ้าหญิงคริสเตียนแห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ เจ้าหญิงลูอีส มาร์เชเนสแห่งลอร์น เจ้าหญิงเฟรเดริกาแห่งฮันโนเฟอร์ และเจ้าชายจอร์จ วิกเตอร์ เจ้าชายครองรัฐแห่งวัลเด็คและไพร์มอนต์ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชปิตุลาได้พระราชทานเครื่องราชอิสรยาภรณ์การ์เตอร์ชั้นอัศวินให้แก่เจ้าชายในปี ค.ศ. 1902
ในปี ค.ศ. 1900 ดยุคแห่งออลบานี ที่มีพระชนมายุ 16 พรรษาได้เสวยราชสมบัติในรัฐดยุคครองนครแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาสืบต่อ เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา พระปิตุลาซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ส่วน เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดินเบอระ ( ซึ่งมีพระนามเรียกเล่น “ แอฟฟี่หนุ่ม ” ) พระโอรสองค์เดียวในดยุคแห่งเอดินเบอระสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1899 และ ดยุคแห่งคอนน็อต พระราชโอรสพระองค์ที่สามในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงสละราชสิทธิ์การสืบราชสมบัติก่อนแล้ว เจ้าชายอาร์เธอร์แห่งคอนน็อต พระโอรสในเจ้าชายอาร์เธอร์ กำลังทรงศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วิทยาลัยอีตันกับเจ้าชายชาร์ลส์ และทรงขู่ที่จะทำร้ายเจ้าชายชาร์ลส์หากไม่ทรงยอมรับการสืบราชสมบัติ เจ้าชายทรงปกครองภายใต้ระบอบผู้สำเร็จราชการโดยเจ้าชายแห่งโฮเฮ็นโลเฮ-แล็งเก็นบูร์กอยู่เป็นเวลาห้าปี เมื่อพระชนมายุครบกำหนดในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1905 ดยุคแห่งออลบานีก็ทรงเถลิงอำนาจตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่มีพระราชสถานะเป็นดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ในฐานะที่เป็นพระราชนัดดาพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระองค์เป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของ แกรนด์ดยุคแอร์นส์ ลุดวิกแห่งเฮสส์และไรน์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ( ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ) สมเด็จพระจักรพรรดินี อเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย สมเด็จพระราชินีม็อดแห่งนอร์เวย์ สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ยูจีเนียแห่งสเปน และ สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ นอกจากนี้แล้วยังเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งใน สมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี แต่จากการดูแลพระญาติหนุ่มพระองค์นี้ของพระจักรพรรดิแสดงให้เห็นว่าเจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ททรงเป็นรู้จักในฐานะพระราชโอรสองค์เจ็ดของพระองค์มากกว่า [ 4 ]
เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ท ซึ่งในขณะนี้คือ ดยุคคาร์ล เอ็ดวาร์ดทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1905 ณ ปราสาทกลึกซ์บูร์ก มณฑลฮ็อลชไตน์ กับ เจ้าหญิงวิกตอเรีย อเดลไฮด์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ ( วิกตอเรีย อเดลไฮด์ เฮเลนา หลุยซา มารี ฟรีเดริเคอ ; 31 ธันวาคม ค.ศ. 1885 – 3 ตุลาคม ค.ศ. 1970 ) พระธิดาในดยุคฟรีดริช แฟร์ดีนันด์ แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์-ซอนเดอร์บูร์ก-กลึกซ์บูร์ก ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสและธิดา 5 พระองค์ดังนี้

  • เจ้าชายโยฮันน์ เลโอโพลด์ ดยุคแห่งซัคเซิน (โยฮันน์ เลโอโพลด์ วิลเฮล์ม อัลแบร์ท แฟร์ดีนันด์ วิกเตอร์; 2 สิงหาคม ค.ศ. 1906 – 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1972)
    • ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เมื่อแรกประสูติ จนถึงการสละฐานันดรศักดิ์เนื่องมาจากการอภิเษกสมรสกับสามัญชนในวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1932
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1932 ณ เมืองเดรสเดิน และทรงหย่าร้างในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962 กับ บารอนเนส ฟีโอดอรา มารี อัลมา มาร์กาเรเท ฟอน แดร์ ออร์สต์ (7 กรกฎาคม ค.ศ. 1905 – 23 ตุลาคม ค.ศ. 1991)
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สองเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1963 ณ เมืองบาดไรเชินฮัลล์ กับ มาเรีย เทเรเซีย เอลิซาเบธ ไรน์เดิล (13 มีนาคม ค.ศ. 1908 – 7 เมษายน ค.ศ. 1996)
  • เจ้าหญิงซิบิลลาแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ซิบิลลา คัลมา มารี อลิซ บาธิลดิส ฟีโอดอรา; 18 มกราคม ค.ศ. 1908 – 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972)
    • ทรงอภิเษกสมรสวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1932 ณ เมืองโคบวร์ค รัฐบาวาเรีย กับ เจ้าชายกุสตาฟ อดอล์ฟ ดยุกแห่งเวสเตร์บอตเติน (22 เมษายน ค.ศ. 1906 – 26 มกราคม ค.ศ. 1947)
    • พระราชชนนีในสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟแห่งสวีเดน
  • เจ้าชายฮูแบร์ตุสแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ฮิวเบอร์ตัส ฟรีดริช วิลเฮล์ม ฟิลิปป์; 24 สิงหาคม ค.ศ. 1909 – 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1943)
  • เจ้าหญิงแคโรลีน มาทิลดาแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (พระนามรูปเต็ม แคโรลีน มาธิลด์ เฮเลนา ลุดวิกา ออกัสตา เบียทริซ; 22 มิถุนายน ค.ศ. 1912 – 5 กันยายน ค.ศ. 1983)
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1931 ณ เมืองโคบวร์ค แต่ทรงหย่าร้างในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1938 กับ เค้านท์ ฟรีดริช วอล์ฟกัง อ็อตโตแห่งคาสเทล-รือเด็นเฮาเซิน (27 มิถุนายน ค.ศ. 1906 – 11 มิถุนายน ค.ศ. 1940)
    • ทรงอภิเษกสมรสเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1938 ณ กรุงเบอร์ลิน กับ แม็กซ์ อ็อตโต ชเนียร์ริง (20 พฤษภาคม ค.ศ. 1895 – 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1944)
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สามเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 1946 ณ เมืองโคบวร์ค แต่ทรงหย่าร้างเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1947 กับ คาร์ล อ็อตโต อ็องเดร (12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 – 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1984)
  • ฟรีดริช-โจเซียส เจ้าชายแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ฟรีดริช โยซิอัส คาร์ล เอ็ดวาร์ด แอร์นส์ คิริล ฮารัลด์; 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 – 23 มกราคม ค.ศ. 1998)
    • ทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าชายรัชทายาทแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1932 หลังการสละฐานันดรศักดิ์ของพระเชษฐา
    • ทรงดำรงตำแหน่ง ประมุขแห่งราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1954 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระชนก
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 ณ เมืองคาเซิล แต่ทรงหย่าร้างวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1946 กับ เคาน์เตส วิกตอเรีย-หลุยส์ ฟรีเดริเค แคโรลีน มาธิลด์แห่งโซล์มส์-บารูธ (13 มีนาคม ค.ศ. 1921 – 1 มีนาคม ค.ศ. 2003)
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สองเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 ณ เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ทรงหย่าร้างวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1964 กับ เดนีส เฮนเรียตตา ฟอน มูราลต์ (23 ธันวาคม ค.ศ. 1923 – 25 เมษายน ค.ศ. 2005)
    • ทรงอภิเษกสมรสครั้งที่สามเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1964 ณ เมืองฮัมบวร์ค กับ แคทริน แอนนา โดโรเธีย เบรมเมอ (เกิด 22 เมษายน ค.ศ. 1940)

ในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ททรงสนับสนุน ประเทศเยอรมนี และทรงปฏิบัติราชการเป็นนายพลในกองทัพบกเยอรมัน ( แม้ว่าจะมิเคยทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ) ดังนั้นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระราชโองการให้ถอดถอนพระนามของเจ้าชายออกจากทะเบียนอัศวินแห่งการ์เตอร์ในปี ค.ศ. 1915 ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1917 เพื่อที่จะออกจากพื้นเพที่เป็นเยอรมันของราชวงศ์ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงเปลี่ยนชื่อ พระราชวงศ์อังกฤษ จาก ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เป็น ราชวงศ์วินด์เซอร์ ในปีนั้นรัฐสภาอังกฤษได้ผ่านพระราชบัญญัติการถอดถอนฐานันดรศักดิ์ซึ่งให้อำนาจสภาองคมนตรีที่จะสืบสวน “ บุคคลใดก็ตามอันมีศักดิ์เป็นขุนนางหรือเจ้าชายอังกฤษ ซึ่งได้ถืออาวุธต่อต้านพระเจ้าอยู่หัวหรือพันธมิตรของพระองค์ หรือซึ่งร่วมเป็นภาคีกับศัตรูของพระเจ้าอยู่หัว ” ภายใต้เงื่อนไขในพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว พระบรมราชโองการตามคำแนะนำของคณะองคมนตรีลงวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1919 ได้ถอดถอนบรรดาศักดิ์ขุนนางอังกฤษ ดยุคแห่งออลบานี เอิร์ลแห่งคลาเรนซ์ และบารอนแห่งอาร์คโลว์ของเจ้าชายคาร์ล เอดูอาร์ทออกอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้พระองค์และพระโอรสธิดายังทรงสูญเสียฐานันดรศักดิ์เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักร รวมทั้งพระอิสริยยศในชั้นเจ้าฟ้า ( Royal Highness ) อีกด้วย [ 5 ]

Read more: Wikipedia

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สภาทหารและแรงงานแห่งเมืองโกทาได้ปลดดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาออกจากราชบัลลังก์ อีกห้าวันต่อมา พระองค์ได้ทรงลงนามในประกาศการสละราชสิทธิในการสืบราชสมบัติ เมื่อทรงกลายเป็นพลเรือนสามัญในขณะนี้ ดยุคคาร์ล เอ็ดวาร์ดซึ่งได้ทรงถูกปลดออกจากราชบัลลังก์ทรงเกี่ยวข้ององค์การทางการเมืองและลักษณะแบบทหารฝ่ายขวามากมาย [ 6 ] เมื่อปี ค.ศ. 1932 พระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งแนวร่วมฮาร์ซบูร์ก ซึ่งพรรค Deutschnationale Partei ( พรรคแห่งชาติเยอรมัน ) ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับ พรรคนาซี โดยผ่านทางแนวร่วม พระองค์ทรงเข้าร่วมพรรคนาซีและเป็นสมาชิกของ Sturmabteilung ( ซึ่งแปลว่า หน่วยพายุ หรือ พวกเสื้อน้ำตาล ) โดยขึ้นถึงตำแหน่งของหัวหน้ากลุ่มอาวุโส ( Obergruppenführer ) นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นสมาชิกในรัฐสภาจักรวรรดิตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ถึงปี ค.ศ. 1943 และประธานสภากาชาดเยอรมันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1933 ถึงปี ค.ศ. 1945 อีกด้วย พระองค์ทรงเข้าร่วมพรรคนาซีอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1936 ในปี ค.ศ. 1936 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ส่งดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาไปยังประเทศอังกฤษในฐานะประธานสมาคมมิตรภาพอังกฤษ-เยอรมัน ภารกิจของพระองค์คือ การพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างอังกฤษและเยอรมนีและสืบหาความเป็นไปได้ในการทำสัญญาระหว่างทั้งสองประเทศ ดยุคซึ่งทรงเข้าร่วมพระราชพิธีศพของ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ในชุดเครื่องแบบของหน่วยพายุ ทรงยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการทำสัญญาตกลงกับ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจากการเจรจาครั้งนี้ แต่กระนั้นพระองค์ยังทรงส่งรายงานให้กำลังใจฮิตเลอร์เกี่ยวกับความฝักใฝ่ฝ่ายเยอรมันอันแข็งแกร่งในหมู่ชนชั้นสูงของอังกฤษ ในภายหลังจาก วิกฤติการณ์การสละราชสมบัติ พระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพต้อนรับอดีตพระมหากษัตริย์และพระชายา ซึ่งในขณะนี้ทรงเป็นดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ ในระหว่างการเสด็จเยือนประเทศเยอรมนีอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1938 เมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง รัฐบาลทางการทหารอเมริกันในรัฐบาวาเรีย ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลจอร์จ สมิธ แพ็ตตันได้ทำการกักบริเวณดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาอยู่ภายในพระตำหนักที่ประทับอันเนื่องมาจากการสนับสนุนฝ่าย นาซีเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1946 พระองค์ทรงถูกพิพากษาคดีในศาลการกำจัดระบอบนาซีและทรงถูกปรับอย่างหนัก ทรัพย์สมบัติจำนวนมากในเมืองซัคเซินและโคบวร์คถูกยึดโดยกองทัพโซเวียต ดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาทรงดำรงพระชนม์ชีพบั้นปลายด้วยความโดดเดี่ยว พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1954 ณ เมืองโคบวร์ค โดยเป็นพระราชนัดดาผู้ชายพระองค์ที่ทรงมีอาวุโสมากกว่าในสองพระองค์ที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยพระราชนัดดาอีกพระองค์หนึ่ง คือ อเล็กซานเดอร์ เมานท์แบ็ตเต็น มาร์ควิสแห่งคาริสบรูค อดีตเจ้าชายแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก ซึ่งสิ้นพระชนม์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960

  • 19 กรกฎาคม 1884 – 30 กรกฎาคม 1900: ฮิสรอยัลไฮนิส ดยุคแห่งออลบานี (His Royal Highness The Duke of Albany)
  • 30 กรกฎาคม 1900 – 28 มีนาคม 1919: ฮิสรอยัลไฮนิส ดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (His Royal Highness The Duke of Saxe-Coburg and Gotha)
  • 28 มีนาคม 1919 – 6 มีนาคม 1954: ฮิสไฮนิส ดยุคแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (His Highness The Duke of Saxe-Coburg and Gotha)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์อัศวินแห่งการ์เตอร์ (Knight of the Most Noble Order of the Garter)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวิกตอเรีย ชั้นที่ 1 (Knight Grand Cross of the Royal Victorian Order)