Reading: สตีฟ จอบส์ – วิกิพีเดีย
ช่วงแรกของชีวิต
สตีฟ จอบส์ เกิดที่เมือง ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย [ 1 ] มีชื่อจริงว่า สตีเวน พอล จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของพอล แรนโฮลด์ จอบส์ กับคลารา จอบส์ ( สกุลเดิม ฮาโกเพียน [ 13 ] ) ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสาย อาร์เมเนีย [ 14 ] ต่อมาพ่อแม่บุญธรรมก็รับผู้หญิงมาเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน ชื่อ แพทรีเชีย “ แพตตี ” แอน จอบส์ บิดามารดาที่แท้จริงของจอบส์ เขามีบิดาชื่อ อับดุลฟัตตะห์ “ จอห์น ” จันดาลี ( อาหรับ : عبدالفتاح جندلي ) ชาวซีเรีย มุสลิม [ 15 ] นักศึกษา ( ในขณะนั้น ) แต่ต่อมาได้ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย สาขารัฐศาสตร์ [ 16 ] กับโจแอน แคโรลด์ ชีเบิล ( อังกฤษ : Joanne Carole Schieble ) ที่มีเชื้อสายสวิสและนับถือ คาทอลิก นักศึกษาในขณะนั้น [ 15 ] ต่อมาได้ทำงานเป็นวิทยากรในการบำบัด [ 17 ] ขณะที่จอบส์เกิด พ่อแม่ที่แท้จริงของเขายังมิได้สมรสกัน จันดาลี กล่าวว่า เขาไม่มีทางเลือกที่ยกทารกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น เนื่องจากของครอบครัวของโจแอน ไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของตน [ 18 ] ต่อมาภายหลังบิดามารดาได้สมรสกันและให้กำเนิดน้องสาวร่วมสายเลือดของจอบส์ คือ โมนา ซิมป์สัน นักแต่งนวนิยาย [ 19 ] [ 20 ] [ 21 ] [ 22 ] [ 23 ] ในปี ค.ศ. 1972 จอบส์จบการศึกษาจาก โฮมสตีดไฮสคูล ในเมือง คิวเปอร์ทีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้สมัครเข้าเรียนต่อที่ วิทยาลัยรีด ( Reed College ) ในเมือง พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน แต่ก็ต้องลาพักการเรียนหลังจากเข้าเรียนได้เพียงหนึ่งภาคการศึกษา หลายปีต่อมา ในปาฐกถาครั้งหนึ่งในพิธีสำเร็จการศึกษาของบัณฑิต มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ปี ค.ศ. 2005 จอบส์ได้กล่าวว่าเพราะเขาลาพักเรียนไป จึงมีเวลาเข้าชั้นเรียนคัดตัวหนังสือ “ถ้าผมไม่ได้เรียนวิชานั้นที่วิทยาลัยรีด เครื่องแมคอินทอชคงจะไม่มีรูปแบบอักษรหลากหลาย และปราศจากฟอนต์ที่มีการแบ่งระยะห่างอย่างถูกสัดส่วนเช่นนี้” จอบส์กล่าว
ก่อตั้งแอปเปิ้ล
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1974 จอบส์ได้กลับมายัง รัฐแคลิฟอร์เนีย และได้เริ่มเข้าประชุมชมรม ” เครื่องคอมพิวเตอร์ทำเองที่บ้าน ” กับ สตีฟ วอซเนียก จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิคที่ อาตาริ ผู้ผลิต คอมพิวเตอร์ และ วิดีโอเกมส์ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตลอดช่วงเวลานี้ มีการค้นพบว่า นกหวีด ของเล่น ที่แถมมาในกล่องอาหารเช้าทำจากธัญพืชยี่ห้อ แคปแอนด์ครันช์ ทุกกล่อง เมื่อนำมาดัดแปลงเล็กน้อยแล้วจะสามารถทำเกิดเสียงความถี่ 2,600 เฮิร์ทซ์ ที่ใช้ในระบบ โทรศัพท์ทางไกล ของ เอทีแอนด์ที ได้ โดยไม่รอช้า ในปี ค.ศ. 1974 จอบส์กับวอซเนียกได้เริ่มธุรกิจผลิตกล่อง ” บลูบ็อกซ์ “ จากแนวความคิดดังกล่าวอันทำเราสามารถโทรศัพท์ทางไกลได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ในปี ค.ศ. 1976 สตีฟ จอบส์ในวัย 21 ปี กับ สตีฟ วอซเนียก วัย 26 ปี ได้ก่อตั้งบริษัท แอปเปิล คอมพิวเตอร์ ขึ้น ในโรงรถที่บ้านของครอบครัวจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตาได้แก่เครื่อง Apple I มันถูกตั้งราคาไว้ที่ 666.66 ดอลลาร์สหรัฐ โดยนำตัวเลขมาจากหมายเลขโทรศัพท์ของเครื่องตอบโทรศัพท์เล่าเรื่องตลกขบขันของวอซเนียก ที่มีเบอร์โทรลงท้ายด้วย -6666 ในปี ค.ศ. 1977 จอบส์กับวอซเนียก ได้นำเครื่อง Apple II ออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดคอมพิวเตอร์ใช้งานในบ้าน และทำให้แอปเปิลกลายเป็นผู้ผลิตรายสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1980 แอปเปิลคอมพิวเตอร์ได้กลายมาเป็น บริษัทมหาชน และการเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนผู้สนใจร่วมลงทุน ทำให้สถานภาพส่วนตัวของจอบส์สูงส่งขึ้นเป็นอันมาก ในปีเดียวกันนี้เอง แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ได้นำเครื่อง Apple III ออกวางตลาด แต่กลับประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม ในขณะที่ธุรกิจของแอปเปิลกำลังเติบโตต่อไป บริษัทได้เริ่มมองหาผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจเพื่อมาช่วยในการขยายกิจการ ในปี ค.ศ. 1983 จอบส์ได้ว่าจ้าง จอห์น สกัลลีย์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท เป็บซี่-โคล่า ให้มาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของแอปเปิล โดยที่จอบส์ได้กล่าวท้าทายเขาว่า “คุณต้องการจะใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการขายน้ำหวาน หรือว่าต้องการโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันแน่?” ในปีเดียวกัน แอปเปิลยังได้เปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ ลิซา ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาดแต่อย่างใด ในปี ค.ศ. 1984 เราได้เห็นการเปิดตัวเครื่อง แมคอินทอช เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มี ส่วนประสานงานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ ที่ประสบความสำเร็จทางการค้า การพัฒนาเครื่องแมคริเริ่มขึ้นโดย เจฟ ราสคิน และทีมงานที่ได้แรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย ศูนย์วิจัยซีรอกซ์พาร์ก แต่ยังไม่มีการนำมาพัฒนาเพื่อการค้า ความสำเร็จของเครื่องแมคอินทอช ทำให้แอปเปิลเลิกพัฒนาเครื่อง Apple II เพื่อส่งเสริมสายการผลิตเครื่องรุ่นแมค ซึ่งยังคงยืนหยัดมากระทั่งทุกวันนี้
ออกจากแอปเปิล ก่อตั้งกิจการบริษัทเน็กซ์
ในขณะที่จอบส์ได้กลายเป็นนักบุญผู้มีบุคลิกโดดเด่นและมีส่วนผลักดันโครงการต่าง ๆ ของแอปเปิล เหล่านักวิจารณ์มักจะอ้างว่าเขาเป็นผู้จัดการที่มีบุคลิกแปลกประหลาดและโมโหร้าย ในปี ค.ศ. 1985 ภายหลังจากประสบปัญหาขัดแย้งเรื่องอำนาจภายในบริษัท จอบส์ถูกคณะกรรมการบริหารของแอปเปิลถอดออกจากภารกิจต่าง ๆ ที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ลาออกในที่สุด หลังจากออกจากแอปเปิล จอบส์ได้ก่อตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า เน็กซ์ NeXT เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ลิซา เน็กซ์มีเทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันไม่เคยเข้าสู่กระแสความนิยมหลักได้เนื่องจากราคาที่สูงลิ่ว สำหรับผู้ที่มีเงินพอจะซื้อหามาเป็นเจ้าของได้นั้น เทคโนโลยีของเน็กซ์ทำให้มีกลุ่มผู้ติดตามจำนวนมากเนื่องจากความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีของมัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นได้แก่ระบบพัฒนา ซอฟต์แวร์เชิงวัตถุ จอบส์ได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ของเน็กซ์โดยเน้นไปที่สาขาวิทยาศาสตร์และสถาบันการศึกษา เนื่องจากมันได้ผนวกเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ในเชิงนวัตกรรม และทดลองค้นคว้ารวมอยู่ด้วย ( เป็นต้นว่า เคอร์เนลมัค ( Mach kernel ) และแผงวงจร ดีเอสพี ) เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น เน็กซ์คิวบ์ ( NeXT Cube ) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดทางปรัชญาของจอบส์ในเรื่องของ “ คอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล ” ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นก้าวสำคัญหลังจากมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น นั่นคือ หากคอมพิวเตอร์สามารถให้มนุษย์สื่อสารและประสานงานกันอย่างง่ายดายแล้ว มันจะสามารถแก้ปัญหามากมายที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเคยประสบมา จอบส์เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่เขาไม่ได้รวมเอาคุณลักษณะทางเครือข่ายเข้าไว้ในเครื่องแมคอินทอชรุ่นดั้งเดิม ( และเรียกมันว่า “ สายรกที่เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ากับบริษัท ” ) และเขาตั้งใจว่าจะไม่ทำพลาดเช่นนั้นอีก ในช่วงเวลาที่ อีเมล สำหรับคนส่วนมากยังคงเป็นระบบตัวหนังสือล้วน จอบส์รักที่จะทำการแสดงการสาธิต “ เน็กซ์เมล ” ระบบอีเมลของบริษัทเน็กซ์เพื่อให้เห็นถึงปรัชญาของเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างบุคคล เน็กซ์เมลเป็นอีเมลระบบแรก ๆ ที่สนับสนุนการมองเห็นกราฟิกส์และเสียงที่ฝังอยู่ในอีเมลได้จากทุกแห่ง และยังสามารถคลิกได้อีกด้วย จอบส์บริหารงานที่บริษัทเน็กซ์โดยเล็งผลเลิศแม้ว่าจะใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไรก็ตาม สายตาที่สอดส่องการทำงานทุกกระเบียดนิ้วคู่นี้ได้เป็นตัวบ่อนทำลายแผนก ฮาร์ดแวร์ ของเน็กซ์ในที่สุด แต่ในทางกลับกัน มันยังเป็นการแสดงให้โลกได้รู้ว่าจอบส์สามารถออกแบบเครื่องแมคอินทอช ที่ดีกว่ารุ่นดั้งเดิมในแบบที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ กล่องเครื่อง เน็กซ์คิวบ์ที่ทำจาก แมกนีเซียม ตัดด้วย เลเซอร์ ได้ชื่อว่าเป็นความสวยงามที่ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็จะต้องได้มา เช่นเดียวกับที่จอบส์แข่งขันกับ ไอบีเอ็ม ในช่วงที่งานอยู่ที่แอปเปิล จอบส์ต่อสู้กับ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ราวกับว่าซันเป็นจักรวรรดิปิศาจในช่วงเขาทำงานอยู่ที่เน็กซ์ ต่อมา หลังจากที่แผนกฮาร์ดแวร์ของเน็กซ์ถูกปลด จอบส์กับสก็อต แมคนีลลีแห่งซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้เปิดตัว OPENSTEP ด้วยกัน ในช่วงที่จอบส์ทำงานอยู่ที่เน็กซ์นั้นมักจะไม่มีผู้กล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์ แต่จอบส์ได้อุทิศประโยชน์ไว้ในเหตุการณ์สำคัญยิ่งสองเหตุการณ์ด้วยกัน
กลับมาสู่แอปเปิล
สตีฟ จอบส์ ในงาน MacWorld2005 สตีฟ จอบส์ กำลังโชว์เครื่อง MacBook Air ในงาน Macworld Conference & Expo 2008 ในปี ค.ศ. 1996 แอปเปิลได้ซื้อกิจการบริษัท เน็กซ์ คอมพิวเตอร์ ด้วยราคา 402ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำจอบส์กลับมาสู่บริษัทที่เขาก่อตั้งเอาไว้ ในปี ค.ศ. 1997 เขาได้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง ” ชั่วคราว ” ของแอปเปิล หลังจากที่ผู้จัดการหลายคนเสียความเชื่อมั่นในตัว จิล อะเมลิโอ ผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นที่ถูกถอดออก ในช่วงที่กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำของแอปเปิล จอบส์เรียกชื่อตำแหน่งของเขาว่า “ ไอซีอีโอ ” ( iCEO )
ด้วยการซื้อกิจการของเน็กซ์ เทคโนโลยีหลายตัวของบริษัทได้แจ้งเกิดในผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mac OS X ที่พัฒนามาจาก NeXTSTEP ภายใต้การนำของจอบส์ บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมากด้วยการเปิดตัว ไอแมค ( iMac ) นับแต่นั้นเป็นต้นมา การออกแบบที่ดึงดูดใจ และยี่ห้อสินค้าที่มีพลังเป็นผลดีต่อแอปเปิลอย่างยิ่ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ บริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ได้ขยายกิจการไปหลายสาขา ด้วยการเปิดตัว ไอพ็อด เครื่องเล่นดนตรีขนาดพกพา ไอทูนส์ ซอฟต์แวร์สำหรับดนตรีดิจิทัล รวมไปถึง ร้านดนตรีไอทูนส์ แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องการยึดหัวหาดด้านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ส่วนบุคคล และร้านขายดนตรีออนไลน์ ด้วยแรงผลักดันทางนวัตกรรม จอบส์มักจะเตือนพนักงานของเขาว่า “ ศิลปินที่แท้จริงต้องส่งงาน ” ซึ่งหมายความว่าการจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงเวลานั้น มีความสำคัญพอ ๆ กับนวัตกรรมและการออกแบบที่โดนใจผู้ใช้ จอบส์ทำงานที่บริษัทแอปเปิลเป็นเวลาหลายปีติดกันด้วยค่าจ้างรายปีเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ และนั่นทำให้เขาได้ถูกบันทึกไว้ในสถิติโลกกินเนสส์ว่า เป็นผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับค่าจ้างต่ำที่สุดในโลก ในการเป็นองค์นำปาฐกถาที่งานแมคเวิลด์เอกซ์โป ( Macworld Expo ) ในนคร ซานฟรานซิสโก บริษัทได้ตัดคำว่า “ ชั่วคราว ” ออกจากตำแหน่งของเขา แต่เงินค่าจ้างของเขาที่แอปเปิลก็ยังคงเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี แม้ว่าเขาจะได้รับ ของขวัญพิเศษ จำนวนมากที่สร้างรายได้แก่เขาจากคณะกรรมการบริหารตามธรรมเนียม รวมถึงเครื่องบินเจ็ต Gulfstream V มูลค่า 90 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ในปี ค.ศ. 1999 และหุ้นมูลค่าเกือบ ๆ 30 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ จาก หุ้นปุริมสิทธิ์ ในปี ค.ศ. 2000 – ค.ศ. 2002 ดังนั้น จอบส์จึงได้รับค่าตอบแทนอย่างงามสำหรับความพยายามของเขาที่แอปเปิล แม้จะได้ชื่อว่ามีค่าจ้างเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ตาม จอบส์ได้รับทั้งคำชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับทักษะด้านการขายและดึงดูดใจผู้บริโภคของเขา ซึ่งถูกแทนที่ด้วยคำว่า “ พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน “ ซึ่งเห็นได้ชัดอย่างยิ่งระหว่างที่เขากล่าวปราศรัยในงานแมคเวิลด์เอกซ์โป เกราะกำบังด้วย “ พื้นที่ที่ความจริงถูกบิดเบือน ” เป็นคำเปรียบเปรย ที่ใช้กับแอปเปิลด้วยในช่วงที่ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ในขณะที่เครื่อง G4 cube มีราคาแพงเกินไป บริษัทก็ยังตัดสินใจสวนกระแสความต้องการของตลาด ด้วยการกำจัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ลอกแบบจากเครื่องแมคอินทอช การตัดสินใจของจอบส์ไม่ได้รับฉันทมติจากคนส่วนใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ความพยายามทางการตลาดของแอปเปิลในช่วง คริสต์ทศวรรษ 1980 ที่เป็นเลิศในแง่เทคนิค แต่กลับเป็นแนวคิดแปลกแยกในหมู่นักลงทุนที่เล่นหุ้นของบริษัท ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หันไปซื้อหุ้นของ ไอบีเอ็ม ส่งผลให้ราคาหุ้นของแอปเปิลตกลงฮวบฮาบ ไมโครซอฟท์ ก็ซ้ำเติมการเสียตำแหน่งผู้นำของแอปเปิลด้วยการพัฒนา ส่วนประสานผู้ใช้แบบกราฟิกส์ ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า ไมโครซอฟท์วินโดวส์ ซึ่งก็บดบังความร้อนแรงของหุ้นแอปเปิลและครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในที่สุด
ร่วมก่อตั้งพิกซาร์
ในปี ค.ศ. 1986 จอบส์ได้ร่วมกับ เอ็ดวิน แคทมัลล์ ก่อตั้ง พิกซาร์ ซึ่งเป็นสตูดิโอสร้างภาพยนตร์ แอนิเมชัน ด้วยคอมพิวเตอร์ ตั้งอยู่ที่เมือง เอเมอรีวิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากแผนก คอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ของบริษัท ลูคัสฟิล์ม เดิม ซึ่งจอบส์ได้ซื้อกิจการต่อมาจาก จอร์จ ลูคัส ผู้ก่อตั้ง ด้วยราคา 10 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือหนึ่งในสามของราคาที่ตั้งไว้ พิกซาร์ได้กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังและประสบความสำเร็จในอีกหนึ่งทศวรรษให้หลัง ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวแหวกแนว เรื่อง “ทอย สตอรี่” และจากนั้นก็ได้ผลิตภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลประกวดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ตัวบั๊กส์ หัวใจไม่บั๊กส์” ในปี ค.ศ. 1998 “ทอย สตอรี่ 2” ในปี ค.ศ. 1999 “มอนสเตอร์ส อิงค์ บริษัทรับจ้างหลอน(ไม่)จำกัด” ในปี ค.ศ. 2001 “นีโม่…ปลาเล็กหัวใจโต๊…โต” ในปี ค.ศ. 2003 และ “รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก” ในปี ค.ศ. 2004 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของพิกซาร์คือเรื่อง “Cars2” มีกำหนดออกฉายในต้นเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2011 นีโม่…ปลาเล็กหัวใจโต๊…โต และ รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก ต่างได้รับ รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม เมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 2006 บริษัทเดอะวอลต์ดิสนีย์ได้เข้าซื้อกิจการของพิกซาร์ด้วยวิธีแลกหุ้น การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้มีมูลค่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในปีเดียวกัน
ชีวิตส่วนตัว
จอบส์เข้าพิธีสมรสกับลอเรนซ์ พาวเวลล์ เมื่อวัน 18 มีนาคม ค.ศ. 1991 และมีบุตรด้วยกันสามคน จอบส์ยังมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ ลิซา จอบส์ ที่เกิดจากสตรีผู้หนึ่งซึ่งเขาไม่ได้แต่งงานด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จอบส์ได้คบหาดูใจอยู่กับ โจอาน แบเอซ ผู้ซึ่งถูกเจฟฟรีย์ ยัง ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของจอบส์ “iCon Steve Jobs” กล่าวถึงว่า จอบส์รู้สึกติดตรึงใจสนใจหล่อน เนื่องจากโจอาน แบเอซเคยเกี่ยวพันกับ บอบ ดีแลน นักดนตรีขวัญใจของเขา และยังเกี่ยวพันกับ วัฒนธรรมฮิปปี้ ( Beat Generation ) เจฟฟรีย์ ยัง บอกเป็นนัย ๆ ว่า บิล แอตคินสัน เคยได้ยินจอบส์พูด ( แล้วเอาไปพูดต่อ ) ว่าเขาคงจะแต่งงานกับแบเอซไปแล้ว หากเขาไม่มีความคิดว่าหล่อนซึ่งขณะนั้นมีอายุ 41 ปี มากเกินไปที่จะมีบุตร จอบส์เป็นมังสวิรัติที่ยังรับประทานปลา ( ไม่ใช่ มังสวิรัติ หรือ มังสวิรัติเคร่งครัด ตามที่มีมักจะอ้างกัน ) — แม้ว่าเขาจะไม่กินเนื้อสัตว์ มีรายงานว่าเขากินปลาในบางครั้ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 จอบส์ได้เข้ารับการผ่าตัดเอา เนื้องอก มะเร็ง ออกจาก ตับอ่อน เขาเป็นโรค มะเร็งในตับอ่อน ซึ่งในแบบที่พบได้น้อยมาก ที่เรียกว่า “ เนื้องอกในเซลล์ที่ผลิตอินซูลินอันส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย “ ( isle cell neuroendocrine tumor ) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ไม่ต้องการ เคมีบำบัด หรือ รังสีบำบัด แต่อย่างใด ระหว่างที่เขาป่วย ทิม คุก ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานขายและปฏิบัติการทั่วโลกของแอปเปิล เป็นผู้บริหารงานแทน ในปี ค.ศ. 2005 สตีฟ จอบส์ได้สั่งห้ามมิให้จำหน่ายหนังสือทุกเล่มที่มาจาก สำนักพิมพ์วิลลีย์ ในร้านหนังสือขายปลีกของแอปเปิล เพื่อตอบโต้ที่สำนักพิมพ์นี้ได้ตีพิมพ์ชีวประวัติฉบับที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ที่มีชื่อว่า “iCon Steve Jobs: The Greatest Second Act in the History of Business” เขียนโดยเจฟฟรีย์ ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน หลายคนเชื่อว่าการสั่งห้ามหนังสือดังกล่าวมาจากชื่อที่มีนัยยะในแง่ลบ มากกว่าจะมาจากเนื้อหาซึ่งออกจะกล่าวถึงในแง่บวกเสียมากกว่า
การเสียชีวิตของสติฟ จอบส์
ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2011 หลังจากที่แอปเปิล ประกาศเปิดตัว ไอโฟน 4เอส ได้เพียงแค่วันเดียว แอปเปิลคอมพิวเตอร์ประกาศว่า สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตอย่างสงบแล้วจากโรค มะเร็งตับอ่อน รุมเร้ามาตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียง 56 ปี โดยในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2011 แอปเปิลได้จัดงานรำลึกถึงสตีฟ จอบส์ขึ้นมา โดยมี ทิม คุก พูดถึงชีวิตของจอบส์ในแง่ต่าง ๆ และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่ผ่าน ๆ มาของจอบส์ ณ Apple Campus เมืองคูเปอร์ทิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย
ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับบุคลิกของจอบส์
บุคลิกก้าวร้าวและชอบเรียกร้องของสตีฟ จอบส์ถูกกล่าวถึงและเขียนถึงเป็นอันมาก โดยมีหนังสือชีวประวัติที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเขาหลายต่อหลายเล่ม เป็นต้นว่า “The Little Kingdom” โดย ไมเคิล โมริทซ์ “Steve Jobs: The Journey Is the Reward” โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง “The Second Coming of Steve Jobs” โดย อลัน ดอยช์แมน และ “iCon Steve Jobs” โดย เจฟฟรีย์ เอส. ยัง และ วิลเลียม แอล. ไซมอน ในสารคดี ชัยชนะของพวกเนิร์ด คนจำนวนมากกล่าวถึงเหตุการณ์อันโด่งดังเมื่อสตีฟ จอบส์ถูก ผู้บริหารระดับสูง จอห์น สกัลลีย์ และ คณะกรรมการผู้จัดการของแอปเปิลไล่ออก :
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
หนังสือและบทความ
- Cringely, Robert X (1996). Accidental Empires. HarperBusiness. ISBN 0-88730-855-4.
- Freiberger, Paul; & Swaine, Michael (1999). Fire in the Valley: The Making of The Personal Computer McGraw-Hill Trade. ISBN 0-07-135892-7.
- Deutschman, Alan (2001). The Second Coming of Steve Jobs. Broadway. ISBN 0-7679-0433-8.
- Caddes, Carolyn. 1986. Portraits of Success: Impressions of Silicon Valley Pioneers, Tioga Publishing Co., Palo Alto CA.
- Denning, Peter J. and Karen A. Frenkel. April 1989. “A Conversation with Steve Jobs”, Comm. ACM, Vol. 32, No. 4, pp. 437-443.
- Hertzfeld, Andy. 2004. Revolution in The Valley. O’Reilly, Sebastopol, CA. ISBN 0-596-00719-1
- Levy, Steven. 1984. Hackers: Heroes of the Computer Revolution, Anchor Press/Doubleday, Garden City, NY.
- Slater, Robert. 1987. Portraits in Silicon, MIT Press, Cambridge MA, Chapter 28.
- Stross, Randall E., Steve Jobs and The NeXT Big Thing, NY:Atheneum, 1993. ISBN 0-689-12135-0
- Young, Jeffrey S. 1988. Steve Jobs: The Journey is the Reward, Scott, Foresman and Co., Glenview IL.
- Young, Jeffrey S. and William L. Simon 2005. iCon Steve Jobs : The Greatest Second Act in the History of Business, Wiley, Trade Cloth
- Kahney, Leander. 2004. “The Cult OF Mac”. No Starch Press, Inc, San Francisco, CA.